เห็นกระแส เรื่องการเลี้ยงลูก
เลยอยากให้มาแชร์กันในมุมมองของลูกๆกันบ้างนะครับ
ว่าแต่ละคนที่มีวันนี้กันได้ เพราะพ่อแม่เลี้ยงกันมาแบบไหน?
ตัวผมเอง เกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง ที่ต่างจังหวัด
พ่อแม่เป็นข้าราชการทั้งคู่ครับ
ผม กับน้องอีกสองคน เรียกได้ว่า เรียนค่อนข้างเก่ง ถึงเก่งมากๆ
แน่นอนว่าพ่อแม่ก็ต้องมีความคาดหวัง ว่าอยากให้ลูกเป็นหมอ เป็นทหาร เป็นครู
ส่วนตัวผมเอง กับน้องๆก็ไม่ได้มีใครชอบสายนั้นกันเลย (เอาจริงๆ วัยรุ่นๆ จะมีใครซักกี่คนที่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร เป็นอะไร )
แต่ดีว่าบ้านเราคุยกันด้วยเหตุผลครับ มีอะไรเราสามารถเอาเหตุและผลมาถกเถียงกันได้
และที่บ้านก็ไม่เคยบังคับขืนใจในเรื่องใดๆเลย เช่นเรื่องเรียนพิเศษ หรือเรื่องการตัดสินใจต่างๆในชีวิต
แต่ก็รู้แหละว่าลึกๆเค้าคาดหวังอะไร หรือเป็นห่วงเราแค่ไหน
ผมเป็นลูกคนโต ผมจำได้ว่าตั้งแต่เล็ก ผมชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป และชอบทำอาหาร มีความสุข และความฝันในการทำสิ่งเหล่านี้
ผมอ่านหนังสือเยอะมากๆ หนังสือกองเต็มบ้านจนเป็นห้องสมุดไปหมด จำได้ว่าที่บ้านไม่เคยห้ามเลย ว่าจะอ่านหนังสืออะไรแบบไหน
ที่ชอบที่สุดก็การ์ตูนครับ ทุกวันนี้ยังเป็นสมบัติอยู่ในห้อง วางเรียงไว้ยังกะร้านหนังสือเช่า เกมส์ผมก็เล่น เล่นตะบี้ตะบัน ที่บ้านไม่เคยห้าม
ผมเข้าเรียนในโรงเรียนวิทยาศาสตร์ คือมีแต่สายวิทย์ล้วนๆในโรงเรียน เป็นโรงเรียนที่มุ่งเน้นทางสายวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะเลยครับ
และผมก็ทำได้ค่อนข้างดี ทั้งที่บ้าน และที่โรงเรียน ก็อยากให้ลองสอบหมอ
แต่ผมรู้อยู่แก่ใจเลยว่าไม่ชอบแน่ๆ
อีกอย่าง ผมจำได้ ว่าความฝันตอนนั้น(มอ ปลาย )คืออยากเปิดร้านเบเกอรี่ แต่ไม่รู้หรอกว่าต้องทำยังไง หรือเริ่มต้นยังไง ไม่คิดว่ามันจะเป็นอาชีพได้ด้วยซ้ำ เพราะผมอยู่ในสังคม ที่อาชีพส่วนใหญ่คือ หมอ เภสัช วิศวะ
พอถึงมอห้า ขึ้น มอหก ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ผมตัดสินใจว่าอยากเรียนคณะมัณฑนศิลป์
คือนอกจากจะเรียนในสายวิทย์ค่อนข้างเก่ง ผมยังชอบวาดรูป และคิดว่าตัวเองทำได้ดีมากด้วย สายที่พอจะมองเห็นว่าน่าจะมีอาชีพในตอนนั้นก็คือสายออกแบบครับ ผมมองว่าน่าจะยังมีช่องทางหากินมากกว่าสาย Pure Art ปิดเทอมนั้น ตอนจะขึ้นมอ หก ผมเลยไม่ขอแม่ไปติววาดรูปเพิ่ม
จำได้ว่าถกเถียงกันกับพ่ออยู่นานนะ แต่สุดท้าย พ่อก็บอกว่า ก็ลองไปสอบดู ถ้าติดก็จะให้เรียน
ผมลองสอบ แล้วดันติดจริงๆ
เลยได้มาเรียนคณะที่ตัวเองอยากเรียนในตอนนั้นแหละครับ
ช่วงแรกๆผมน่ะสนุกกับการเรียนนะ แต่พอขึ้นปีสามปีสี่ มันมีอะไรหลายๆอย่าง ที่ทำให้เรารู้สึกว่า นี่มันไม่ใช่อย่างที่เราฝันนี่
แต่ก็ออกตัวมาไกลแล้ว แถมยังเป็นสิ่งที่ตัวเองเลือกด้วย
ใครเรียนสายออกแบบแล้ว จะรู้ครับ ว่าสิ่งที่คิด กับการทำงานจริงๆมันไม่เหมือนที่เราวาดฝันไว้ซะทีเดียว
ตอนนั้นผมเคว้งเลย การเรียนตก จนถึงตอนปีสี่ ผมทำทีสิสไป ทำขนมขายไป
ความฝันเรื่องอยากเปิดร้านเบเกอรี่มันเริ่มมารบกวนใจเป็นระยะระยะ
สุดท้าย ความไม่ตั้งใจ และไม่โฟกัสในเรื่องตรงหน้า(การเรียน)ของผม ก็ทำให้ผมจบช้าไปปีนึง
ช่วงปีนึงที่ดรอปไป ก็ต้องกลับมาคุยกันกับที่บ้านว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมก็บอกแม่ไปตรงๆว่า ผมไม่อยากเรียนแล้ว ผมไม่อยากทำงานสายออกแบบ ไม่อยากทำงานอยู่แต่ในกรุงเทพ(ต่างจังหวัดมันไม่มีงาน)
ตอนนั้นคุยกับแม่เรื่องอยากเปิดร้านขนม จำได้ว่าเครียดกันมาก
แม่ก็ถามว่าทำไมไม่บอกให้ไว จะได้ให้ไปเรียนเชฟอะไรก็ว่ากันไป
ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง
สุดท้ายแม่ก็บอกว่า ยังไงก็ต้องเรียนให้จบตรงนี้ก่อน ที่เหลือจะยังไงก็ค่อยว่ากัน
และปีต่อมา ผมก็จบจนได้ครับ
และหลังจากเรียนจบ ผมก็ตั้งมั่นอย่างเดียวเลย ว่าจะไม่อยู่กรุงเทพ
ผมเรียนจบปุ๊ป ผม เก็บของ ออกจากกรุงเทพเลย
พิธีรับปริญญาก็ไม่ร่วม รอเอาใบอย่างเดียว
ผมกลับบ้าน แล้วไปหาน้องที่เชียงใหม่ แล้วก็ไปต่อที่ปาย
ผมเริ่มจากชีวิตอิสระ เริ่มจากสอนทำขนมที่นั่นก่อน
แล้วจากนั้นก็ถอนเงินมาก้อนหนึ่ง(มีที่แม่เก็บให้ กับผมหาเองจากการขายขนมช่วงที่ดรอปเรียนไป)
ไม่เยอะมาก เอามาลงทุนทำร้าน โดยที่แม่ให้เขียนแผนธุรกิจให้แม่ดู รวมถึงแก้กันไปแก้กันมาหลายรอบกว่าจะอนุมัติ
สุดท้าย ผมได้เปิดร้านเล็กๆ ลองทำขนม อาหารเครื่องดื่มขายตามที่ตัวเองเคยฝันเอาไว้
ดีที่ผมรู้ตัวว่าผมกำลังทำอะไร ขายใคร มีทุกอย่างชัดเจนในหัว
และได้ทำในสิ่งที่ผมชอบ และถนัด(ผมทำขนม ทำอาหาร ไปตลาด เข้าครัวกับแม่ตั้งแต่จำความได้เลยครับ)
เลยทำให้ผมมาถึงจุดที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้ได้
จากร้านเล็กๆ ตอนนี้ผ่านมาหลายปี ก็ค่อยๆขยายขึ้น มีทีมงานมากขึ้น มีลูกค้าสนับสนุนมากขึ้นเรื่อยๆ
จากความฝัน ก็เริ่มกลายเป็นธุรกิจที่ตัวเองมีความสุขไปกับมัน
มีเงินพอเก็บ พอเลี้ยงตัวเอง แบ่งคนที่รัก และเพียงพอที่จะให้เราใช้ชีวิตในสิ่งที่อยากเป็นได้ ทุกวันนี้ก็ถือว่าตัวเองพอใจในระดับหนึ่ง
พ่อแม่เค้าก็เลิกควาดหวังให้เราเป็นครู เป็นหมออะไรแบบนั้นแล้ว
ส่วนน้องอีกสองคน คนนึงก็เป็นนักเรียนทุน เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบอยู่
อีกคนกำลังขึ้น มอหก
เมื่อวานได้คุยกันกับแม่ แม่บอกว่า น้องอยากจะเรียนอะไรก็ให้เรียนไปเถอะ
แม่บอกน้องแล้ว ถึงจะไม่เรียน แต่ถ้ามีสิ่งที่อยากทำจริงๆ แม่ก็ไม่ว่า ให้เค้าตัดสินใจเอง
ถ้ามีความฝัน จะทำอะไรก็ได้ แค่ตั้งใจทำให้สุดก็พอ
ผมอาจไม่ได้เป็นตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จอะไรมากมาย
แต่ก็พอจะพูดได้ว่า
สามารถเลี้ยงตัวเอง และเลี้ยงคนที่เรารักได้ จากการทำสิ่งที่เรารักแล้ว
แต่ก็มาเพราะกาารสนับสนุนจากพ่อ กับแม่ด้วย
สิ่งที่บ้านเราเป็นมาโดยตลอดคือ
1. ที่บ้านจะเลี้ยงแบบค่อนข้างปล่อย
หมายถึงปล่อยชีวิตแต่ละคนอิสระ ไม่ได้ยุ่งในการตัดสินใจอะไรมากก แต่ปรึกษากันได้ครับ
พวกผมสามคนเรียนโรงเรียนประจำกันตั้งแต่เด็กๆเลย และผมก็เคยออกเดินทาง เที่ยวไกลๆคนเดียวตั้งแต่อยู่มอปลาย
2. เมื่อลูกๆมีความฝัน หรืออยากทำอะไร ให้ลองมาคุยกันดูก่อน
หาเหตุผลมาคุยกัน เอาข้อมมูลมาดูกัน จนกว่าจะทำให้อีกฝ่ายยอมรับครับ
บางทีจะคุยกันแต่ละเรื่องต้องหาข้อมูล เตรียมข้อมูลกันเป็นปึกๆ ทั้งแม่ทั้งลูก
3. หนังสือ ดนตรี กีฬา เกมส์ ไม่เคยห้ามเลยครับ ถ้าทำในเวลาว่าง ที่เป็นเวลาส่วนตัว จะไม่มีการก้าวก่ายกัน
4. เรื่องผลการเรียน ถ้ามีตัวไหนผลการเรียนตก แม่จะคอยถาม ว่าเราถนัด หรือไม่ถนัดอันนี้ไหม ทำไมถึงตกลง อะไรแบบนี้
รวมถึงค่อยๆชี้แนวทางว่าเราน่าจะฝึก หรือเพิ่มเติมตรงไหนบ้าง
ช่วงปิดเทอม พวกผมลูกๆของแม่สามคน ไม่เคยมีใครถูกบังคับไปเรียนพิเศษเลย เว้นว่าแต่สมัครใจ
แต่แม่จะให้เลือกเรียน หรือทำในสิ่งที่อยากทำดู เช่นผมไปเรียนวาดรูป
หรือน้องคนเล็กไปเรียนกีต้าร์ หรือมาช่วยงานที่ร้านผม และเลือกที่จะไปเรียน(เพราะเพื่อนไป) หรือเลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองยังอ่อน
ได้เปิดโอกาสให้ได้ลองทำในสิ่งที่อยากทำ
5. โชคดีมาก อีกอย่าง ที่พ่อกับแม่ไม่ได้ยึดติดกับผลการเรียนของลูกมากนัก
น้องคนกลางผม เรียนได้4.00มาตลอด ทั้งตอนมัธยม และมหาลัย
จนพ่อกับแม่ต้องเป็นห่วงเอง ว่าอยากให้เกรดตกลงมั่ง จะได้ไม่ต้องกดดันตัวเองว่าต้องพอร์เฟคอยู่ตลอดเวลา
พอมี้ลเทอมหนึ่ง(เทอมเดียว) เกิดเกรดตกลงมาจาก A ล้วน ได้ B+ อยู่ตัว น้องนอยด์มาก แต่พ่อกับแม่บอกว่าดีแล้วๆจะได้ลดภาระที่แบกอยู่ลงมั่ง 555
ส่วนคนเล็ก เรียนเก่งไม่มากเท่าผมกับน้องคนกลาง แม่ก็บอกว่า ไม่ตกเกณฑ์ก็ดีแล้ว
6. ผม และน้องๆ โชคดี ที่ได้รับการเชื่อใจ และเชื่อมั่นในสิ่งที่ได้ตัดสินใจลงไปแล้ว
ถ้าหากอะไรที่ผ่านการถกเถียง พูดคุยกันจนรู้รื่องเข้าใจแล้ว
แม่กับพ่อจะคอยบอกเสมอครับ ว่า เรามั่นใจว่าลูกต้องทำได้ และจะคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ
ทั้งหมดนี้คงเป็นพื้นฐานที่หล่อหลอมมาจนทำให้มีทุกวันนี้ได้
แล้วของเพื่อนๆล่ะครับ
พ่อแม่คุณเลี้ยงคุณมากันยังไง ที่ทำให้คุณมีทุกวันนี้ได้ครับ
มาแชร์กันดีกว่า ว่าพ่อแม่คุณเลี้ยงคุณมากันยังไง ที่ทำให้คุณมีทุกวันนี้ได้ครับ
เลยอยากให้มาแชร์กันในมุมมองของลูกๆกันบ้างนะครับ
ว่าแต่ละคนที่มีวันนี้กันได้ เพราะพ่อแม่เลี้ยงกันมาแบบไหน?
ตัวผมเอง เกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง ที่ต่างจังหวัด
พ่อแม่เป็นข้าราชการทั้งคู่ครับ
ผม กับน้องอีกสองคน เรียกได้ว่า เรียนค่อนข้างเก่ง ถึงเก่งมากๆ
แน่นอนว่าพ่อแม่ก็ต้องมีความคาดหวัง ว่าอยากให้ลูกเป็นหมอ เป็นทหาร เป็นครู
ส่วนตัวผมเอง กับน้องๆก็ไม่ได้มีใครชอบสายนั้นกันเลย (เอาจริงๆ วัยรุ่นๆ จะมีใครซักกี่คนที่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร เป็นอะไร )
แต่ดีว่าบ้านเราคุยกันด้วยเหตุผลครับ มีอะไรเราสามารถเอาเหตุและผลมาถกเถียงกันได้
และที่บ้านก็ไม่เคยบังคับขืนใจในเรื่องใดๆเลย เช่นเรื่องเรียนพิเศษ หรือเรื่องการตัดสินใจต่างๆในชีวิต
แต่ก็รู้แหละว่าลึกๆเค้าคาดหวังอะไร หรือเป็นห่วงเราแค่ไหน
ผมเป็นลูกคนโต ผมจำได้ว่าตั้งแต่เล็ก ผมชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป และชอบทำอาหาร มีความสุข และความฝันในการทำสิ่งเหล่านี้
ผมอ่านหนังสือเยอะมากๆ หนังสือกองเต็มบ้านจนเป็นห้องสมุดไปหมด จำได้ว่าที่บ้านไม่เคยห้ามเลย ว่าจะอ่านหนังสืออะไรแบบไหน
ที่ชอบที่สุดก็การ์ตูนครับ ทุกวันนี้ยังเป็นสมบัติอยู่ในห้อง วางเรียงไว้ยังกะร้านหนังสือเช่า เกมส์ผมก็เล่น เล่นตะบี้ตะบัน ที่บ้านไม่เคยห้าม
ผมเข้าเรียนในโรงเรียนวิทยาศาสตร์ คือมีแต่สายวิทย์ล้วนๆในโรงเรียน เป็นโรงเรียนที่มุ่งเน้นทางสายวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะเลยครับ
และผมก็ทำได้ค่อนข้างดี ทั้งที่บ้าน และที่โรงเรียน ก็อยากให้ลองสอบหมอ
แต่ผมรู้อยู่แก่ใจเลยว่าไม่ชอบแน่ๆ
อีกอย่าง ผมจำได้ ว่าความฝันตอนนั้น(มอ ปลาย )คืออยากเปิดร้านเบเกอรี่ แต่ไม่รู้หรอกว่าต้องทำยังไง หรือเริ่มต้นยังไง ไม่คิดว่ามันจะเป็นอาชีพได้ด้วยซ้ำ เพราะผมอยู่ในสังคม ที่อาชีพส่วนใหญ่คือ หมอ เภสัช วิศวะ
พอถึงมอห้า ขึ้น มอหก ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ผมตัดสินใจว่าอยากเรียนคณะมัณฑนศิลป์
คือนอกจากจะเรียนในสายวิทย์ค่อนข้างเก่ง ผมยังชอบวาดรูป และคิดว่าตัวเองทำได้ดีมากด้วย สายที่พอจะมองเห็นว่าน่าจะมีอาชีพในตอนนั้นก็คือสายออกแบบครับ ผมมองว่าน่าจะยังมีช่องทางหากินมากกว่าสาย Pure Art ปิดเทอมนั้น ตอนจะขึ้นมอ หก ผมเลยไม่ขอแม่ไปติววาดรูปเพิ่ม
จำได้ว่าถกเถียงกันกับพ่ออยู่นานนะ แต่สุดท้าย พ่อก็บอกว่า ก็ลองไปสอบดู ถ้าติดก็จะให้เรียน
ผมลองสอบ แล้วดันติดจริงๆ
เลยได้มาเรียนคณะที่ตัวเองอยากเรียนในตอนนั้นแหละครับ
ช่วงแรกๆผมน่ะสนุกกับการเรียนนะ แต่พอขึ้นปีสามปีสี่ มันมีอะไรหลายๆอย่าง ที่ทำให้เรารู้สึกว่า นี่มันไม่ใช่อย่างที่เราฝันนี่
แต่ก็ออกตัวมาไกลแล้ว แถมยังเป็นสิ่งที่ตัวเองเลือกด้วย
ใครเรียนสายออกแบบแล้ว จะรู้ครับ ว่าสิ่งที่คิด กับการทำงานจริงๆมันไม่เหมือนที่เราวาดฝันไว้ซะทีเดียว
ตอนนั้นผมเคว้งเลย การเรียนตก จนถึงตอนปีสี่ ผมทำทีสิสไป ทำขนมขายไป
ความฝันเรื่องอยากเปิดร้านเบเกอรี่มันเริ่มมารบกวนใจเป็นระยะระยะ
สุดท้าย ความไม่ตั้งใจ และไม่โฟกัสในเรื่องตรงหน้า(การเรียน)ของผม ก็ทำให้ผมจบช้าไปปีนึง
ช่วงปีนึงที่ดรอปไป ก็ต้องกลับมาคุยกันกับที่บ้านว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมก็บอกแม่ไปตรงๆว่า ผมไม่อยากเรียนแล้ว ผมไม่อยากทำงานสายออกแบบ ไม่อยากทำงานอยู่แต่ในกรุงเทพ(ต่างจังหวัดมันไม่มีงาน)
ตอนนั้นคุยกับแม่เรื่องอยากเปิดร้านขนม จำได้ว่าเครียดกันมาก
แม่ก็ถามว่าทำไมไม่บอกให้ไว จะได้ให้ไปเรียนเชฟอะไรก็ว่ากันไป
ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง
สุดท้ายแม่ก็บอกว่า ยังไงก็ต้องเรียนให้จบตรงนี้ก่อน ที่เหลือจะยังไงก็ค่อยว่ากัน
และปีต่อมา ผมก็จบจนได้ครับ
และหลังจากเรียนจบ ผมก็ตั้งมั่นอย่างเดียวเลย ว่าจะไม่อยู่กรุงเทพ
ผมเรียนจบปุ๊ป ผม เก็บของ ออกจากกรุงเทพเลย
พิธีรับปริญญาก็ไม่ร่วม รอเอาใบอย่างเดียว
ผมกลับบ้าน แล้วไปหาน้องที่เชียงใหม่ แล้วก็ไปต่อที่ปาย
ผมเริ่มจากชีวิตอิสระ เริ่มจากสอนทำขนมที่นั่นก่อน
แล้วจากนั้นก็ถอนเงินมาก้อนหนึ่ง(มีที่แม่เก็บให้ กับผมหาเองจากการขายขนมช่วงที่ดรอปเรียนไป)
ไม่เยอะมาก เอามาลงทุนทำร้าน โดยที่แม่ให้เขียนแผนธุรกิจให้แม่ดู รวมถึงแก้กันไปแก้กันมาหลายรอบกว่าจะอนุมัติ
สุดท้าย ผมได้เปิดร้านเล็กๆ ลองทำขนม อาหารเครื่องดื่มขายตามที่ตัวเองเคยฝันเอาไว้
ดีที่ผมรู้ตัวว่าผมกำลังทำอะไร ขายใคร มีทุกอย่างชัดเจนในหัว
และได้ทำในสิ่งที่ผมชอบ และถนัด(ผมทำขนม ทำอาหาร ไปตลาด เข้าครัวกับแม่ตั้งแต่จำความได้เลยครับ)
เลยทำให้ผมมาถึงจุดที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้ได้
จากร้านเล็กๆ ตอนนี้ผ่านมาหลายปี ก็ค่อยๆขยายขึ้น มีทีมงานมากขึ้น มีลูกค้าสนับสนุนมากขึ้นเรื่อยๆ
จากความฝัน ก็เริ่มกลายเป็นธุรกิจที่ตัวเองมีความสุขไปกับมัน
มีเงินพอเก็บ พอเลี้ยงตัวเอง แบ่งคนที่รัก และเพียงพอที่จะให้เราใช้ชีวิตในสิ่งที่อยากเป็นได้ ทุกวันนี้ก็ถือว่าตัวเองพอใจในระดับหนึ่ง
พ่อแม่เค้าก็เลิกควาดหวังให้เราเป็นครู เป็นหมออะไรแบบนั้นแล้ว
ส่วนน้องอีกสองคน คนนึงก็เป็นนักเรียนทุน เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบอยู่
อีกคนกำลังขึ้น มอหก
เมื่อวานได้คุยกันกับแม่ แม่บอกว่า น้องอยากจะเรียนอะไรก็ให้เรียนไปเถอะ
แม่บอกน้องแล้ว ถึงจะไม่เรียน แต่ถ้ามีสิ่งที่อยากทำจริงๆ แม่ก็ไม่ว่า ให้เค้าตัดสินใจเอง
ถ้ามีความฝัน จะทำอะไรก็ได้ แค่ตั้งใจทำให้สุดก็พอ
ผมอาจไม่ได้เป็นตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จอะไรมากมาย
แต่ก็พอจะพูดได้ว่า
สามารถเลี้ยงตัวเอง และเลี้ยงคนที่เรารักได้ จากการทำสิ่งที่เรารักแล้ว
แต่ก็มาเพราะกาารสนับสนุนจากพ่อ กับแม่ด้วย
สิ่งที่บ้านเราเป็นมาโดยตลอดคือ
1. ที่บ้านจะเลี้ยงแบบค่อนข้างปล่อย
หมายถึงปล่อยชีวิตแต่ละคนอิสระ ไม่ได้ยุ่งในการตัดสินใจอะไรมากก แต่ปรึกษากันได้ครับ
พวกผมสามคนเรียนโรงเรียนประจำกันตั้งแต่เด็กๆเลย และผมก็เคยออกเดินทาง เที่ยวไกลๆคนเดียวตั้งแต่อยู่มอปลาย
2. เมื่อลูกๆมีความฝัน หรืออยากทำอะไร ให้ลองมาคุยกันดูก่อน
หาเหตุผลมาคุยกัน เอาข้อมมูลมาดูกัน จนกว่าจะทำให้อีกฝ่ายยอมรับครับ
บางทีจะคุยกันแต่ละเรื่องต้องหาข้อมูล เตรียมข้อมูลกันเป็นปึกๆ ทั้งแม่ทั้งลูก
3. หนังสือ ดนตรี กีฬา เกมส์ ไม่เคยห้ามเลยครับ ถ้าทำในเวลาว่าง ที่เป็นเวลาส่วนตัว จะไม่มีการก้าวก่ายกัน
4. เรื่องผลการเรียน ถ้ามีตัวไหนผลการเรียนตก แม่จะคอยถาม ว่าเราถนัด หรือไม่ถนัดอันนี้ไหม ทำไมถึงตกลง อะไรแบบนี้
รวมถึงค่อยๆชี้แนวทางว่าเราน่าจะฝึก หรือเพิ่มเติมตรงไหนบ้าง
ช่วงปิดเทอม พวกผมลูกๆของแม่สามคน ไม่เคยมีใครถูกบังคับไปเรียนพิเศษเลย เว้นว่าแต่สมัครใจ
แต่แม่จะให้เลือกเรียน หรือทำในสิ่งที่อยากทำดู เช่นผมไปเรียนวาดรูป
หรือน้องคนเล็กไปเรียนกีต้าร์ หรือมาช่วยงานที่ร้านผม และเลือกที่จะไปเรียน(เพราะเพื่อนไป) หรือเลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองยังอ่อน
ได้เปิดโอกาสให้ได้ลองทำในสิ่งที่อยากทำ
5. โชคดีมาก อีกอย่าง ที่พ่อกับแม่ไม่ได้ยึดติดกับผลการเรียนของลูกมากนัก
น้องคนกลางผม เรียนได้4.00มาตลอด ทั้งตอนมัธยม และมหาลัย
จนพ่อกับแม่ต้องเป็นห่วงเอง ว่าอยากให้เกรดตกลงมั่ง จะได้ไม่ต้องกดดันตัวเองว่าต้องพอร์เฟคอยู่ตลอดเวลา
พอมี้ลเทอมหนึ่ง(เทอมเดียว) เกิดเกรดตกลงมาจาก A ล้วน ได้ B+ อยู่ตัว น้องนอยด์มาก แต่พ่อกับแม่บอกว่าดีแล้วๆจะได้ลดภาระที่แบกอยู่ลงมั่ง 555
ส่วนคนเล็ก เรียนเก่งไม่มากเท่าผมกับน้องคนกลาง แม่ก็บอกว่า ไม่ตกเกณฑ์ก็ดีแล้ว
6. ผม และน้องๆ โชคดี ที่ได้รับการเชื่อใจ และเชื่อมั่นในสิ่งที่ได้ตัดสินใจลงไปแล้ว
ถ้าหากอะไรที่ผ่านการถกเถียง พูดคุยกันจนรู้รื่องเข้าใจแล้ว
แม่กับพ่อจะคอยบอกเสมอครับ ว่า เรามั่นใจว่าลูกต้องทำได้ และจะคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ
ทั้งหมดนี้คงเป็นพื้นฐานที่หล่อหลอมมาจนทำให้มีทุกวันนี้ได้
แล้วของเพื่อนๆล่ะครับ
พ่อแม่คุณเลี้ยงคุณมากันยังไง ที่ทำให้คุณมีทุกวันนี้ได้ครับ