ว่าด้วยเรื่องการลาออก แน่นอน ทุกๆคน เมื่อได้ตั้งเป้าหมายในชีวิตแล้ว ก็ต้อง ไปให้ถึงเป้าหมาย แต่ทว่า ในระหว่างทางไปเป้าหมาย มักจะเจอปัญหา และอุปสรรคมากมาย จน ทำให้รู้สึกท้อแท้ ล้มลุกคลุกคลาน บางคน เลือกที่จะสู้ อดทน เพื่อเป้าหมาย บางคนเลือกที่จะ ท้อ และยอมแพ้ บางคนเลือกที่จะหาวิธีอื่นๆ เพื่อไปสู่เป้าหมายให้ได้ และแน่นอนครับ ในระหว่างเส้นทางนั้นๆ หาก มันไม่สมเหตุสมผล หรือมันเป็นเส้นทางที่ยากลำบากเกินกว่าจะไปถึงเป้าหมายในเร็ววัน มันก็เปรียบเสมือน รถ เฟอลารี่ วิ่งในทางลูกลัง ซึ่ง ถึงจะมีความเร็วแต่ก็วิ่ง ไปได้อย่างช้าๆ เผลอๆ จะทำให้เครื่องพังเสียเปล่า ใช่แล้วครับ เราต้องประเมิน สถานการของเราเสียก่อนว่า 1 เป้าหมายของเราคืออะไร ระหว่าง (เงิน+ความสุข+สุขภาพ+อนาคต+เกรียติ์ยศ) 2 เราเป็นรถประเภทไหน 3 ทางที่เราจะขับเป็นเช่นไร นั้นล่ะครับ เมื่อทุกอย่างเกิดความสมดุลกันแล้ว ก็จะทำให้เรา ถึงเป้าหมายของเราได้อย่างราบรื่น และรวดเร็ว แต่หาก เรายังไม่เข้าใจว่า สิ่งที่เราต้องการจิงๆ คืออะไร เรามีศักดิ์กายภาพ ขนาดไหน ใน การเดินทาง และ ทางของ เรา เป็นเส้น ทางที่ มีปัญหาหรืออุปสรรคอะไรบ้าง นี่ละครับ คือปัญหา ของมุนษย์เงินเดือน ในทุกวันนี้ ดังนั้น สิ่งที่จะตามมาสำหรับ เหตุการเลวร้าย ที่เกิดขึ้น ในระหว่างการเดินทาง ไปหาเป้าหมายของ มนุษย์เงินเดือน ที่ ไม่รู้ หรือรู้ไม่ชัดเจน ดังทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมา คือ ระดับที่เลวร้ายที่สุดระดับ 1 ทำงานอย่างทุกข์ทน อดทนจนสุขภาพจิตเสีย สุขภาพกายก็เริ่มเสียตามมา การตอบสนองช้า มองโลกในแง่ร้าย เป็นโรคซึ่มเศร้า ใช้เงินซื้อความสุขไปวันๆ จนสุดท้าย ก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายในการทำงานของตนเองคืออะไร และก็วนเวียนในวัฏจักร มนุษย์เงินเดือน ไปอย่างไม่จบสิ้น คนกลุ่มนี้จะยึดติดกับความมั่นคง ส่วนต่อไป ระดับ ที่ดีขึ้นระดับ 2 ไม่รู้เป้าหมายแต่รู้ตัวเอง ว่า ตัวเองเป็น รถประเภทไหน เหมาะสมกับ เส้นทางที่ใช้ชีวิตหรือไม่คนกลุ่มนี้ จะสรรหาความสำเร็จเพื่อตอบสนองความต้องการ หรือความสุขโดย ไม่ยึดติดกับ ความมั่นคง แต่ยึดติดกับความรู้สึกสบายใจแบบชั่วคราว ดังนั้น เมื่อมีเหตุการต่างๆ ที่รู้สึกไม่สมเหตุสมผล เช่น ทำงานหนัก เงินเดือนน้อย เจ้านายกดดัน ทำงาน ที่ตัวเองไม่ชอบ ไม่สบายใจ คนกลุ่มนี้มักจะลาออก แล้วหาที่ ที่เหมาะสมกับตนเองไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย ก็รู้สึกว่า ทำไมยิ่งลาออกเพื่อหาความสบายใจ แล้วยิ่งไม่สบายใจ ยิ่งมีคำถาม ว่า ตนเองว่า สิ่งที่ตนเองต้องการจริงๆ คืออะไรกันแน่ และปลายทาง คนกลุ่มนี้ก็จะกลับมาเป็นคนกลุ่มที่ 1 ที่ จะพยายามอดทน ไม่ลาออกแล้ว ฝืน ทำงาน ให้อยู่ทนอย่างมั่นคง เพราะอายุเริ่มเยอะ ตัวเลือกการทำงานก็น้อยลง และก้อจมกับความทุกข์ เพราะ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร จากวัฏจักรมนุษย์เงินเดือน และสุดท้ายท้ายสุดคนกลุ่มที่ 3 เป็นคนที่รู้เป้าหมาย รู้ตัวเอง รู้เส้นทาง เดิน แต่ ไม่มึความกล้า เพราะกลัวอนาคต ที่คาดเดาไม่ได้ กลัวไม่ได้เป็นอย่างเป้าหมายที่หวังไว้ กลัวว่าตัวเองจะไปไม่รอด คนกลุ่มนี้มักมีการวางแผนไว้อย่างดี มีเป้าหมายที่จัดเจน และรู้สถานณการในปัจจุบันเป็นอย่างดีแต่ด้วยความกลัว จึงต้องอดทดกับความรู้สึกเดิม อยู่ในที่เดิมๆ เพื่อหวังว่าจะถึงเป้าหมายในในหลากหลายวิธีพร้อมๆกัน โดย ไม่กล้าที่จะสลัดชีวิตมนุษย์เงินเดือน แล้ว ก้าวไปสู้สิ่งใหม่ เพราะความกลัว แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะสามารถไปถึงเป้าหมายได้ แต่ก็อาจจะไปถึงช้า เพราะ ถึงเขาจะรู้ว่าตัวเขาคือรถประเภทไหน เหมาะกับทางเดินแบบไหน และ เขารู้ว่าปลายทางของเขา จะไปที่ไหน แต่เขาก็ไม่อยากจะทิ้งเส้นทางเดิม ที่เขาศึกษา มา อยู่กับมันมาเกือบตลอดชีวิต เพราะเขามั่นใจว่า เส้นทางที่เขาเดินจะลำบากแต่ก็ยังถึง เป้าหมาย แม้ว่า จะช้า แต่ เขาก็ หา อย่างอื่น ทำไปด้วยเพื่อให้ถึงไวขึ้น แม้ว่าเครื่องจักรของของ จะเสีย ไม่ว่าทางใจ หรือทางกาย เขาก็ยัง คงจะอดทน ซ่อมแซม และ เดินต่อไปเพื่อเป้าหมาย เพราะเขาคิดว่าเป้าหมายที่เขาคิดนั้น คือ ความสุข การหลุดพ้น จากชีวิตมนุษเงินเดือน และสุดท้ายคนกลุ่มนี้ ก็มักจะไปไม่ถึงเป้าหมาย เพราะตายระหว่างทาง จากการดันทุรัง จากการปิดตา ไม่มองความเป็นจริง ทั้งๆ ที่รู้ทุกอย่าง แต่ ขาดความกล้า ที่จะกระโดดออกจากกรอบความคิดที่ยึดมั่น แต่วิธีโดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึก ของตนเองยึดมั่นแต่ความคิดเดิมๆ แม้ว่าจะทุกข์ทรมานแค่ไหน กับเส้นทางเดินนั้น ครับ ที่กล่าว คือ เปลือก บทนำ คือเรื่องราวย่อๆ ที่แบ่งประเภทของมนุษย์เงินเดือน 3 กลุ่มที่ต้องทนทุกข์ กับสิ่ง ที่เป็นอยู่ อย่างทรมาน คุณสังเกตุเห็นมั้ยครับ ว่า จิงๆ แล้ว ผมบอกว่า เรามีความทุกข์จากการ ทำงาน ในวงจรมนุษย์เงินเดือน แต่ ลึกไปกว่านั้น เรามีความทุกข์จาก สิ่งที่ เราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไรกันแน่ในชีวิต และ ถ้ามองลึกไปกว่านั้น คือเราไม่รู้ว่าเราคือใคร ต้องการอะไร แล้วสิ่งที่เราเป็นอยู่เหมาะสมกับเราหรือไม่ ใช่ครับ ผมบอกอย่างงี้ แต่ จิงๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้คือเปลือกครับ แก่นของมันจิงๆ คือ เรา มีความทุกข์จากความรู้สึกของเรา มีความทุกกับ คำว่า ความสุขคืออะไร เราพยายามวิ่งหามัน โดยการมโนเอาเองว่า (เงิน+ความสุข+สุขภาพ+อนาคต+เกรียติ์ยศ) นั้นคือปลายทาง ของชีวิตที่เราต้องการ แล้ว เรา ก็วิ่งตามหามันด้วยวิธีการต่างๆ จนวนเวียน เป็น วัฏจักร์ มนุษย์เงินเดือน ที่มองว่าเงินเดือน คือ ทุกสิ่งที่จะสามารถนำทางไปสู่เป้าหมายจนลืมไปว่า การมุ่งแต่จะไปหาเป้าหมาย เส้นทางที่แสนลำบาก นั้นในระหว่างทางเดิน มัน มีความสวยงาม มีความทรงจำ มีความผูกพันธ์ มีความรู้สึกดีๆ อยู่รอบๆ ในระหว่างทางเดิมของ เรา แต่เรามองไม่เห็นมัน เราไม่เคยคิดว่านั้นคือความสุขเราไม่เคยเก็บเกี่ยว ความสุข เล็กๆพวกนั้น เรามองข้ามองค์ประกอบของชีวิตไป มองชีวิตเหมือนข้าราชการรอเกษียร แต่ พอเกษียรแล้ว คิดว่าจะมีความสุข กับจมอยู่กับของทุกข์ ที่ ผ่านมาในชีวิต ปราศจากมิตรและคนเคียงข้าง นั้นล่ะครับ จิงๆแล้ว เรามีความทุกข์จากความรู้สึกครับ มนุษย์ทุกคน สามารถดำรงชีวิตในปัจจัยแวดล้อม ได้ทุกที่ ทุกอย่าง แต่ มนุษย์มีความอดทนในปัจจัยแวดล้อมนั้นๆ ไม่เท่ากัน จากความรู้สึก อันประกอบไปด้วย ความต้องการ และ อื่นๆ ที่ไม่เท่ากัน จนสุดท้ายก็ต้องดิ้นสนแสวงหาความต้องการ เพื่อให้ชีวิตตนดำเนินต่อไปได้ จากบทความทั้งหมดที่กล่าวมา ผมไม่มียาแรง อะไร ทีจะไปช่วยแก้ปัญหา ได้แต่แนะนำว่า ถ้าเราต้องการการหลุดพ้นในสิ่งที่เป็นอยู่ เรา ต้องเข้าใจความรู้สึก เข้าใจสิ่งที่ต้องการ ที่ เป็นความต้องการทางจิตใจที่แท้จิง และ ควร ที่จะ มองความสบายใจ อย่างสมเหตุสมผลไม่ใช่ความสบายใจ เพื่อหนีปัญหา ณ เวลามีความทุกข์ นั้นๆ และ เมื่อคุณ คิดแล้ว ว่าทางที่คุณกำลังเดินอยู่ มันไม่เหมาะสมกับตัวคุณจริงๆ ก็ ให้จบมันซะ อย่าฝืนความรู้สึกของตัวเอง จน สุขภาพ กาย ใจย่ำแย่ และสุญเสียทุกสิ่งไปจากชีวิตเพราะคุณมองเป้าหมายแค่อย่างเดียว จนลืม ความสุขระหว่างทาง จงอย่าลืม ว่า ชีวิต 1 ชีวิต มี เพียงแค่ 2 หมื่น กว่าวัน จงอย่าเอา ชีวิต ทั้งหมดมาแลกกับ ควาทุกข์ เพียงแค่ ช่วงเวลาสั่นๆ ของชีวิตการทำงาน สรุปจิงๆแล้วนะครับ 55+ สำหรับคนที่อยากลาออกจากงาน ให้ถามใจคุณดู ว่า สมเหตุสมผล สบายใจ และ ใช้ชีวิตต่ออย่างมีความสุขได้ คุณ อย่าลังเล และจมกับกองทุกข์เลยครับ ****จบมันซะ****
การตัดสินใจลาออกทำไมมันยากจัง