สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ภาษีVAT นางฟ้ามองว่าสมควรขึ้น แต่ไม่ใช่เวลานี้
การจะขึ้นVAT คือการผลักภาระให้กับประชาชน จึงควรขึ้นในยามที่ประชาชนมีกำลังซื้อที่ไม่ขัดสน หรือขึ้นในช่วงที่GDP พุ่งสูงเกินไป จะเหมาะที่สุด
ยกตัวอย่างญี่ปุ่นที่ขึ้นจาก5 เป็น8%. จนทำให้คนญี่ปุ่นเองไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ยอดภาษีที่หวังจะได้ก็ไม่เข้าเป้าเพราะยอดซื้อลดฮวบลงมา คนประหยัดมากขึ้น สุดท้ายกลายเป็นการทำให้เศรษฐกิจถดถอยเหมือนเครื่องสะดุดไปดื้อๆ
ส่วนความเห็นสลิ่มนั้นอย่าไปสนใจ เพราะไม่ได้ดูเรื่องเศรษฐกิจ แต่ดูที่ใครเป็นคนทำ ถ้าปูแม้วเป็นคนขึ้นVAT ก็จะถล่มเละ หากเป็น"พวกเดียวกัน" ต่อให้ขึ้นไป15% ก็ไม่ห่วงอะไรทั้งสิ้นเลย ดูตัวอย่างเรื่องรถไฟความเร็วสูงได้นะฮ้า
การจะขึ้นVAT คือการผลักภาระให้กับประชาชน จึงควรขึ้นในยามที่ประชาชนมีกำลังซื้อที่ไม่ขัดสน หรือขึ้นในช่วงที่GDP พุ่งสูงเกินไป จะเหมาะที่สุด
ยกตัวอย่างญี่ปุ่นที่ขึ้นจาก5 เป็น8%. จนทำให้คนญี่ปุ่นเองไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ยอดภาษีที่หวังจะได้ก็ไม่เข้าเป้าเพราะยอดซื้อลดฮวบลงมา คนประหยัดมากขึ้น สุดท้ายกลายเป็นการทำให้เศรษฐกิจถดถอยเหมือนเครื่องสะดุดไปดื้อๆ
ส่วนความเห็นสลิ่มนั้นอย่าไปสนใจ เพราะไม่ได้ดูเรื่องเศรษฐกิจ แต่ดูที่ใครเป็นคนทำ ถ้าปูแม้วเป็นคนขึ้นVAT ก็จะถล่มเละ หากเป็น"พวกเดียวกัน" ต่อให้ขึ้นไป15% ก็ไม่ห่วงอะไรทั้งสิ้นเลย ดูตัวอย่างเรื่องรถไฟความเร็วสูงได้นะฮ้า
ความคิดเห็นที่ 7
100 x 0.08 = 114.286 x 0.07 ใช่ครับ
แต่หลังจากเปลี่ยนเป็น 0.08 แล้ว ในเมื่อประชาชน(ส่วนใหญ่) ระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เจ้า 0.08 นี้ จะทำให้ตัวเลข 100 นี้คงเดิม เพิ่มขึ้น หรือลดลง เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรพิจารณาในสภาพความเป็นอยู่ ณ เวลานี้
บางคนอาจจะนึกถึงว่า ห้วงเวลาหนึ่งของประเทศไทยเคยมี 0.10 มาแล้ว แต่อยากให้ลองพิจารณาถึงเหตุผลที่เศรษฐกิจของประเทศไทย ณ เวลานั้นขยายตัวอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจ เงินคงคลังของประเทศมั่นคงขึ้นมาก และตอนนั้นมีความซ้ำซ้อนของระบบภาษีการค้าและโครงสร้างอัตราภาษีที่มีความบกพร่องของระบบภาษีการค้า การหารายได้ของรัฐผ่านเครื่องมือทางภาษีการค้าและภาษีศุลกากรได้ลดน้อยลง กระทรวงการคลัง ณ เวลานั้น จึงได้เสนอพิจารณายกเลิกภาษีการค้า และนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทน โดยภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวจะมีอัตราเดียวที่ใช้กับสินค้าและบริการทุกชนิด สำหรับสินค้าใดที่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่จะเก็บสูงกว่าอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มเติมจากภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่อย่าลืมว่าหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีก็ปรับลดเหลือ 0.07 จวบจนปัจจุบัน และในห้วงเวลานั้นคนไทยยังไม่เคยรู้จักคำว่าฟองสบู่แตกอีกด้วย
โปรดลองพิจารณาดูว่าสภาพการณ์ ณ ปัจจุบัน เมื่อเปลี่ยนจาก 0.07 เป็น 0.08 แน่นอนว่าราคาสินค้าในภาพรวมต้องมีราคาที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกันประชาชนนภาครวมมีรายได้เป็นเช่นไร มากขึ้น เท่าเดิม ลดลง มีอยู่ 3 อย่าง แต่ราคาสินค้าขึ้นแน่ ลองเปรียบเทียบว่ากำลังซื้อหลังจากที่คูณกันใหม่แล้ว จะได้มากขึ้นหรือน้อยลง หรือถ้าได้มากขึ้นแล้วคุ้มหรือไม่กับความเดือดร้อนและภาระรายจ่ายของประชาชนในประเทศที่มากขึ้น คุ้มหรือไม่กับภาพลักษณ์ที่ประชาชนมองประสิทธิภาพการทำงานที่ประชาชนต้องมาเข้าเนื้อ คุ้มหรือไม่กับการเอาความสามารถในการบริหารงานด้านเศรษฐกิจมาเททิ้งเพื่อแลกกับเม็ดเงินซึ่งได้มาจากความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องมาแบกรับกับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในสภาวะเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน
แต่หลังจากเปลี่ยนเป็น 0.08 แล้ว ในเมื่อประชาชน(ส่วนใหญ่) ระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เจ้า 0.08 นี้ จะทำให้ตัวเลข 100 นี้คงเดิม เพิ่มขึ้น หรือลดลง เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรพิจารณาในสภาพความเป็นอยู่ ณ เวลานี้
บางคนอาจจะนึกถึงว่า ห้วงเวลาหนึ่งของประเทศไทยเคยมี 0.10 มาแล้ว แต่อยากให้ลองพิจารณาถึงเหตุผลที่เศรษฐกิจของประเทศไทย ณ เวลานั้นขยายตัวอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจ เงินคงคลังของประเทศมั่นคงขึ้นมาก และตอนนั้นมีความซ้ำซ้อนของระบบภาษีการค้าและโครงสร้างอัตราภาษีที่มีความบกพร่องของระบบภาษีการค้า การหารายได้ของรัฐผ่านเครื่องมือทางภาษีการค้าและภาษีศุลกากรได้ลดน้อยลง กระทรวงการคลัง ณ เวลานั้น จึงได้เสนอพิจารณายกเลิกภาษีการค้า และนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทน โดยภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวจะมีอัตราเดียวที่ใช้กับสินค้าและบริการทุกชนิด สำหรับสินค้าใดที่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่จะเก็บสูงกว่าอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มเติมจากภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่อย่าลืมว่าหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีก็ปรับลดเหลือ 0.07 จวบจนปัจจุบัน และในห้วงเวลานั้นคนไทยยังไม่เคยรู้จักคำว่าฟองสบู่แตกอีกด้วย
โปรดลองพิจารณาดูว่าสภาพการณ์ ณ ปัจจุบัน เมื่อเปลี่ยนจาก 0.07 เป็น 0.08 แน่นอนว่าราคาสินค้าในภาพรวมต้องมีราคาที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกันประชาชนนภาครวมมีรายได้เป็นเช่นไร มากขึ้น เท่าเดิม ลดลง มีอยู่ 3 อย่าง แต่ราคาสินค้าขึ้นแน่ ลองเปรียบเทียบว่ากำลังซื้อหลังจากที่คูณกันใหม่แล้ว จะได้มากขึ้นหรือน้อยลง หรือถ้าได้มากขึ้นแล้วคุ้มหรือไม่กับความเดือดร้อนและภาระรายจ่ายของประชาชนในประเทศที่มากขึ้น คุ้มหรือไม่กับภาพลักษณ์ที่ประชาชนมองประสิทธิภาพการทำงานที่ประชาชนต้องมาเข้าเนื้อ คุ้มหรือไม่กับการเอาความสามารถในการบริหารงานด้านเศรษฐกิจมาเททิ้งเพื่อแลกกับเม็ดเงินซึ่งได้มาจากความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องมาแบกรับกับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในสภาวะเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน
ความคิดเห็นที่ 5
วิธีแก้ไขที่ถูกต้องคือ
การลดรายจ่ายของภาครัฐ
งบประมาณของปี พ.ศ 2560 ประมาณ 2.7 ล้านๆ บาท
ถ้าสามารถลดงบประมาณลง 3% ก็จะประมาณเท่ากับ 7 หมื่นกว่าล้านบาทเหมือนกัน
หรือ
ในปีหนึ่งๆ งบประมาณกว่า 70 % ถูกใช้ไปกับเงินเดือนของข้าราชการ
นั่นหมายความว่า ปีๆหนึ่ง เราต้องจัดสรรงบประมาณ ประมาณ 1 ล้าน 8 แสนล้านบาทไปกับเงินเดือน
ถ้าลดเงินเดือนลง 4 % นั่นก็จะได้เงินคืนมา 70,000 ล้านเหมือนกัน
การลดรายจ่ายทั้งสองส่วนนี้ น่าจะเป็นวิธีการที่เหมาะสมกว่าการขึ้น VAT. ในช่วงเวลานี้
ป.ล ข้าราชการอาจจะไม่พอใจที่ถูกลดเงินเดือน แต่ที่ผ่านมาตลอด 3 ปี มีแต่ข้าราชการเท่านั้นที่มีรายได้เพิ่ม
เอกชนส่วนใหญ่มีรายได้ลดลงทั้งสิ้น การปรับลดทั้งเงินเดือนและบุคคลากรในหน่วยงานราชการ
จึงสมเหตุสมผลเหมาะกับสถานการณ์
cnck
การลดรายจ่ายของภาครัฐ
งบประมาณของปี พ.ศ 2560 ประมาณ 2.7 ล้านๆ บาท
ถ้าสามารถลดงบประมาณลง 3% ก็จะประมาณเท่ากับ 7 หมื่นกว่าล้านบาทเหมือนกัน
หรือ
ในปีหนึ่งๆ งบประมาณกว่า 70 % ถูกใช้ไปกับเงินเดือนของข้าราชการ
นั่นหมายความว่า ปีๆหนึ่ง เราต้องจัดสรรงบประมาณ ประมาณ 1 ล้าน 8 แสนล้านบาทไปกับเงินเดือน
ถ้าลดเงินเดือนลง 4 % นั่นก็จะได้เงินคืนมา 70,000 ล้านเหมือนกัน
การลดรายจ่ายทั้งสองส่วนนี้ น่าจะเป็นวิธีการที่เหมาะสมกว่าการขึ้น VAT. ในช่วงเวลานี้
ป.ล ข้าราชการอาจจะไม่พอใจที่ถูกลดเงินเดือน แต่ที่ผ่านมาตลอด 3 ปี มีแต่ข้าราชการเท่านั้นที่มีรายได้เพิ่ม
เอกชนส่วนใหญ่มีรายได้ลดลงทั้งสิ้น การปรับลดทั้งเงินเดือนและบุคคลากรในหน่วยงานราชการ
จึงสมเหตุสมผลเหมาะกับสถานการณ์
cnck
ความคิดเห็นที่ 3
เป็นมุมมองที่น่าสนใจค่ะพี่ฟาง เป็นคนธรรมดาไม่ได้เชี่ยวชาญหรือมีการค้าใหญ่โตอะไรเหมือนกัน ก็คิดแบบบ้านๆ ว่าหากต้องการรายได้เข้ารัฐเพิ่ม มันก็มีหนทาง คือ
1. ขึ้นภาษี ประชาชนเดือดร้อนแน่ๆ ผู้ประกอบการรายใหญ่สุดท้ายก็จะหาทางผลักภาระทั้งหลายไปลงที่ผู้บริโภค ชนชั้นกลางค่อนไปทางรายได้น้อย ได้รับผลกระทบเต็มๆ รายได้เท่าเดิมหรือลดลง แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น และถ้าประชาชนเดือดร้อนมากๆ ไม่แค่รัฐอาจไม่ได้เก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นนัก แต่จะได้รับผลตีกลับที่คาดไม่ถึง
2. เพิ่มกำลังซื้อ เป็นทางที่ควรจะทำ หาทางเพิ่มรายได้ให้ประชาชนมีกำลังซื้อ รัฐก็เก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นเอง แต่วิธีนี้อย่างว่า ต้องใช้วิสัยทัศน์ และความสามารถในการบริหารจัดการ รู้จักวางนโยบายดีๆ สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับรากหญ้า รู้จักทำมาค้าขายกับต่างชาติ ฯลฯ
ต่อมาเรื่องกำลังซื้อ ไม่รู้ว่าโพล หรือข่าวจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ที่พบเห็นกับตัวคือ ทุกวันนี้คนค้าขายลำบากกันมาก มีตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ
- เพิ่งได้คุยกับแม่ค้าขายข้าวเหนียวไก่ย่างแผงเล็กๆ ในจังหวัดท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง แม่ค้าบอกว่ารายได้ลดลงมาก เดิมนึ่งข้าวเหนียววันละ 6 กิโล สายๆ ก็หมดแล้ว ทุกวันนี้นึ่งไว้ 2 กิโล ยังลุ้นไปถึงบ่าย ขนาดของกิน ยอดขายหายไปเหลือแค่ 1 ใน 3
- เคยคุยกับเพื่อน เขาก็บอกว่าไก่ย่างแถวบ้านเขาก็ปิ้งน้อยลง จากวันละประมาณ 20 ตัว ทุกวันนี้ย่าง 6 ตัว กว่าจะขายหมด ต้องแบ่งขายอีกต่างหาก ไม่น่าเชื่อเหลือ 1 ใน 3 เช่นกัน
ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอยกตัวอย่างเรื่อง OTOP อีกครั้ง
ดร.โมริฮิโกะ ฮิรามัตสึ ผู้ริเริ่มแนวคิด OVOP (One Village, One Product) ท่านมองว่าหากแต่ละชุมชนหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นจุดเด่น แล้วเพิ่มมูลค่าการตลาดด้วยการใส่ความคิดสร้างสรรค์หรือเอกลักษณ์เข้าไปก็จะนำรายได้มาสู่ท้องถิ่น กลายเป็นชุมชนเข้มแข็ง และหากหลายๆ ท้องถิ่นทำเช่นนี้ ก็จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น และญี่ปุ่นก็ทำสำเร็จ

มีประเทศต่างๆ นำไปเป็นต้นแบบพัฒนากันมากมาย รวมถึง จีน และอเมริกาด้วย
น่าดีใจที่ยุคหนึ่งเรามีนายกชื่อ "ทักษิณ" ที่มีวิสัยทัศน์ รู้จักนำแนวคิดดีๆ มาปรับใช้เพื่อพัฒนาประเทศและช่วยเหลือประชาชน
อยากได้รายได้เข้ารัฐ อยากให้ระบบเศรษฐกิจดี ถ้าไม่สร้างความเข้มแข็งมั่นคงจากรากหญ้า คิดแต่จะรีดเลือดกับปู ไม่มีทางทำได้แน่นอน
1. ขึ้นภาษี ประชาชนเดือดร้อนแน่ๆ ผู้ประกอบการรายใหญ่สุดท้ายก็จะหาทางผลักภาระทั้งหลายไปลงที่ผู้บริโภค ชนชั้นกลางค่อนไปทางรายได้น้อย ได้รับผลกระทบเต็มๆ รายได้เท่าเดิมหรือลดลง แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น และถ้าประชาชนเดือดร้อนมากๆ ไม่แค่รัฐอาจไม่ได้เก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นนัก แต่จะได้รับผลตีกลับที่คาดไม่ถึง
2. เพิ่มกำลังซื้อ เป็นทางที่ควรจะทำ หาทางเพิ่มรายได้ให้ประชาชนมีกำลังซื้อ รัฐก็เก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นเอง แต่วิธีนี้อย่างว่า ต้องใช้วิสัยทัศน์ และความสามารถในการบริหารจัดการ รู้จักวางนโยบายดีๆ สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับรากหญ้า รู้จักทำมาค้าขายกับต่างชาติ ฯลฯ
ต่อมาเรื่องกำลังซื้อ ไม่รู้ว่าโพล หรือข่าวจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ที่พบเห็นกับตัวคือ ทุกวันนี้คนค้าขายลำบากกันมาก มีตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ
- เพิ่งได้คุยกับแม่ค้าขายข้าวเหนียวไก่ย่างแผงเล็กๆ ในจังหวัดท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง แม่ค้าบอกว่ารายได้ลดลงมาก เดิมนึ่งข้าวเหนียววันละ 6 กิโล สายๆ ก็หมดแล้ว ทุกวันนี้นึ่งไว้ 2 กิโล ยังลุ้นไปถึงบ่าย ขนาดของกิน ยอดขายหายไปเหลือแค่ 1 ใน 3
- เคยคุยกับเพื่อน เขาก็บอกว่าไก่ย่างแถวบ้านเขาก็ปิ้งน้อยลง จากวันละประมาณ 20 ตัว ทุกวันนี้ย่าง 6 ตัว กว่าจะขายหมด ต้องแบ่งขายอีกต่างหาก ไม่น่าเชื่อเหลือ 1 ใน 3 เช่นกัน
ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอยกตัวอย่างเรื่อง OTOP อีกครั้ง
ดร.โมริฮิโกะ ฮิรามัตสึ ผู้ริเริ่มแนวคิด OVOP (One Village, One Product) ท่านมองว่าหากแต่ละชุมชนหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นจุดเด่น แล้วเพิ่มมูลค่าการตลาดด้วยการใส่ความคิดสร้างสรรค์หรือเอกลักษณ์เข้าไปก็จะนำรายได้มาสู่ท้องถิ่น กลายเป็นชุมชนเข้มแข็ง และหากหลายๆ ท้องถิ่นทำเช่นนี้ ก็จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น และญี่ปุ่นก็ทำสำเร็จ

มีประเทศต่างๆ นำไปเป็นต้นแบบพัฒนากันมากมาย รวมถึง จีน และอเมริกาด้วย
น่าดีใจที่ยุคหนึ่งเรามีนายกชื่อ "ทักษิณ" ที่มีวิสัยทัศน์ รู้จักนำแนวคิดดีๆ มาปรับใช้เพื่อพัฒนาประเทศและช่วยเหลือประชาชน
อยากได้รายได้เข้ารัฐ อยากให้ระบบเศรษฐกิจดี ถ้าไม่สร้างความเข้มแข็งมั่นคงจากรากหญ้า คิดแต่จะรีดเลือดกับปู ไม่มีทางทำได้แน่นอน
แสดงความคิดเห็น
100 x 0.08 = 114.286 x 0.07 ...ไม่กินฟาง
ตัวเลขนี้ผมนำมาเปรียบเทียบการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มครับ
ผมไม่ใช่คนมีความรู้ ความเก่งอะไร ก็แค่คนเดินดินกินข้าวแกงธรรมดาๆแหละครับ แค่มีความคิดสร้างสรร พลิกแพลงบ้างก็เท่านั้น
ถ้าผมทำการค้า ถ้าต้องการรายได้ที่เพิ่มขึ้น เรื่องการขึ้นราคาสินค้า คงไม่ใช่ทางเลือก จะขึ้นก็เพื่อให้สัมพันธ์กับต้นทุนเท่านั้นเองครับ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % ถ้าเพิ่มเป็น 8 % ผมว่ามีผลกระทบแน่ หลายด้วย แล้วที่สำคัญ หากมูลค่าการซื้อขายในตลาดยังเท่าเดิม การขึ้นภาษีอีก 1 บาท หรือ 14.28 % ก็ได้เงินเพิ่มตามเป้าแหละครับ แต่ไม่มีทางได้มากกว่านั้น เพราะมูลค่าการซื้อขายในตลาดไม่ได้เพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ผมว่ามูลค่าการซื้อขายจะลดลงด้วยซ้ำ เพราะราคาสินค้า ต้องแพงขึ้น อาจทำให้ต้องประหยัดกันมากขึ้น
ถ้าเป็นผม ผมเลือกหาทางเพิ่มมูลค่าการซื้อขายครับ สมมุติ ประชาชนคนนึง มีกำลังซื้อ(สินค้าที่มีภาษี) 100 บาท ถ้าทำให้เขามีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น เป็น 114.286 บาท ก็จะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราเดิม 8 บาท โดยไม่ต้องขึ้นภาษี แล้วก็ยังไม่แน่ วิธีนี้กำลังอาจจะไม่ได้อยู่แค่ 114.286 ก็ได้ครับ อาจมากกว่านั้นก็ได้ ภาษีก็ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องขึ้นภาษี
แล้ว 114.286 จะทำได้หรือป่าว จะได้ตามนั้นหรือ อันนี้อยู่ที่ "กึ๋น" ผู้บริหารแล้วละครับ ผมไม่รู้หลอกว่าต้องทำยังไง ถ้าผมรู้ เก่งขนาดนั้น ผมเสนอตัวเข้าไปรับใช้ชาติแล้วละครับ
ที่ผ่านมา ผมเห็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยหลายอย่าง มันเอื้อให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น กระตุ้นการซื้อขายมากขึ้น
ปล. ส่วนจะเปรียบเทียบในยุคนั้นๆ หรือสมัยไหนๆ เก็บภาษีได้มากกว่า น้อยกว่ายังไง ผมไม่รู้
Hay