100 x 0.08 = 114.286 x 0.07 ...ไม่กินฟาง

กระทู้คำถาม
ตามหัวกระทู้เลยครับ  100 x 0.08 มันมีค่าเท่ากับ 114.286 x 0.07

ตัวเลขนี้ผมนำมาเปรียบเทียบการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มครับ





ผมไม่ใช่คนมีความรู้ ความเก่งอะไร  ก็แค่คนเดินดินกินข้าวแกงธรรมดาๆแหละครับ  แค่มีความคิดสร้างสรร พลิกแพลงบ้างก็เท่านั้น

ถ้าผมทำการค้า  ถ้าต้องการรายได้ที่เพิ่มขึ้น  เรื่องการขึ้นราคาสินค้า  คงไม่ใช่ทางเลือก  จะขึ้นก็เพื่อให้สัมพันธ์กับต้นทุนเท่านั้นเองครับ



ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % ถ้าเพิ่มเป็น 8 %  ผมว่ามีผลกระทบแน่ หลายด้วย  แล้วที่สำคัญ หากมูลค่าการซื้อขายในตลาดยังเท่าเดิม การขึ้นภาษีอีก 1 บาท  หรือ 14.28 %  ก็ได้เงินเพิ่มตามเป้าแหละครับ  แต่ไม่มีทางได้มากกว่านั้น เพราะมูลค่าการซื้อขายในตลาดไม่ได้เพิ่มขึ้น  ในทางกลับกัน  ผมว่ามูลค่าการซื้อขายจะลดลงด้วยซ้ำ  เพราะราคาสินค้า ต้องแพงขึ้น อาจทำให้ต้องประหยัดกันมากขึ้น




ถ้าเป็นผม ผมเลือกหาทางเพิ่มมูลค่าการซื้อขายครับ  สมมุติ ประชาชนคนนึง  มีกำลังซื้อ(สินค้าที่มีภาษี) 100 บาท  ถ้าทำให้เขามีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น เป็น 114.286   บาท  ก็จะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราเดิม 8 บาท โดยไม่ต้องขึ้นภาษี  แล้วก็ยังไม่แน่  วิธีนี้กำลังอาจจะไม่ได้อยู่แค่ 114.286 ก็ได้ครับ อาจมากกว่านั้นก็ได้ ภาษีก็ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องขึ้นภาษี


แล้ว  114.286  จะทำได้หรือป่าว จะได้ตามนั้นหรือ  อันนี้อยู่ที่  "กึ๋น"  ผู้บริหารแล้วละครับ  ผมไม่รู้หลอกว่าต้องทำยังไง  ถ้าผมรู้ เก่งขนาดนั้น ผมเสนอตัวเข้าไปรับใช้ชาติแล้วละครับ


ที่ผ่านมา ผมเห็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยหลายอย่าง มันเอื้อให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น กระตุ้นการซื้อขายมากขึ้น  

ปล. ส่วนจะเปรียบเทียบในยุคนั้นๆ หรือสมัยไหนๆ เก็บภาษีได้มากกว่า น้อยกว่ายังไง ผมไม่รู้



Hay
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ภาษีVAT นางฟ้ามองว่าสมควรขึ้น แต่ไม่ใช่เวลานี้

การจะขึ้นVAT คือการผลักภาระให้กับประชาชน จึงควรขึ้นในยามที่ประชาชนมีกำลังซื้อที่ไม่ขัดสน หรือขึ้นในช่วงที่GDP พุ่งสูงเกินไป จะเหมาะที่สุด

ยกตัวอย่างญี่ปุ่นที่ขึ้นจาก5 เป็น8%. จนทำให้คนญี่ปุ่นเองไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย  ยอดภาษีที่หวังจะได้ก็ไม่เข้าเป้าเพราะยอดซื้อลดฮวบลงมา คนประหยัดมากขึ้น  สุดท้ายกลายเป็นการทำให้เศรษฐกิจถดถอยเหมือนเครื่องสะดุดไปดื้อๆ

ส่วนความเห็นสลิ่มนั้นอย่าไปสนใจ เพราะไม่ได้ดูเรื่องเศรษฐกิจ แต่ดูที่ใครเป็นคนทำ ถ้าปูแม้วเป็นคนขึ้นVAT ก็จะถล่มเละ  หากเป็น"พวกเดียวกัน" ต่อให้ขึ้นไป15% ก็ไม่ห่วงอะไรทั้งสิ้นเลย ดูตัวอย่างเรื่องรถไฟความเร็วสูงได้นะฮ้า
ความคิดเห็นที่ 7
100 x 0.08 = 114.286 x 0.07 ใช่ครับ

แต่หลังจากเปลี่ยนเป็น 0.08 แล้ว ในเมื่อประชาชน(ส่วนใหญ่) ระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เจ้า 0.08 นี้ จะทำให้ตัวเลข 100 นี้คงเดิม เพิ่มขึ้น หรือลดลง เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรพิจารณาในสภาพความเป็นอยู่ ณ เวลานี้

บางคนอาจจะนึกถึงว่า ห้วงเวลาหนึ่งของประเทศไทยเคยมี 0.10 มาแล้ว แต่อยากให้ลองพิจารณาถึงเหตุผลที่เศรษฐกิจของประเทศไทย ณ เวลานั้นขยายตัวอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจ เงินคงคลังของประเทศมั่นคงขึ้นมาก และตอนนั้นมีความซ้ำซ้อนของระบบภาษีการค้าและโครงสร้างอัตราภาษีที่มีความบกพร่องของระบบภาษีการค้า การหารายได้ของรัฐผ่านเครื่องมือทางภาษีการค้าและภาษีศุลกากรได้ลดน้อยลง กระทรวงการคลัง ณ เวลานั้น จึงได้เสนอพิจารณายกเลิกภาษีการค้า และนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทน โดยภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวจะมีอัตราเดียวที่ใช้กับสินค้าและบริการทุกชนิด สำหรับสินค้าใดที่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่จะเก็บสูงกว่าอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มเติมจากภาษีมูลค่าเพิ่ม  แต่อย่าลืมว่าหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีก็ปรับลดเหลือ 0.07 จวบจนปัจจุบัน และในห้วงเวลานั้นคนไทยยังไม่เคยรู้จักคำว่าฟองสบู่แตกอีกด้วย

โปรดลองพิจารณาดูว่าสภาพการณ์ ณ ปัจจุบัน เมื่อเปลี่ยนจาก 0.07 เป็น 0.08 แน่นอนว่าราคาสินค้าในภาพรวมต้องมีราคาที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกันประชาชนนภาครวมมีรายได้เป็นเช่นไร มากขึ้น เท่าเดิม ลดลง มีอยู่ 3 อย่าง แต่ราคาสินค้าขึ้นแน่ ลองเปรียบเทียบว่ากำลังซื้อหลังจากที่คูณกันใหม่แล้ว จะได้มากขึ้นหรือน้อยลง หรือถ้าได้มากขึ้นแล้วคุ้มหรือไม่กับความเดือดร้อนและภาระรายจ่ายของประชาชนในประเทศที่มากขึ้น  คุ้มหรือไม่กับภาพลักษณ์ที่ประชาชนมองประสิทธิภาพการทำงานที่ประชาชนต้องมาเข้าเนื้อ คุ้มหรือไม่กับการเอาความสามารถในการบริหารงานด้านเศรษฐกิจมาเททิ้งเพื่อแลกกับเม็ดเงินซึ่งได้มาจากความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องมาแบกรับกับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในสภาวะเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน
ความคิดเห็นที่ 5
วิธีแก้ไขที่ถูกต้องคือ

การลดรายจ่ายของภาครัฐ

งบประมาณของปี  พ.ศ 2560 ประมาณ 2.7 ล้านๆ  บาท

ถ้าสามารถลดงบประมาณลง 3% ก็จะประมาณเท่ากับ 7 หมื่นกว่าล้านบาทเหมือนกัน

หรือ

ในปีหนึ่งๆ งบประมาณกว่า 70 % ถูกใช้ไปกับเงินเดือนของข้าราชการ

นั่นหมายความว่า ปีๆหนึ่ง เราต้องจัดสรรงบประมาณ ประมาณ 1 ล้าน 8 แสนล้านบาทไปกับเงินเดือน

ถ้าลดเงินเดือนลง 4 % นั่นก็จะได้เงินคืนมา 70,000 ล้านเหมือนกัน


การลดรายจ่ายทั้งสองส่วนนี้ น่าจะเป็นวิธีการที่เหมาะสมกว่าการขึ้น VAT. ในช่วงเวลานี้


ป.ล ข้าราชการอาจจะไม่พอใจที่ถูกลดเงินเดือน แต่ที่ผ่านมาตลอด 3 ปี มีแต่ข้าราชการเท่านั้นที่มีรายได้เพิ่ม

เอกชนส่วนใหญ่มีรายได้ลดลงทั้งสิ้น การปรับลดทั้งเงินเดือนและบุคคลากรในหน่วยงานราชการ

จึงสมเหตุสมผลเหมาะกับสถานการณ์

cnck
ความคิดเห็นที่ 3
เป็นมุมมองที่น่าสนใจค่ะพี่ฟาง เป็นคนธรรมดาไม่ได้เชี่ยวชาญหรือมีการค้าใหญ่โตอะไรเหมือนกัน ก็คิดแบบบ้านๆ ว่าหากต้องการรายได้เข้ารัฐเพิ่ม มันก็มีหนทาง คือ

1. ขึ้นภาษี ประชาชนเดือดร้อนแน่ๆ ผู้ประกอบการรายใหญ่สุดท้ายก็จะหาทางผลักภาระทั้งหลายไปลงที่ผู้บริโภค ชนชั้นกลางค่อนไปทางรายได้น้อย ได้รับผลกระทบเต็มๆ รายได้เท่าเดิมหรือลดลง แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น และถ้าประชาชนเดือดร้อนมากๆ ไม่แค่รัฐอาจไม่ได้เก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นนัก แต่จะได้รับผลตีกลับที่คาดไม่ถึง

2. เพิ่มกำลังซื้อ เป็นทางที่ควรจะทำ หาทางเพิ่มรายได้ให้ประชาชนมีกำลังซื้อ รัฐก็เก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นเอง แต่วิธีนี้อย่างว่า ต้องใช้วิสัยทัศน์ และความสามารถในการบริหารจัดการ รู้จักวางนโยบายดีๆ สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับรากหญ้า รู้จักทำมาค้าขายกับต่างชาติ ฯลฯ

ต่อมาเรื่องกำลังซื้อ ไม่รู้ว่าโพล หรือข่าวจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ที่พบเห็นกับตัวคือ ทุกวันนี้คนค้าขายลำบากกันมาก มีตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ

- เพิ่งได้คุยกับแม่ค้าขายข้าวเหนียวไก่ย่างแผงเล็กๆ ในจังหวัดท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง แม่ค้าบอกว่ารายได้ลดลงมาก เดิมนึ่งข้าวเหนียววันละ 6 กิโล สายๆ ก็หมดแล้ว ทุกวันนี้นึ่งไว้ 2 กิโล ยังลุ้นไปถึงบ่าย ขนาดของกิน ยอดขายหายไปเหลือแค่ 1 ใน 3

- เคยคุยกับเพื่อน เขาก็บอกว่าไก่ย่างแถวบ้านเขาก็ปิ้งน้อยลง จากวันละประมาณ 20 ตัว ทุกวันนี้ย่าง 6 ตัว กว่าจะขายหมด ต้องแบ่งขายอีกต่างหาก ไม่น่าเชื่อเหลือ 1 ใน 3 เช่นกัน


ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอยกตัวอย่างเรื่อง OTOP อีกครั้ง

ดร.โมริฮิโกะ ฮิรามัตสึ ผู้ริเริ่มแนวคิด OVOP (One Village, One Product)  ท่านมองว่าหากแต่ละชุมชนหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นจุดเด่น แล้วเพิ่มมูลค่าการตลาดด้วยการใส่ความคิดสร้างสรรค์หรือเอกลักษณ์เข้าไปก็จะนำรายได้มาสู่ท้องถิ่น กลายเป็นชุมชนเข้มแข็ง และหากหลายๆ ท้องถิ่นทำเช่นนี้ ก็จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น และญี่ปุ่นก็ทำสำเร็จ



มีประเทศต่างๆ นำไปเป็นต้นแบบพัฒนากันมากมาย รวมถึง จีน และอเมริกาด้วย

น่าดีใจที่ยุคหนึ่งเรามีนายกชื่อ "ทักษิณ" ที่มีวิสัยทัศน์ รู้จักนำแนวคิดดีๆ มาปรับใช้เพื่อพัฒนาประเทศและช่วยเหลือประชาชน

อยากได้รายได้เข้ารัฐ อยากให้ระบบเศรษฐกิจดี ถ้าไม่สร้างความเข้มแข็งมั่นคงจากรากหญ้า คิดแต่จะรีดเลือดกับปู ไม่มีทางทำได้แน่นอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่