เนื่องจากผ่านมาหลายปีแล้ว โดยส่วนตัวผมเองไม่เคยผ่านการเป็นทหารเกณฑ์เลยเพราะผ่านการเป็น นศท. มาตั้งแต่วัยมัธยมแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ตัวเองต้องกล้าพูดเกี่ยวกับเรื่องทหารเกณฑ์ในวันนี้ก็คือ แอบสงสารทหารเกณฑ์ไม่ได้ที่ต้องพรากจากพ่อแม่บ้าง ลูกเมียบ้าง เพื่อไปทำในสิ่งที่เรียกกันว่า "รับใช้ชาติ" (โดยการตัดหญ้า?)
ก่อนอื่น ขอเปรียบเทียบเรื่องของ นศท., นายร้อย และ ทหารเกณฑ์ ไว้ก่อน
นศท. = เรียน 1 วัน/สัปดาห์ เข้าค่ายไม่เกิน 3 วัน มีทั้งเต็มใจเป็นและจำต้องเป็นเพราะไม่อยากโดนเกณฑ์
นายร้อย = เรียน 4 ปี จบมามีงานทำ มีแต่เต็มใจเป็น 100%
ทหารเกณฑ์ = เข้ากอง 2 ปี 2-3 เดือนแรกติดต่อพ่อแม่ไม่ได้ จบมาไม่ได้อะไรนอกจากเป็นหลักฐานการสมัครงาน ส่วนใหญ่ไม่เต็มใจเป็น
ผมขอเสนอการเกณฑ์ทหารแบบใหม่ คือ การลงทะเบียนไว้แค่ทหารกองเกิน ไม่ต้องจับใบดำใบแดง ถ้าใครสมัครใจอยากจะเป็นก็ไปเช็คร่างกายและลงทหารกองเกินแล้วเข้าไปอยู่ในค่ายเลย เหตุผลคือ คนส่วนหนึ่งก็อยากเป็นทหารเกณฑ์แต่จับใบดำ (อันนี้อาจจะมีคนบอกว่าอยากเป็นก็ไปสมัครเลยไม่ต้องจับใบดำใบแดง แต่ส่วนตัว ผมคิดว่าหากโดนใบแดงกันจนหมดแล้วและไปสมัครไม่ทัน ก็ไม่มีโอกาสเลย) แต่อีกส่วนที่ไม่เต็มใจกลับได้ใบแดง พอไปอยู่ในค่าย ถ้าเจอสภาพแวดล้อมที่ดีก็ถือว่ายังพอมีความโชคดี แต่เกิดอยู่ดีๆเจอครูฝึกไม่ดี เอาตัวไปซ้อมไปใช้งาน บางคนก็เป็นเพราะท้าทายหาเรื่องกัน แต่ก็คงคิดว่าสักวันคงจะมีที่อยู่ดีๆแล้วลากไปซ้อมเฉย ก็คงจะมี นอกจากนี้บางคนมีโรคประจำตัวและโรคทางจิตบ้างที่ไม่สามารถตรวจพบโดยการตรวจร่างกาย หรืออาจจะเป็นทีหลังการตรวจร่างกาย ถ้าอย่างนี้ถือว่าอันตรายมากสำหรับทหารเกณฑ์
อีกเหตุผลก็คือ บางบ้านไม่พร้อมจะเอาลูกหลานตัวเองไปเข้าค่ายฝึกนานเกือบ 2 ปี เพราะบางบ้าน มีเพียงแค่พ่อแม่ลูก หรือพ่อลูก แม่ลูก หรือปู่ตาหลาน ย่ายายหลาน เท่านั้น หากลูกหลานพวกเขาไปเข้าค่ายกัน เขาก็ต้องลำบากขึ้นเพราะไม่มีใครคอยช่วยคอยดูแล ติดต่อไปก็ไม่ได้โดยเฉพาะช่วงแรกๆ กว่าจะได้สบายบ้างก็ตั้ง 6 เดือนเป็นอย่างมากที่สุด ความลำบากทุกข์ทรมานก็คงต้องมีสำหรับบางบ้านที่เป็นเช่นนั้น
และเหตุผลสุดท้ายก็คือ ทหารเกณฑ์บางคนกลับผิดหวังที่จะได้รับใช้ชาติ ยอมสละชีพเพื่อชาติ แต่กลับต้องมาตัดหญ้า ดายหญ้า เป็นคนรับใช้ของผู้การ ผู้กอง ครูฝึก ซึ่งคิดว่ามันเสียเวลามากหากต้องปิดกั้นการสื่อสารกับญาติๆ ห้ามกลับบ้าน เพียงเพื่อจะได้ถูกใช้งาน
ความเห็นของผมสรุปไว้แค่ว่า ให้ลงทะเบียนทหารกองเกินไว้ แต่ไม่ควรเรียกเกณฑ์ฝึกในยามสงบ เพราะมีผลเสียมากกว่าผลดี ตามนี้
ขอเสนอแนวคิดใหม่เกี่ยวกับทหารเกณฑ์ โดยเฉพาะทหารของกองทัพบก
ก่อนอื่น ขอเปรียบเทียบเรื่องของ นศท., นายร้อย และ ทหารเกณฑ์ ไว้ก่อน
นศท. = เรียน 1 วัน/สัปดาห์ เข้าค่ายไม่เกิน 3 วัน มีทั้งเต็มใจเป็นและจำต้องเป็นเพราะไม่อยากโดนเกณฑ์
นายร้อย = เรียน 4 ปี จบมามีงานทำ มีแต่เต็มใจเป็น 100%
ทหารเกณฑ์ = เข้ากอง 2 ปี 2-3 เดือนแรกติดต่อพ่อแม่ไม่ได้ จบมาไม่ได้อะไรนอกจากเป็นหลักฐานการสมัครงาน ส่วนใหญ่ไม่เต็มใจเป็น
ผมขอเสนอการเกณฑ์ทหารแบบใหม่ คือ การลงทะเบียนไว้แค่ทหารกองเกิน ไม่ต้องจับใบดำใบแดง ถ้าใครสมัครใจอยากจะเป็นก็ไปเช็คร่างกายและลงทหารกองเกินแล้วเข้าไปอยู่ในค่ายเลย เหตุผลคือ คนส่วนหนึ่งก็อยากเป็นทหารเกณฑ์แต่จับใบดำ (อันนี้อาจจะมีคนบอกว่าอยากเป็นก็ไปสมัครเลยไม่ต้องจับใบดำใบแดง แต่ส่วนตัว ผมคิดว่าหากโดนใบแดงกันจนหมดแล้วและไปสมัครไม่ทัน ก็ไม่มีโอกาสเลย) แต่อีกส่วนที่ไม่เต็มใจกลับได้ใบแดง พอไปอยู่ในค่าย ถ้าเจอสภาพแวดล้อมที่ดีก็ถือว่ายังพอมีความโชคดี แต่เกิดอยู่ดีๆเจอครูฝึกไม่ดี เอาตัวไปซ้อมไปใช้งาน บางคนก็เป็นเพราะท้าทายหาเรื่องกัน แต่ก็คงคิดว่าสักวันคงจะมีที่อยู่ดีๆแล้วลากไปซ้อมเฉย ก็คงจะมี นอกจากนี้บางคนมีโรคประจำตัวและโรคทางจิตบ้างที่ไม่สามารถตรวจพบโดยการตรวจร่างกาย หรืออาจจะเป็นทีหลังการตรวจร่างกาย ถ้าอย่างนี้ถือว่าอันตรายมากสำหรับทหารเกณฑ์
อีกเหตุผลก็คือ บางบ้านไม่พร้อมจะเอาลูกหลานตัวเองไปเข้าค่ายฝึกนานเกือบ 2 ปี เพราะบางบ้าน มีเพียงแค่พ่อแม่ลูก หรือพ่อลูก แม่ลูก หรือปู่ตาหลาน ย่ายายหลาน เท่านั้น หากลูกหลานพวกเขาไปเข้าค่ายกัน เขาก็ต้องลำบากขึ้นเพราะไม่มีใครคอยช่วยคอยดูแล ติดต่อไปก็ไม่ได้โดยเฉพาะช่วงแรกๆ กว่าจะได้สบายบ้างก็ตั้ง 6 เดือนเป็นอย่างมากที่สุด ความลำบากทุกข์ทรมานก็คงต้องมีสำหรับบางบ้านที่เป็นเช่นนั้น
และเหตุผลสุดท้ายก็คือ ทหารเกณฑ์บางคนกลับผิดหวังที่จะได้รับใช้ชาติ ยอมสละชีพเพื่อชาติ แต่กลับต้องมาตัดหญ้า ดายหญ้า เป็นคนรับใช้ของผู้การ ผู้กอง ครูฝึก ซึ่งคิดว่ามันเสียเวลามากหากต้องปิดกั้นการสื่อสารกับญาติๆ ห้ามกลับบ้าน เพียงเพื่อจะได้ถูกใช้งาน
ความเห็นของผมสรุปไว้แค่ว่า ให้ลงทะเบียนทหารกองเกินไว้ แต่ไม่ควรเรียกเกณฑ์ฝึกในยามสงบ เพราะมีผลเสียมากกว่าผลดี ตามนี้