คนส่วนใหญ่รวมถึงในหว้ากอด้วย เกือบทั้งหมดเชื่อว่า อวกาศเป็นสถานที่เงียบสงัด ปราศจากเสียงใดๆ ถ้าคุณกรีดร้องในอวกาศจะไม่มีใครได้ยิน เพราะว่าไม่มีอากาศเป็นตัวกลางส่งคลื่นเสียง ความเชื่อเหล่านี้ถูกต้องแค่ในความรู้สึกของเรา เพราะว่าหูเราไม่ได้ยินเอง แต่มันไม่ได้ถูกต้องในแง่ความเป็นจริง
เสียงคืออะไร เสียงคือผลจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราล้วนกำลังสั่นอยู่ รอบ ๆ ตัวเราจึงเต็มไปด้วยเสียงสารพัด ซึ่งส่วนใหญ่เราไม่ได้ยิน เพราะโดยปกติแล้วมนุษย์เราจะได้ยินเสียงที่มีช่วงความถี่ (Frequency) จำกัด นั่นคืออยู่ในช่วงความถี่ระหว่าง 20 -20,000 เฮิรตซ์ (hertz) หรือที่เรียกกันว่าช่วงการได้ยิน (audible range) ส่วนเสียงที่มีค่าความถี่ต่ำหรือสูงกว่านั้นหูของเราไม่สามารถได้ยินได้.
เสียงที่อยู่นอกเหนือจากการได้ยินของมนุษย์ หากคลื่นเสียงนั้นมีความถี่ต่ำกว่า 20 เฮิรตซ์เรียกว่า คลื่นใต้เสียง (Infrasound) หรือคลื่นอินฟราโซนิค (infrasonic wave) ซึ่งเป็นคลื่นกลประเภทคลื่นตามยาวซึ่งมีความถี่ต่ำกว่าคลื่นเสียงที่คนปกติได้ยิน หรือมีความถี่ต่ำกว่า 20เฮิร์ตซ์ ซึ่งเกิดจากการสั่นของตัวก่อกำเนิดเสียงขนาดใหญ่ เช่น การสั่นของตึก แผ่นดินไหว เป็นต้น.
ส่วนคลื่นเสียงที่มีความถี่สูงกว่า 20,000 เฮิรตซ์ เรียกว่า คลื่นเหนือเสียง (Ultrasound) หรือคลื่นอัลทราโซนิค (ultrasonic wave) ซึ่งเป็นคลื่นกลประเภทคลื่นตามยาวเช่นกัน ซึ่งมีความถี่มากกว่าคลื่นเสียงที่คนปกติได้ยิน หรือมีความถี่ระหว่าง 20,000 เฮิรตซ์ ขึ้นไป ซึ่งเกิดจากการสั่นของตัวก่อกำเนิดเสียงขนาดเล็ก.
จริงอยู่เสียงต้องอาศัยตัวกลางในการส่งผ่าน ในอวกาศซึ่งเป็นสูญญากาศปราศจากอากาศอย่างที่เราใช้หายใจ จึงไม่สามารถส่งผ่านคลื่นเสียงแบบที่เราคุ้นเคยได้ นี่คือมุมมองของมนุษย์ แต่อวกาศไม่ได้เป็นสิ่งที่ว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ พื้นที่ระหว่างดวงดาวก็มีแก๊สและฝุ่นล่องลอยไปมา แม้ว่าจะมีความหนาแน่นต่ำมากแต่มันก็สามารถส่งผ่านพลังงานจากแรงสั่นสะเทือนไปทั่วอวกาศได้เหมือนกัน
ธรรมชาติของเสียงที่มีความถี่สูงจะมีความยาวคลื่นแคบซึ่งสามารถทะลุทะลวงได้ดีแต่จะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็วให้กับตัวกลางที่มันวิ่งผ่าน แต่เสียงความถี่ต่ำจะมีความยาวคลื่นกว้างจะสูญเสียพลังงานให้กับตัวกลางที่มันวิ่งผ่านเพียงเล็กน้อย ดังนั้นในอวกาศจึงหลงเหลือแต่เสียงความถี่ต่ำที่สามารถวิ่งผ่านห้วงอวกาศอันไกลโพ้นที่เกือบจะว่างเปล่าได้ เสียงในอวกาศจึงเป็นแบบอินฟราซาวด์ซึ่งต่ำกว่าความถี่ที่หูมนุษย์จะได้ยินอย่างมากแม้จะดังมากแค่ไหนก็ตาม เช่นคลื่นแผ่นดินไหวซึ่งมีพลังงานมหาศาลแต่เราไม่ได้เคยตระหนักถึงความมีอยู่ของมันทั้งที่มันกำลังสั่นอยู่ใต้เท้าของเรา มีแต่เครื่องมือตรวจสอบที่วัดค่าของมันได้อย่างชัดเจน
อะไรบ้างที่ทำให้เกิดคลื่นเสียงในอวกาศ
เสียงที่เกิดขึ้นใต้พื้นโลกเราเกิดจากแผ่นทวีปขนาดใหญ่ยักษ์ที่เบียดเสียดกัน แต่ในอวกาศเสียงส่วนใหญ่เกิดจากวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกซะอีก ซึ่งเสียงแรกที่เกิดขึ้นในจักรวาลก็คือเสียงจากบิ๊กแบงก์นั่นเอง ซึ่งก็ยังคงเปล่งเสียงมาจนถึงทุกวันนี้ ให้นักวิทยาศาสตร์สามารถตรวจจับได้ คลื่นสั่นสะเทือนสร้างอินฟราซาวด์แผ่ไปทั่วอวกาศ เสียงของบิ๊กแบงนี้มีความถี่ต่ำมากๆๆๆ ถ้าจะได้ยินต้องปรับความถี่เพิ่มอีก 10^26 เท่าจึงสามารถทำให้มนุษย์ได้ยิน
ลองฟังเสียงของบิ๊กแบงกันดู
https://www.youtube.com/watch?v=GJyJ8Xjllzk
หลุมดำกำลังร้องเพลง
https://www.youtube.com/watch?v=jYiWNLv-Bgg
หลุมดำเปล่งคลื่นความสั่นสะเทือนออกมารอบตัวมัน นอกจากการหมุนอันบ้าคลั่งของมันแล้ว สิ่งที่สร้างคลื่นเสียงคือคลื่นแรงโน้มถ่วง เนื่องจากหลุมดำมีมวลมหาศาลจนสามารถบิดงอกาลอวกาศได้อย่างรุนแรง แรงสั่นสะเทือนของมันไม่เพียงแค่การสั่นของอะตอมเท่านั้น แต่สั่นไปถึงกาลอวกาศที่มีอยู่เบื้องหลังมัน และคลื่นแรงโน้มถ่วงนี้ก็สามารถเดินทางไปทั่วจักรวาลด้วยความเร็วเท่ากับแสง หลุมดำแต่ละหลุมก็จะมีเสียงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน ในภาพ กล้องโทรทรรศน์จันทราได้ตรวจพบหลุมดำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ห่างออกไป 250 ปีแสง ซึ่งกำลังฮัมเพลงของมัน โดยเป็นโน๊ต B-flat ที่ต่ำกว่าโน๊ต c ตรงกลาง ซึ่งมีความถี่ต่ำกว่าหนึ่งล้านพันล้านเท่าของความถี่ต่ำสุดที่มนุษย์ได้ยิน
http://gizmodo.com/there-actually-is-sound-in-outer-space-1738420340

หลุมดำที่กำลังคำราม
ไม่นานนี้เมื่อปี 2015 สถาบันวิยทาศาสตร์ได้สร้าง Laser Interferometer Gravitational-Wave Observatory (LIGO) เพื่อตรวจพิสูจน์หาคลื่นแรงโน้มถ่วงของหลุมดำ 2 หลุมที่กำลังควบรวมกันได้เป็นผลสำเร็จ และแปลงสัญญาณที่ได้รับให้อยู่ในรูปของคลื่นเสียง เราจึงได้ยินเสียงหลุมดำที่กำลังเขมือบกันอยู่ได้เป็นครั้งแรก ถ้าลองฟังดูจะรู้สึกว่ามันกำลังหายใจและคำรามสลับกันไปมา
http://www.livescience.com/53694-sound-of-merging-black-holes.html
ดวงอาทิตย์ของเราก็กำลังร้องเพลง
ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ที่ใกล้โลกของเราที่สุด บรรยาการของมันปั่นป่วนเนื่องจากปฏิกริยานิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นภายใน แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียง กลับมาจากสิ่งที่เรียกว่า corona loop ซึ่งเกิดจากการบิดตัวอย่างแรงของสนามแม่เหล็ก ซึ่งสามารถบิดงอกาลอวกาศจนปั่นป่วน เมื่อบิดถึงขีดสุดมันจะดีดตัวออกสร้างคลื่นสั่นสะเทือนอย่างแรงออกมา ลักษณะของ corona loop คล้ายกับสายกีตาร์ที่มีการสั่นจากปลายถึงปลาย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจพบคลื่นเสียงเหล่านี้ได้จากดาวเทียม
https://www.youtube.com/watch?v=ZZQcLJjpdrI
โปรเฟสเซอร์ Fáy-Siebenbürgen หัวหน้ากลุ่มวิจัย solar physics ที่ Sheffield University ซึ่งบุกเบิกศาสตร์ด้านนี้ได้บอกว่า การศึกษา "บทเพลงแห่งดวงตะวัน" จะเป็นวิธีใหม่ในการเข้าใจและทำนายพายุสุริยะก่อนที่มันจะเกิดขึ้น
http://www.telegraph.co.uk/news/science/space/7840201/Music-of-the-sun-recorded-by-scientists.html
บทเพลงของดาวเคราะห์
นอกจากหลุมดำและดาวฤกษ์แล้ว ดาวเคราะห์ก็กำลังเปล่งเสียงเหมือนกัน ดาวเคราะห์ แต่ละดวงก็มีความถี่ที่เป็นเอกลัษณ์ของมันซึ่งเกิดจากกิจกรรมทางธรณีวิทยาหรือความปั่นป่วนในชั้นบรรยากาศทำให้เกิดเสียงมากมาย ซึ่งเสียงความถี่สูงก็จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เสียงความถี่ต่ำก็จะส่งผ่านออกไปในห้วงอวกาศได้ เรามาฟังตัวอย่างบทเพลงแห่งดาวเคราะห์ในสุริยะจักรวาลกัน
บทเพลงของดาวเสาร์
https://www.youtube.com/watch?v=Sh2-P8hG5-E
บทเพลงของดาวพฤหัส
https://www.youtube.com/watch?v=e3fqE01YYWs
บทเพลงแห่งโลก
https://www.youtube.com/watch?v=JEzq1I94gZA
รวมบทเพลงดวงดาวในระบบสุริยะจักรวาล
https://www.youtube.com/watch?v=IQL53eQ0cNA
แล้วเสียงในอวกาศดังแค่ไหน
คุณคงเข้าใจแล้วว่าในอวกาศก็ไม่ได้เป็นสถานที่ที่เงียบสนิทอย่างสมบูรณ์ แต่คุณอาจคิดว่าเสียงที่เกิดจากดวงดาวทั้งหลาย คงเป็นเสียงที่แผ่วเบามากจนต้องใช้เครื่องมือที่ละเอียดอ่อนจึงสามารถตรวจจับได้ เพราะว่าในอวกาศค่อนข้างว่างเปล่า มีความหนาแน่นของโมเลกุลแก๊ซที่เป็นตัวกลางน้อยมากๆ เสียงจึงน่าจะเบามากจนยากต่อการตรวจวัด แต่อย่าลืมว่าตัวกลางคืออนุภาคต่างๆที่วิ่งไปมาในอวกาศล้วนแต่มีความเร็วสูงๆ กันทั้งนั้น แรงสั่นสะเทือนของเสียงจึงส่งผ่านไปมาระหว่างอนุภาคที่วิ่งด้วยความเร็วมหาศาล แม้อนุภาคจะมีจำนวนจะน้อยแต่ก็มีพลังงานมากกว่าบนโลกอย่างมากมาย เสียงที่ส่งผ่านมาจึงมีความดังไม่ใช่น้อย
เช่นเสียงของดวงอาทิตย์ก็ส่งผ่านมาถึงโลกด้วยลมสุริยะ ซึ่งสาดอนุภาคไปทุกทิศทุกทางด้วยความเร็วนับล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง บนดวงอาทิตย์มีปรากฎการณ์นิวเคลียร์เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งดวงอาทิตย์ผลิตพลังงาน 3.8e+26 watts ในทุกวินาที หรือ 200W/m2 ซึ่งถ้าแปลงเป็นเดซิเบลความดังที่พื้นผิวของดวงอาทิตย์ก็จะอยู่ที่ประมาณ 290 เดซิเบล แต่โลกอยู่ห่างจากดวงทิตย์ 150 ล้านกิโลเมตร ตามกฎระยะทางกำลังสอง เสียงจากดวงอาทิตย์ที่มาถึงพื้นผิวโลกจะอยู่ที่ 100 dB
https://www.quora.com/How-loud-would-the-Sun-be-in-decibels-from-a-distance-of-1-000-000-km
ระดับความดังของเสียง 100 dB นี่มันจะดังขนาดไหน หน่วยเดซิเบลมีสเกลแบบ log คือเพิ่มแบบทวีคูณ และเสียงแปรันตามระยะทางคือยิ่งใกล้ยิ่งดัง ตัวอย่างแหล่งกำเนิดเสียงพร้อมระยะทางเช่น
250 dB เสียงของการยืนอยู่กลางทอร์นาโด หรือเสียงของระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดที่ระยะ 5 เมตร
140 dB คือเสียงของเครื่องบินเทอร์โบเจต เป็นอันตรายต่อระบบการได้ยินเป็นอย่างมาก อาจทำให้สูญเสียการได้ยินได้
100 dB คือเสียงในโรงงาน เฟอร์นิเจอร์ไม้ ระยะเวลาที่ปลอดภัย คือไม่ควรได้รับเสียงขนาดนี้เกิน 2 ชั่วโมง
90 dB คือเสียงดังบนท้องถนนขณะนั่งอยู่ในรถ ไม่ควรได้รับเสียงเกิน 8 ชั่วโมง
60 – 70 db คือเสียงที่คนสนทนากันได้ยินในระยะห่างประมาณ 3 ฟุต หรือความดังเฉลี่ยเมื่อยู่ห่างจากเสียงจราจรประมาณ 100 ฟุต
10 เสียงหายใจของคนที่ระยะ 3 เมตร
0 เสียงที่คนสามารถได้ยิน (สำหรับคนหูปกติ)
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%A5
แต่ว่าเสียงของดวงอาทตย์แม้จะดังสนั่นลั่นโลกขนาดนี้ แต่เมื่อเสียงจากดวงอาทิตย์มากระทบชั้นบรรยากาศชองโลกมันก็จะถ่ายเทพลังงานให้กับแก๊สที่ห่อหุ้มโลกไว้กลายเป็นแรงสั่นสะเทือนบนชั้นบรรยากาศเบื้องบนไปจนเกือบหมด แต่เสียงที่ความถี่ต่ำมากก็สามารถเดินทางมาถึงพื้นโลกได้ แต่ที่หูเราไม่ได้ยินเพราะมันมีความถี่ต่ำมาก และที่เราไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เพราะเสียงดวงดาทิตย์มีความยาวคลื่นที่ยาวมากจนผ่านตัวเราไปได้โดยไม่รู้สึกถึงความสั่นสะเทือนอะไร ซึ่งหูมนุษย์มีขนาดเล็กจ้อยเกินกว่าจะรู้สึกได้ เหมือนที่เราไม่รู้สึกว่าพื้นดินใต้ขาของเรากำลังเคลื่อนไหวขึ้นลงจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์อยู่ตลอดเวลา
สรุป จักรวาลเงียบกริบสำหรับมนุษย์ผู้มีมุมมองว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักวาล แต่จักรวาลที่แท้จริงอึงอลด้วยสรรพเสียงสำหรับใครก็ตามที่มีหูที่สามารถรับฟังเสียงอินฟราซาวด์ที่ต่ำมากๆได้ บางทีอาจมีเอเลียนที่สามารถฟังเสียงของจักรวาลก็เป็นไปได้ ซึ่งพวกเขาก็อาจจะเข้าใจบทเพลงแห่งจักรวาลที่กำลังบรรเลงอยู่ดีกว่ามนุษย์อย่างพวกเราเป็นแน่
อวกาศไม่ได้เงียบนะ
เสียงคืออะไร เสียงคือผลจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราล้วนกำลังสั่นอยู่ รอบ ๆ ตัวเราจึงเต็มไปด้วยเสียงสารพัด ซึ่งส่วนใหญ่เราไม่ได้ยิน เพราะโดยปกติแล้วมนุษย์เราจะได้ยินเสียงที่มีช่วงความถี่ (Frequency) จำกัด นั่นคืออยู่ในช่วงความถี่ระหว่าง 20 -20,000 เฮิรตซ์ (hertz) หรือที่เรียกกันว่าช่วงการได้ยิน (audible range) ส่วนเสียงที่มีค่าความถี่ต่ำหรือสูงกว่านั้นหูของเราไม่สามารถได้ยินได้.
เสียงที่อยู่นอกเหนือจากการได้ยินของมนุษย์ หากคลื่นเสียงนั้นมีความถี่ต่ำกว่า 20 เฮิรตซ์เรียกว่า คลื่นใต้เสียง (Infrasound) หรือคลื่นอินฟราโซนิค (infrasonic wave) ซึ่งเป็นคลื่นกลประเภทคลื่นตามยาวซึ่งมีความถี่ต่ำกว่าคลื่นเสียงที่คนปกติได้ยิน หรือมีความถี่ต่ำกว่า 20เฮิร์ตซ์ ซึ่งเกิดจากการสั่นของตัวก่อกำเนิดเสียงขนาดใหญ่ เช่น การสั่นของตึก แผ่นดินไหว เป็นต้น.
ส่วนคลื่นเสียงที่มีความถี่สูงกว่า 20,000 เฮิรตซ์ เรียกว่า คลื่นเหนือเสียง (Ultrasound) หรือคลื่นอัลทราโซนิค (ultrasonic wave) ซึ่งเป็นคลื่นกลประเภทคลื่นตามยาวเช่นกัน ซึ่งมีความถี่มากกว่าคลื่นเสียงที่คนปกติได้ยิน หรือมีความถี่ระหว่าง 20,000 เฮิรตซ์ ขึ้นไป ซึ่งเกิดจากการสั่นของตัวก่อกำเนิดเสียงขนาดเล็ก.
จริงอยู่เสียงต้องอาศัยตัวกลางในการส่งผ่าน ในอวกาศซึ่งเป็นสูญญากาศปราศจากอากาศอย่างที่เราใช้หายใจ จึงไม่สามารถส่งผ่านคลื่นเสียงแบบที่เราคุ้นเคยได้ นี่คือมุมมองของมนุษย์ แต่อวกาศไม่ได้เป็นสิ่งที่ว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ พื้นที่ระหว่างดวงดาวก็มีแก๊สและฝุ่นล่องลอยไปมา แม้ว่าจะมีความหนาแน่นต่ำมากแต่มันก็สามารถส่งผ่านพลังงานจากแรงสั่นสะเทือนไปทั่วอวกาศได้เหมือนกัน
ธรรมชาติของเสียงที่มีความถี่สูงจะมีความยาวคลื่นแคบซึ่งสามารถทะลุทะลวงได้ดีแต่จะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็วให้กับตัวกลางที่มันวิ่งผ่าน แต่เสียงความถี่ต่ำจะมีความยาวคลื่นกว้างจะสูญเสียพลังงานให้กับตัวกลางที่มันวิ่งผ่านเพียงเล็กน้อย ดังนั้นในอวกาศจึงหลงเหลือแต่เสียงความถี่ต่ำที่สามารถวิ่งผ่านห้วงอวกาศอันไกลโพ้นที่เกือบจะว่างเปล่าได้ เสียงในอวกาศจึงเป็นแบบอินฟราซาวด์ซึ่งต่ำกว่าความถี่ที่หูมนุษย์จะได้ยินอย่างมากแม้จะดังมากแค่ไหนก็ตาม เช่นคลื่นแผ่นดินไหวซึ่งมีพลังงานมหาศาลแต่เราไม่ได้เคยตระหนักถึงความมีอยู่ของมันทั้งที่มันกำลังสั่นอยู่ใต้เท้าของเรา มีแต่เครื่องมือตรวจสอบที่วัดค่าของมันได้อย่างชัดเจน
อะไรบ้างที่ทำให้เกิดคลื่นเสียงในอวกาศ
เสียงที่เกิดขึ้นใต้พื้นโลกเราเกิดจากแผ่นทวีปขนาดใหญ่ยักษ์ที่เบียดเสียดกัน แต่ในอวกาศเสียงส่วนใหญ่เกิดจากวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกซะอีก ซึ่งเสียงแรกที่เกิดขึ้นในจักรวาลก็คือเสียงจากบิ๊กแบงก์นั่นเอง ซึ่งก็ยังคงเปล่งเสียงมาจนถึงทุกวันนี้ ให้นักวิทยาศาสตร์สามารถตรวจจับได้ คลื่นสั่นสะเทือนสร้างอินฟราซาวด์แผ่ไปทั่วอวกาศ เสียงของบิ๊กแบงนี้มีความถี่ต่ำมากๆๆๆ ถ้าจะได้ยินต้องปรับความถี่เพิ่มอีก 10^26 เท่าจึงสามารถทำให้มนุษย์ได้ยิน
ลองฟังเสียงของบิ๊กแบงกันดู
https://www.youtube.com/watch?v=GJyJ8Xjllzk
หลุมดำกำลังร้องเพลง
https://www.youtube.com/watch?v=jYiWNLv-Bgg
หลุมดำเปล่งคลื่นความสั่นสะเทือนออกมารอบตัวมัน นอกจากการหมุนอันบ้าคลั่งของมันแล้ว สิ่งที่สร้างคลื่นเสียงคือคลื่นแรงโน้มถ่วง เนื่องจากหลุมดำมีมวลมหาศาลจนสามารถบิดงอกาลอวกาศได้อย่างรุนแรง แรงสั่นสะเทือนของมันไม่เพียงแค่การสั่นของอะตอมเท่านั้น แต่สั่นไปถึงกาลอวกาศที่มีอยู่เบื้องหลังมัน และคลื่นแรงโน้มถ่วงนี้ก็สามารถเดินทางไปทั่วจักรวาลด้วยความเร็วเท่ากับแสง หลุมดำแต่ละหลุมก็จะมีเสียงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน ในภาพ กล้องโทรทรรศน์จันทราได้ตรวจพบหลุมดำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ห่างออกไป 250 ปีแสง ซึ่งกำลังฮัมเพลงของมัน โดยเป็นโน๊ต B-flat ที่ต่ำกว่าโน๊ต c ตรงกลาง ซึ่งมีความถี่ต่ำกว่าหนึ่งล้านพันล้านเท่าของความถี่ต่ำสุดที่มนุษย์ได้ยิน
http://gizmodo.com/there-actually-is-sound-in-outer-space-1738420340
หลุมดำที่กำลังคำราม
ไม่นานนี้เมื่อปี 2015 สถาบันวิยทาศาสตร์ได้สร้าง Laser Interferometer Gravitational-Wave Observatory (LIGO) เพื่อตรวจพิสูจน์หาคลื่นแรงโน้มถ่วงของหลุมดำ 2 หลุมที่กำลังควบรวมกันได้เป็นผลสำเร็จ และแปลงสัญญาณที่ได้รับให้อยู่ในรูปของคลื่นเสียง เราจึงได้ยินเสียงหลุมดำที่กำลังเขมือบกันอยู่ได้เป็นครั้งแรก ถ้าลองฟังดูจะรู้สึกว่ามันกำลังหายใจและคำรามสลับกันไปมา
http://www.livescience.com/53694-sound-of-merging-black-holes.html
ดวงอาทิตย์ของเราก็กำลังร้องเพลง
ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ที่ใกล้โลกของเราที่สุด บรรยาการของมันปั่นป่วนเนื่องจากปฏิกริยานิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นภายใน แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียง กลับมาจากสิ่งที่เรียกว่า corona loop ซึ่งเกิดจากการบิดตัวอย่างแรงของสนามแม่เหล็ก ซึ่งสามารถบิดงอกาลอวกาศจนปั่นป่วน เมื่อบิดถึงขีดสุดมันจะดีดตัวออกสร้างคลื่นสั่นสะเทือนอย่างแรงออกมา ลักษณะของ corona loop คล้ายกับสายกีตาร์ที่มีการสั่นจากปลายถึงปลาย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจพบคลื่นเสียงเหล่านี้ได้จากดาวเทียม
https://www.youtube.com/watch?v=ZZQcLJjpdrI
โปรเฟสเซอร์ Fáy-Siebenbürgen หัวหน้ากลุ่มวิจัย solar physics ที่ Sheffield University ซึ่งบุกเบิกศาสตร์ด้านนี้ได้บอกว่า การศึกษา "บทเพลงแห่งดวงตะวัน" จะเป็นวิธีใหม่ในการเข้าใจและทำนายพายุสุริยะก่อนที่มันจะเกิดขึ้น
http://www.telegraph.co.uk/news/science/space/7840201/Music-of-the-sun-recorded-by-scientists.html
บทเพลงของดาวเคราะห์
นอกจากหลุมดำและดาวฤกษ์แล้ว ดาวเคราะห์ก็กำลังเปล่งเสียงเหมือนกัน ดาวเคราะห์ แต่ละดวงก็มีความถี่ที่เป็นเอกลัษณ์ของมันซึ่งเกิดจากกิจกรรมทางธรณีวิทยาหรือความปั่นป่วนในชั้นบรรยากาศทำให้เกิดเสียงมากมาย ซึ่งเสียงความถี่สูงก็จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เสียงความถี่ต่ำก็จะส่งผ่านออกไปในห้วงอวกาศได้ เรามาฟังตัวอย่างบทเพลงแห่งดาวเคราะห์ในสุริยะจักรวาลกัน
บทเพลงของดาวเสาร์
https://www.youtube.com/watch?v=Sh2-P8hG5-E
บทเพลงของดาวพฤหัส
https://www.youtube.com/watch?v=e3fqE01YYWs
บทเพลงแห่งโลก
https://www.youtube.com/watch?v=JEzq1I94gZA
รวมบทเพลงดวงดาวในระบบสุริยะจักรวาล
https://www.youtube.com/watch?v=IQL53eQ0cNA
แล้วเสียงในอวกาศดังแค่ไหน
คุณคงเข้าใจแล้วว่าในอวกาศก็ไม่ได้เป็นสถานที่ที่เงียบสนิทอย่างสมบูรณ์ แต่คุณอาจคิดว่าเสียงที่เกิดจากดวงดาวทั้งหลาย คงเป็นเสียงที่แผ่วเบามากจนต้องใช้เครื่องมือที่ละเอียดอ่อนจึงสามารถตรวจจับได้ เพราะว่าในอวกาศค่อนข้างว่างเปล่า มีความหนาแน่นของโมเลกุลแก๊ซที่เป็นตัวกลางน้อยมากๆ เสียงจึงน่าจะเบามากจนยากต่อการตรวจวัด แต่อย่าลืมว่าตัวกลางคืออนุภาคต่างๆที่วิ่งไปมาในอวกาศล้วนแต่มีความเร็วสูงๆ กันทั้งนั้น แรงสั่นสะเทือนของเสียงจึงส่งผ่านไปมาระหว่างอนุภาคที่วิ่งด้วยความเร็วมหาศาล แม้อนุภาคจะมีจำนวนจะน้อยแต่ก็มีพลังงานมากกว่าบนโลกอย่างมากมาย เสียงที่ส่งผ่านมาจึงมีความดังไม่ใช่น้อย
เช่นเสียงของดวงอาทิตย์ก็ส่งผ่านมาถึงโลกด้วยลมสุริยะ ซึ่งสาดอนุภาคไปทุกทิศทุกทางด้วยความเร็วนับล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง บนดวงอาทิตย์มีปรากฎการณ์นิวเคลียร์เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งดวงอาทิตย์ผลิตพลังงาน 3.8e+26 watts ในทุกวินาที หรือ 200W/m2 ซึ่งถ้าแปลงเป็นเดซิเบลความดังที่พื้นผิวของดวงอาทิตย์ก็จะอยู่ที่ประมาณ 290 เดซิเบล แต่โลกอยู่ห่างจากดวงทิตย์ 150 ล้านกิโลเมตร ตามกฎระยะทางกำลังสอง เสียงจากดวงอาทิตย์ที่มาถึงพื้นผิวโลกจะอยู่ที่ 100 dB
https://www.quora.com/How-loud-would-the-Sun-be-in-decibels-from-a-distance-of-1-000-000-km
ระดับความดังของเสียง 100 dB นี่มันจะดังขนาดไหน หน่วยเดซิเบลมีสเกลแบบ log คือเพิ่มแบบทวีคูณ และเสียงแปรันตามระยะทางคือยิ่งใกล้ยิ่งดัง ตัวอย่างแหล่งกำเนิดเสียงพร้อมระยะทางเช่น
250 dB เสียงของการยืนอยู่กลางทอร์นาโด หรือเสียงของระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดที่ระยะ 5 เมตร
140 dB คือเสียงของเครื่องบินเทอร์โบเจต เป็นอันตรายต่อระบบการได้ยินเป็นอย่างมาก อาจทำให้สูญเสียการได้ยินได้
100 dB คือเสียงในโรงงาน เฟอร์นิเจอร์ไม้ ระยะเวลาที่ปลอดภัย คือไม่ควรได้รับเสียงขนาดนี้เกิน 2 ชั่วโมง
90 dB คือเสียงดังบนท้องถนนขณะนั่งอยู่ในรถ ไม่ควรได้รับเสียงเกิน 8 ชั่วโมง
60 – 70 db คือเสียงที่คนสนทนากันได้ยินในระยะห่างประมาณ 3 ฟุต หรือความดังเฉลี่ยเมื่อยู่ห่างจากเสียงจราจรประมาณ 100 ฟุต
10 เสียงหายใจของคนที่ระยะ 3 เมตร
0 เสียงที่คนสามารถได้ยิน (สำหรับคนหูปกติ)
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%A5
แต่ว่าเสียงของดวงอาทตย์แม้จะดังสนั่นลั่นโลกขนาดนี้ แต่เมื่อเสียงจากดวงอาทิตย์มากระทบชั้นบรรยากาศชองโลกมันก็จะถ่ายเทพลังงานให้กับแก๊สที่ห่อหุ้มโลกไว้กลายเป็นแรงสั่นสะเทือนบนชั้นบรรยากาศเบื้องบนไปจนเกือบหมด แต่เสียงที่ความถี่ต่ำมากก็สามารถเดินทางมาถึงพื้นโลกได้ แต่ที่หูเราไม่ได้ยินเพราะมันมีความถี่ต่ำมาก และที่เราไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เพราะเสียงดวงดาทิตย์มีความยาวคลื่นที่ยาวมากจนผ่านตัวเราไปได้โดยไม่รู้สึกถึงความสั่นสะเทือนอะไร ซึ่งหูมนุษย์มีขนาดเล็กจ้อยเกินกว่าจะรู้สึกได้ เหมือนที่เราไม่รู้สึกว่าพื้นดินใต้ขาของเรากำลังเคลื่อนไหวขึ้นลงจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์อยู่ตลอดเวลา
สรุป จักรวาลเงียบกริบสำหรับมนุษย์ผู้มีมุมมองว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักวาล แต่จักรวาลที่แท้จริงอึงอลด้วยสรรพเสียงสำหรับใครก็ตามที่มีหูที่สามารถรับฟังเสียงอินฟราซาวด์ที่ต่ำมากๆได้ บางทีอาจมีเอเลียนที่สามารถฟังเสียงของจักรวาลก็เป็นไปได้ ซึ่งพวกเขาก็อาจจะเข้าใจบทเพลงแห่งจักรวาลที่กำลังบรรเลงอยู่ดีกว่ามนุษย์อย่างพวกเราเป็นแน่