ปัญหาที่ไม่รู้ว่าใครที่ผิดถูก ถึงขั้นที่แฟนสาวเอ่ยปากบอกให้เราออกไปจากชีวิตเค้าครับ

อยากให้เพื่อน ๆ ชาว pantip ช่วยกันแสดงความคิดเห็น เป็นกระจกส่องเรื่องนี้ให้ผมกระจ่างด้วยครับ
ก่อนหน้าการแต่งงาน ทุกอย่างในเรื่องการคบหาถือว่าดีเยี่ยมครับ เรารักกัน ไม่มีปัญหา เข้าใจซึ่งกันและกันและยอมรับในข้อดีข้อเสียของอีกฝ่ายได้อย่างมีความสุข

แต่หลังจากนั้น เมื่อมีการแต่งงานเกิดขึ้นเรามีปัญหาหลายอย่างมากทั้งในเรื่องของความไม่เห็นด้วย ไม่ลงตัวของพ่อแม่ฝ่ายหญิงที่อยากให้เป็นนั่นนี่ ซึ่งฝ่ายหญิงเองผมต้องบอกก่อนว่า เค้าเป็นคนที่ค่อนข้างติดพ่อแม่ และถูกเลี้ยงมาแบบไม่ให้ห่างสายตาจากผู้เป็นพ่อและแม่ครับ (เท่าที่ฟังจากประสบการณ์ของเค้า พ่อแม่ ไม่อนุญาตให้ไปเรียนไกลหูไกลตา เลยต้องเรียนมหาลัยใกล้บ้าน ซึ่งคุณภาพในเรื่องของการจบออกมาแข่งขันกับคนอื่นยาก)

สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึก fail แรก ๆ คือในช่วงงานแต่งคือการจัดงานนั้น ๆ มีโต๊ะจีนเพื่อใช้ในการรับรองแขกภายในงาน ผมซึ่งมัวยุ่งกับการต้อนรับแขกและจัดแจงงาน (งานแต่งนี้จัดที่บ้านฝ่ายหญิงนะครับ) กลับมารู้ทีหลังว่า ทางญาตของฝ่ายหญิงนั้นไม่ได้มีการเปิดโต๊ะให้เครือญาติของฝ่ายชาย สำหรับผมถือว่าไม่ให้เกียรติมาก (พ่อ แม่ รวมถึงน้องชายผมต้องไปหาตักอาหารแล้วไปหลบไปรับประทานเองใต้พุ่มไม้ใกล้ ๆ ที่จัดงาน) โดยรายละเอียดของความผิดหวังในงานนี้ยังมีอีกหลายจุดที่ทำให้ผมสะสมความไม่สบายใจครั้งนี้เก็บไว้

จุดเริ่มต้นของการแตกหักอยู่ที่ตรงนี้ครับ บ้านฝ่ายหญิงมีสมาชิกครอบครัวทั้งหมดห้าคน (พ่อ, แม่, อดีตแฟนผม, น้องสาวคนกลาง, น้องสาวคนเล็ก) เรื่องมันเริ่มมาจากน้องสาวคนเล็กของแฟนซึ่งเป็นเด็กวัยรุ่นประมาณยี่สิบต้น ๆ ซึ่งไปได้ผู้ชายที่ไม่สู้จะนิสัยดีนัก (ติดเหล้าและไม่เอางานเอาการเท่าไหร่) แล้วมีการตั้งท้องด้วยความไม่ตั้งใจ ด้วยวุฒิภาวะของเจ้าตัวทั้งคู่ซึ่งยังมีไม่พอ ทำให้ภาระในครั้งนี้ตกมาสู่พ่อและแม่ ซึ่งกลายเป็นตาและยายโดยไม่รู้ตัวและมาพร้อมกับคำพูดสั้น ๆ ว่า "หนูพลาด"

อาชีพของบ้านนี้คือค้าขายของในตลาดนะครับ แน่นอนว่าตัวพ่อและแม่ที่ได้ศักดิ์ตายายแบบไม่รู้ตัวต้องไปขายของกันตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืน และแน่นอนว่า "เด็กจะถูกโอนต่อมาที่อดีตแฟนผม" ซึ่งเราสองคนยังไม่มีลูก ทางพ่อและแม่มองว่ายังไม่มีภาระ เพราะฉะนั้นภาระนี้ตกเป็นของอดีตแฟนผมไปโดยปริยาย

โดยเมื่อถึงเวลาประมาณเที่ยงคืน พ่อหรือแม่ฝ่ายหญิงจะมาเคาะประตู เพื่อเรียกให้อดีตแฟนผมลงไปนอนเฝ้าหลานที่ห้องของพ่อและแม่เค้า โดยเรื่องราวตรงนี้ ถ้าเป็นช่วงระยะเวลาไม่นานนัก ผมโอเค แต่ระยะเวลาของการดูแลภาระนี้ใช้เวลาเป็นปีครับ ซึ่งผมเคยคุยกับแฟนว่า ทำไมพ่อกับแม่ไม่หาแนวทางที่เหมาะสมกับทุกฝ่ายให้มากกว่านี้ เพราะเราเพิ่งแต่งงานกัน กลับต้องมารับผิดชอบกับภาระที่เราทั้งสองคนไม่ได้เป็นคนก่อ อดีตแฟนผมพูดแต่เพียงสั้นว่า "จะให้ทำยังไงในเมื่อเป็นปัญหาของบ้านเค้า" แล้วก็ปล่อยให้ผมนอนคนเดียวในห้องเป็นปี โดยผมก็ต้องเก็บอมความอึดอัดใจไว้

เรื่องมันไม่จบ เมื่อตัวน้องสาวคนเล็กของอดีตแฟน ซึ่งไป ๆ มา ๆ บ้านเกิดตัวเองกับบ้านแฟนไม่เอาอ่าวของเค้า จนการมาอีกครั้งหนึ่ง มาพูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ พร้อมกับท้องที่ป่องมาอีกแล้ว พูดเหมือนเดิมว่า "หนูพลาด"

ทุกอย่างเหมือนเดจาวู จากเดิมที่เด็กคนแรกก็ยังต้องเลี้ยงให้ กลับต้องเพิ่มเด็กคนที่สองขึ้นมาเป็นภาระอีกครั้ง แล้วปลายน้ำสุดท้ายก็ต้องเป็นอดีตแฟนผมที่ต้องดูแลให้เหมือนเดิม ในช่วงที่พ่อแม่ของอดีตแฟนไปขายของที่ตลาด และเช่นกัน ทิ้งให้ผมนอนคนเดียวในห้องเป็นปี ๆ เหมือนเดิม

ระหว่างทางของการเลี้ยงเด็กตั้งแต่คนแรกมาถึงคนที่สอง เรามีปากเสียงกันมาตลอด ผมถามไปกี่ครั้งก็จะได้คำตอบเดิม ๆ กลับมาว่า "เค้าเป็นคนกลาง เค้าลำบากใจ จะให้เค้าทำยังไง นี่เป็นปัญหาของครอบครัวเค้า ถ้าทนในเงื่อนไข ณ จุดนี้ไม่ได้ก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้"

ผมซึ่งอึดอัดมานานหลายปี ยอมรับอย่างนึงครับว่า เมื่อคุยหลายครั้งและจบปัญหาไม่ได้ ก็มีโมโหและขึ้นเสียงบ้าง แต่บอกก่อนว่าไม่เคยทำร้ายร่างกายกันครับ ซึ่งอดีตแฟนก็จะร้องไห้ จนการทะเลาะช่วงหลัง ๆ เค้าจะไม่ร้องไห้ และบอกว่าร้องจนไม่มีเหลือให้ร้องแล้ว และเค้าใช้เหตุผลนี้เช่นกันที่เลิกผมไป ด้วยเหตุผลว่าผมทำเค้าเจ็บ ทำเค้าร้องไห้ แต่ผมถามว่าเคยมองกลับมาที่ใจผมบ้างหรือเปล่า

ผมไม่ได้อยากทะเลาะครับ สิ่งที่ผมพยายามมากที่จะทำคือให้เราคุยกัน ให้เราแชร์ หาทางออกเรื่องนี้ด้วยกัน แต่ดูเหมือนเธอจะไม่เอาด้วยและเห็นว่าครอบครัวเธอมาที่หนึ่งเสมอ ยิ่งคุยก็ยิ่งเหมือนยิ่งแย่ ผมผิดมั้ยครับที่พยายามจะคุยเพื่อหาทางออกและแค่อยากได้คำว่า "พื้นที่ผม พื้นที่เค้า พื้นที่เรา" แต่ดูเหมือนว่าจะมีแต่คำว่าพื้นที่ครอบครัวเค้า

ชีวิตหลังแต่งงาน ผมท่องมาตลอดกับคำว่า "เจอกันตรงกลาง" ซึ่งมันไม่ตรงกลางตั้งแต่ที่ผมมีการคุยกับอดีตแฟนว่า เราแต่งเสร็จผมจะดูแลเค้า เราจะไปช่วยกันผ่อนบ้านอยู่กัน เราจะแยกไปอยู่กันเอง แต่คำตอบที่ผมได้มาคือ เค้าไม่ไปครับ ด้วยเหตุผลว่า เค้าจะอยู่บ้านหลังนี้ บ้านที่พ่อแม่เค้าอุตสาหะในการสร้างมาและไม่อยากทิ้งพ่อทิ้งแม่ให้อยู่กันโดดเดี่ยว นั่นจึงเป็นที่มาทีทำให้ผมต้องล้ำเส้นกลางจากของผมเข้าไปหาพื้นที่เค้าโดยการไปทำงานแบบไปกลับ กรุงเทพ-จังหวัดชานเมือง ทุกวัน ซึ่งตอนนั้นผมท่องอยู่คำเดียว อยากอยู่กับเค้า เราต้องทำให้ได้ แต่ก็เก็บความอึดอัดใจต่อไป

จนเรื่องของหลานทั้งสองของเค้าสร้างปัญหามากขึ้น โดยตัวน้องสาวอดีตแฟนไม่มีความรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งค่านมหลาน ค่าผ้าอ้อมเด็ก ทุกอย่างเป็นพ่อแม่อดีตแฟนซัพพอร์ตทั้งหมด และทุกคนเดือดร้อนหมดในการซัพพอร์ตความผิดพลาดครั้งนี้รวมถึงผมด้วยซึ่งเพิ่งแต่งงานใหม่ โดยตัวพ่อแม่เด็กไม่รู้ร้อนรู้หนาวใด ๆ ทั้งสิ้น

เมื่อมาถึงจุดที่ผมเริ่มไม่ไหวก็ได้พยายามคุยกับอดีตแฟน และมีครั้งนึงที่ผมอาสาจะไปคุยกับพ่อและแม่ของอดีตแฟนเพื่อจะหาทางออกของเรื่องนี้ โดยไอเดียผมคือต้องการให้พ่อและแม่ของอดีตแฟน คุยกับน้องสาวอดีตแฟนเพื่อให้มาแสดงความรับผิดชอบให้มากกว่านี้ในการเลี้ยงดูเด็ก เพื่อให้คนอื่น ๆ ที่เป็นสมาชิกภายในบ้านได้หายใจหายคอได้บ้าง

แต่เหมือนไม่สำเร็จ ตัวอดีตแฟนผมแสดงเจตน์จำนงว่าไม่ต้องคุยอะไรทั้งสิ้น เพราะปัญหานี้ไม่สามารถแก้ได้ด้วยการคุย ทางนี้คือดีที่สุดแล้วคือทุกคนก้มหน้าก้มตาเลี้ยงเด็กสองคนนี้ไป

ไม่มีใครให้ความร่วมมือกับผมรวมถึงตัวอดีตแฟนผมด้วย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเลือกแก้ปัญหาด้วยรูปแบบนี้ให้กับคนที่ผมเองยังมองว่าความรับผิดชอบในการเป็นพ่อแม่ยังไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำ

เมื่อมาถึงจุดที่ทุกอย่างมันสะสมจนอิ่มตัวมากพอ เราทะเลาะกันเรื่องนี้หนักมาก ถึงขั้นฝ่ายหญิงบอกให้ผมห่างกันซักพัก ออกไปอยู่ที่บ้านผมเองก่อน เพื่อให้สถานการณ์ในบ้านเค้าดีขึ้น โดยมีการนัดหมายเพื่อให้ผมเข้าไปเก็บข้าวของใช้ส่วนตัวผมออกมา

หลังจากที่ผมกลับมาอยู่บ้าน ผมใช้คำว่า "ห่างกันซักพัก" นั่นคือเรายังรักกัน แต่มันมีความจำเป็น แล้วสิ่งที่ทำผมอึดอัดต่อมาคือ เค้าจะโทรมาก็ตอนเฉพาะที่ต้องการความช่วยเหลือจากผมเท่านั้น อินเทอร์เน็ตที่บ้านใช้ไม่ได้ กล้องวงจรปิดดูไม่ได้ ก็จะมีบ้างส่งสติ๊กเกอร์ไลน์คิดถึงบ้าง ห่วงบ้างเล็กน้อย นอกนั้นการทักมาเพราะคิดถึงอย่างเดียวหรือบอกรักกันบ้าง โดยปราศจากการขอความช่วยเหลือ ไม่มีเลย ผมเลยถามไปตรง ๆ ว่าถ้าไม่มีปัญหาคิดจะติดต่อหากันบ้างมั้ย เค้าใช้คำพูดที่ทำให้ผมเจ็บมากคือ "ที่ติดต่อตอนมีปัญหา เพราะมีอะไรก็คิดถึงคนแรกเลย ถ้าพูดอย่างนี้จากนี้ไปก็ไม่ต้องมีการติดต่อขอความช่วยเหลือใด ๆ อีกแล้ว"

หลังจากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือ ทุกอย่างเงียบหมด ไม่มีการติดต่อกลับมา ผมกลายเป็นคนที่ร้อนรนติดต่อกลับไป ซึ่งพอไม่รับไม่อ่านมากเข้าก็กลายเป็นหลายครั้งซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ทำให้เค้าหมดความอดทนและบล๊อคผมหมดทุกช่องทาง line, face, messenger, เบอร์ติดต่อ

ผมเหลือทางเดียวเท่านั้นที่จะเคลียร์คำว่า "ห่างกันซักพัก" ของเค้า โดยการไปคุยกันซึ่งหน้าโดยตรง ซึ่งพอไปเจอ สิ่งแรกที่ผมได้รับคือ "กลับไปเถอะ" "ไม่ต้องมาแล้วหรืออะไรอีกแล้ว" "ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า" ผมยอมเสียศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายที่ผมไม่เคยยอมทำอย่างนี้ให้กับใคร แต่ผมเอามาใช้กับเค้า อ้อนวอน แทบจะไหว้ แต่ผลคือเหมือนเดิม สุดท้ายผมเลยถามไปว่า คำว่า "ห่างกันซักพักคืออะไร" คำตอบที่ผมได้คือ เค้าอยู่ได้แล้วตัวคนเดียว โดยที่ไม่ต้องมีผม และขอโทษที่ให้คำว่าห่างกันซักพักทำให้ผมเข้าใจผิดมาโดยตลอด เพราะสำหรับเค้ามันคือ "เลิกกัน"

ผมสงสัยเรื่องมือที่สามเลยถามไปว่า "มีคนใหม่แล้วใช่มั้ย" เธอหลบตาและคำตอบทำผมเจ็บมาก "มีไม่มีไม่เกี่ยวอะไรกันกับผมแล้ว ไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่ผมมีสิทธิ์ควรรับรู้"

ผมเลยต้องกลับมาทั้งน้ำตาอย่างนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังอาการไม่ดีขึ้นครับ

เพื่อน ๆ ครับ เคสนี้ผมผิดมั้ย และผมควรทำอย่างไรต่อไปครับ

ขออภัยที่ร่ายมายืดยาวนะครับ แต่มันคือเรื่องราวและความในใจที่ผมต้องการถ่ายทอดทั้งหมดครับ

ขอบคุณมากครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่