หลังww2 เกาะโอกินาว่านี้กลายเป็นเกาะร้างเลยรึเปล่าครับ?

จากสมรภูมิเกาะโอกินาว่า ที่เรียกได้ว่านรกบนดินทหารญี่ปุ่นสู้ตายกันทุกนาย แถมบังคับให้คนโอกินาว่าฆ่าตัวตายกันยกเกาะ แบบนี้พอหลัง ww2 โอกินาว่ากลายเป็นเกาะร้างเลยรึเปล่าครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
ไม่ร้างชาวริวกิวอาศัยในเกาะอยู่ไม่น้อย แต่พวก วะจิน หรือยุ่น มีอยู่ไม่มากนัก
คนไม่ค่อยเชื่อทางการยุ่น เพราะมีคนถูกมะกันจับไปเป็นเชลยแล้วไม่ถูกทรมาน


พลเรือนชาวริวกิวที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ต้องโดนลูกหลงจากการโจมตีของทางฝั่งสัมพันธมิตร
รวมถึงการบังคับให้ฆ่าตัวตายจากกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นเอง โดยไม่ได้รับการเหลียวแลจากจักรวรรดิญี่ปุ่นแม้แต่น้อย

เหตุการณ์ฆ่าตัวตายหมู่เกิดขึ้นหลังจากที่ทหารอเมริกันเริ่มจับชาวริวกิวไปเป็นเชลย ซึ่งทางกองทัพญี่ปุ่นได้ประกาศถึงความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้น
หากพวกเขาตกไปเป็นเชลย จะต้องถูกทรมานอย่างแสนสาหัส ดูเหมือนว่าทางกองทัพญี่ปุ่นจะบังคับให้พลเรือนของตนเองฆ่าตัวตาย
แทนที่จะถูกจับไปเป็นเชลย โดยมีผลประโยชน์เรื่องเงินบำนาญ สำหรับผู้ที่เสียชีวิตในสงครามเป็นสิ่งจูงใจ


ในพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพโอกินาว่า มีรูปปั้นของทหารญี่ปุ่นและครอบครัวพลเรือน พร้อมข้อความที่ระบุว่า
ด้วยน้ำมือของทหารญี่ปุ่น พลเรือนถูกบังคับให้ฆ่าตัวตาย และฆ่ากันเอง

ทาเคจิโร่ นากามูระ หนึ่งในชาวบ้านกล่าวว่า ตนเองได้หนีออกจากบ้านพร้อมกับครอบครัว
แต่น้องสาวของเขากลับถูกแม่แท้ๆ ของตัวเองรัดคอจนเสียชีวิต เพื่อไม่ให้ตกเป็นเชลยของทหารอเมริกัน

ผมได้ยินน้องสาวพูดว่า ‘ฆ่าฉันเถอะ เร็วเข้า’ ซึ่งผมก็พยายามจะรัดคอตัวเองเช่นกัน แต่โชคดีที่ผมบังเอิญรอดมาได้ นากามูระกล่าว

จากการถูกจับโดยทหารอเมริกัน นากามูระกล่าวว่า

มันไม่เหมือนที่ทางจักรวรรดิญี่ปุ่นเตือนเลยสักนิดเดียว
ทหารอเมริกันตรวจผมว่ามีอาวุธหรือเปล่า แล้วเขาก็ให้ลูกอมและบุหรี่กับผม



ทหารเรือสหรัฐ กำลังป้อนอาหาร ป้อนน้ำให้เด็ก


ทหารเรือสหรัฐ พยายามสื่อสารกับยุวชนทหารญี่ปุ่น

ชาวริวกิว ออกจากที่ซ่อนตามเนินเขา เดินตามทหารสหรัฐ 17เมษายน 1945

ประวัติศาสตร์ที่แสนโหดร้ายนี้ ทางญี่ปุ่นเองไม่เคยบรรจุเข้าในตำราเรียนแม้แต่นิดเดียว นั่นเพื่อเป็นการรักษาคติชาตินิยมของตนเองไว้
จากเหตุการณ์สะเทือนใจในครั้งนี้ ทำให้ผู้ที่รอดชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวหลายคน ปฏิเสธที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นชาวญี่ปุ่น
แต่กลับบอกว่าเป็นชาวริวกิว และนี่ก็คือเรื่องราวความโหดร้ายที่เป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งกลายเป็นการรบมีผู้เสียชีวิตสูงที่สุด และโหดร้ายที่สุดก็ว่าได้

Peace Memorial Museum presents special exhibition


อ้างอิงบางส่วนจาก
ผลตกค้างประเด็นหมกเม็ดของสหรัฐ ในสนธิสัญญาซานฟรานซิสโก
โดย ดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรม

แถลงการณ์ไคโรระหว่างมหาอำนาจทั้งสามอันมีสหรัฐอเมริกา จีน และสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 1943

ใจความตอนหนึ่งว่า

วัตถุประสงค์ของมหาอำนาจทั้งสามคือ ญี่ปุ่นต้องถูกริบคืนบรรดาเกาะทั้งหลายในมหาสมุทรแปซิฟิค
ที่ญี่ปุ่นยึดครองมาตั้งแต่เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1914 และดินแดนที่ญี่ปุ่นขโมยมาจากจีน เช่น
แมนจูเรีย ฟอร์โมซา และหมู่เกาะเปสคาดอส์ จะต้องกลับคืนเป็นของสาธารณรัฐจีน
ญี่ปุ่นจะต้องถูกขับไล่ออกจากดินแดนอื่นๆ ทั้งหมด ที่ได้มาโดยความรุนแรง และละโมบ


มหาอำนาจทั้งสามพบกันอีกครั้งเมื่อวันที่ 26 กรกฏาคม 1945 และยื่นคำขาดให้แก่ญี่ปุ่นที่เรียกว่า
แถลงการณ์พอตสดัมโดยมีใจความที่เกี่ยวข้องตอนหนึ่งว่า

8. เงื่อนไขตามแถลงการณ์ไคโร ได้รับการปฏิบัติและอธิปไตยของญี่ปุ่นจะถูกจำกัดเฉพาะ
เกาะฮอนชู ฮอกไกโด คิวชู และชิโกกุ กับเกาะเล็กอื่นๆ ตามแต่จะเห็นสมควร


เอกสารของญี่ปุ่นที่ยอมรับความพ่ายแพ้สงครามลงวันที่ 2 กันยายน 1945 มีใจความตอนหนึ่งระบุว่า

ญี่ปุ่นยอมรับเงื่อนไขตามแถลงการณ์พอตสดัม ซึ่งหมายถึงการยอมรับแถลงการณ์ไคโรด้วย

สนธิสัญญาสันติภาพกับญี่ปุ่นลงนาม ณ ซานฟรานซิสโก ในวันที่ 8 กันยายน 1951
(หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า สนธิสัญญาซานฟรานซิสโก) บทที่ 2 ว่าด้วยดินแดน มาตรา 2 ระบุว่า

(ก) ญี่ปุ่นยอมรับอิสรภาพของเกาหลี สละกรรมสิทธิ์และข้อเรียกร้องทุกประการต่อเกาหลี
ซึ่งหมายรวมถึงหมู่เกาะQuelpart (เชจู Jeju) ท่าเรือ Hamilton และ Dagelet (โกมันโด Geomundo และอุลลึงโด Ulleungdo)
(ข) เกาะไต้หวัน(ฟอร์มอซา) และหมู่เกาะเปสคาดอส์
(ค) หมู่เกาะคูริล ส่วนของเกาะซัคคาริน และเกาะใกล้เคียงที่ญี่ปุ่นได้มาตามสนธิสัญญาพอ์ตสมัธ 5 กันยายน 1905
(ง)  หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิคที่ญี่ปุ่นเคยดูแลอยู่
(ฉ)  หมู่เกาะสแปรตลี่ และหมู่เกาะพาราเซล

(หมู่เกาะริวกิว ควรแยกตัวเป็นเอกราช หรือขึ้นกับจีนแผ่นดินใหญ่ ตามแต่เดิมที่เป็นรัฐบรรณาการของต้าชิง
แต่กลับถูกผนวกเข้ากับญี่ปุ่น ซึ่งขัดแย้งกับแถลงการณ์ไคโร และสนธิสัญญาซานฟรานซิสโก)


ในวันเดียวกันนั้น ญี่ปุ่นลงนามใน สนธิสัญญาสันติภาพระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐ
ทั้งสองสนธิสัญญารวมกันเป็นสิ่งที่จำกัดให้ญี่ปุ่นอยู่ภายในกรอบ พร้อมๆ กับส่งผลกระทบตกค้างแก่การเมืองระหว่างประเทศตั้งแต่นั้นมา

ประเด็นที่สำคัญที่สุดของสนธิสัญญาซานฟรานซิสโก คือ ฝ่ายจีนแดง ฝ่ายจีนก๊กมินตั๋ง เกาหลีทั้งเหนือและใต้
ไม่ได้รับเชิญให้ลงนามในสัญญา ทั้งๆที่ฝ่ายเหล่านั้นได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัสจากญี่ปุ่น
แล้วสันติภาพระหว่างฝ่ายเหล่านั้นกับญี่ปุ่นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร โซเวียตได้รับเชิญแต่ไม่ได้ลงนามด้วยข้ออ้างว่า
จีนแดงไม่ได้รับเชิญ

หลังจากนั้นสหรัฐบีบคั้นญี่ปุ่นให้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับจีนคณะชาติในวันที่ 28 เมษายน 1952
วันเดียวกับที่สนธิสัญญาซานฟรานซิสโกมีผลบังคับใช้ เพื่อให้จีนคณะชาติเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงหนึ่งเดียว
โดยขู่ว่าจะไม่รับรองสนธิสัญญาซานฟรานซิสให้มีผลถ้าไม่ปฏิบัติตาม ญี่ปุ่นเองลังเลใจ แต่ไม่กล้าขัด

โซเวียตเองสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับญี่ปุ่นเมื่อ 19 ตุลาคม 1956 แต่ไม่ได้ทำสัญญาสันติภาพ
ด้วยเหตุที่ตกลงเรื่องดินแดนไม่ได้ เนื่องจากสหรัฐไม่เห็นชอบและกดดันอยู่เบื้องหลัง

ญี่ปุ่นไม่เหมือนเยอรมนีที่สามารถตกลงประนีประนอม และอยู่ร่วมกันกับประเทศข้างเคียงในยุโรปได้
แต่ญี่ปุ่นจำเป็นต้องยอมรับข้อแม้หลายประการจากสหรัฐ เพื่อแลกกับการได้อำนาจอธิปไตยคืนมาโดยเร็วที่สุด
เงื่อนไขที่ต้องยอมรับ ได้แก่ การให้ญี่ปุ่นติดอาวุธใหม่ การคงฐานทัพทั้งหมดในญี่ปุ่น และการตัดจีนแดงออกจากสัญญาสันติภาพ

แม้ว่าใจความของแถลงการณ์ไคโร พอตสดัม และสนธิสัญญาซานฟรานซิสโก จะมีการระบุเรื่องดินแดนที่ดูเหมือนชัดเจนในหลายๆกรณี
แต่กลับไม่ได้ระบุชัดเจนว่ามีขอบเขตเพียงใด และใครจะเป็นเจ้าของ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่เกี่ยวข้องกับประเทศที่ไม่ได้ลงนาม

กรณีของโซเวียต ได้แก่ กรณีพิพาทเรื่อง 4 เกาะทางเหนือที่ติดกับฮอกไกโด
เนื่องจากสนธิสัญญาซานฟรานซิสโกไม่ได้ให้คำจำกัดความของหมู่เกาะคูริลว่าครอบคลุม 4 เกาะดังกล่าวด้วยหรือไม่
ทั้งๆที่หมู่เกาะคูริลเป็นรางวัลที่รับปากให้แก่โซเวียตอย่างลับๆ ในการประชุมที่ยัลต้า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1945
เพื่อชักชวนให้โซเวียตมาช่วยรบกับญี่ปุ่น โดยที่ขณะนั้นโซเวียตยังไม่ได้เป็นคู่สงครามเลย
ในตอนที่ญี่ปุ่นเจรจากับโซเวียต และยอมให้สองเกาะบนของเกาะทั้ง 4 สหรัฐขู่ว่า

ถ้าทำเช่นนั้นสหรัฐ จะยึดหมู่เกาะโอกินาวาไว้ตลอดไป

กรณีพิพาทระหว่างเกาหลีกับญี่ปุ่นเกี่ยวกับด็อกโต(ทาเคชิมะ)ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะมีการระบุชื่อหมู่เกาะไว้ 3 ชื่ออย่างชัดเจน
แต่มีเกาะอีกมากที่ไม่ได้ระบุและด็อกโต คือหนึ่งในนั้น เมื่อญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน
ในปี 1965 เรื่องนี้ย่อมตกลงกันไม่ได้

โอกินาวาถูกญี่ปุ่นผนวกเข้าเป็นจังหวัดหนึ่งของญี่ปุ่นในปี 1872 ของสมัยเมจิ
และญี่ปุ่นผนวกเกาะเตี้ยวหวีเป็นส่วนหนึ่งของโอกินาวาในปี 1895 อย่างดื้อๆ
หลังจากได้รับไต้หวันและหมู่เกาะเปสคาดอส์ ตามสนธิสัญญาชิโมโนเซกิ

ทั้งหมดตกเข้าไปอยู่ภายใต้สหรัฐช่วงหลังสงคราม โดยที่สัญญาซานฟรานซิสโกไม่ได้ระบุว่า เกาะใดจะเป็นของญี่ปุ่น
แต่เป็นดุลยพินิจของมหาอำนาจตามแถลงการณ์พอตสดัม ซึ่งสหรัฐคืนเกาะเตี้ยวหวีให้แก่ญี่ปุ่นไปพร้อมๆ
กับหมู่เกาะโอกินาวาในปี 1972 โดยที่ทั้งจีนแดง และจีนก๊กมินตั๋งทำการประท้วงด้วย

กรณีพิพาทถัดไปคือ หมู่เกาะสแปรตลี่และหมู่เกาะพาราเซล ที่ญี่ปุ่นสละสิทธิ์ตามสนธิสัญญาซานฟรานซิสโก
แต่ไม่มีการระบุว่าใครจะเป็นเจ้าของและเป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ เดิมทีจีนก๊กมินตั๋งเป็นผู้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะทั้งสอง
ตามด้วยจีนแดงในทศวรรษที่ 1940 ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายขอให้บรรจุหมู่เกาะทั้งสองไว้ในสนธิสัญญา
เนื่องจากเป็นผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับเวียดนามที่ตนยึดครองอยู่

กรณีพิพาททั้งสี่ข้างต้น ถือเป็นประเด็นที่สหรัฐหมกเม็ดไว้ในสนธิสัญญา เพื่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นภายในภูมิภาคนี้

ฐานทัพและสถานที่ทางทหารบนโอกินาวา 32 แห่ง และบนเกาะหลักทั้งสี่อีก 7 แห่ง
ถือเป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ของฐานทัพสหรัฐทั่วโลก ซึ่งตั้งใหม่และยุบเลิกไปตามเป้าหมายทางยุทธศาสตร์
ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ฐานทัพในญี่ปุ่นได้คงอยู่มาเป็นเวลานานแล้ว

เริ่มแรกมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้เป็นที่ตั้งส่งกำลังออกไปสำหรับเป้าหมายในจีนและรัสเซียในยุคสงครามเย็น
แต่ตอนนี้คงจะใช้สำหรับจีนและเกาหลีเหนือ ในขณะเดียวกันฐานทัพเหล่านี้ใช้สำหรับควบคุมญี่ปุ่นเอง
และสุดท้ายเพื่อใช้ในการรักษาความมั่นคงและสันติภาพตามมาตรา 1 แห่งสนธิสัญญาความมั่นคงระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐ

John W. Dower (2014) ศาสตราจารย์เกียรติคุณทางประวัติศาสตร์แห่ง MIT กล่าวว่า
สหรัฐได้พยายามกดดันให้ญี่ปุ่นติดอาวุธใหม่ ตั้งแต่ก่อนสงครามเกาหลีด้วยซ้ำไป ทั้งๆที่รู้ดีว่าการติดอาวุธไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

เมื่อสงครามเกาหลีอุบัติขึ้นในวันที่ 25 มิถุนายน 1950 สหรัฐถึงกับอยากเห็นกองกำลังภาคพื้นดินของญี่ปุ่นเข้ามาร่วมรบด้วย
นายกรัฐมนตรีโยชิดะในขณะนั้นไม่พยายามตอบสนอง แต่ยอมให้มีการจัดตั้งกองกำลังสำรองตำรวจแทน
ในที่สุดกองกำลังป้องกันตนเองเกิดขึ้นจนได้ในปี 1953 ตามการเร่งรัดของสหรัฐ และเจริญเติบโตเป็นลำดับโดยที่ไม่ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แต่ใช้วิธีการตีความแทน เนื่องจากการติดอาวุธนี้อยู่ใต้สนธิสัญญาความมั่นคงที่ญี่ปุ่นต้องพึ่งการป้องกันจากสหรัฐที่มีฐานทัพอยู่ทั่วญี่ปุ่น
ผลที่ตามมาคือ
1. ญี่ปุ่นต้องตกอยู่ภายใต้นโยบายยุทธศาสตร์และการวางแผนเชิงกลยุทธของสหรัฐ  
2.การติดอาวุธจะไปควบคู่กับการลดความสำคัญ การฟอก และ การปฏิเสธสิ่งที่กองทัพญี่ปุ่นกระทำในอดีต

แม้ว่าข้อ 10 ตามแถลงการณ์พอตสดัมจะระบุไว้ชัดเจนถึงการดำเนินการกับอาชญากรสงคราม และผู้ที่ปลุกระดมประชาชนญี่ปุ่นให้ทำสงคราม
แต่ผู้ที่ถูกฟ้องต่อศาลทหารระหว่างประเทศในตะวันออกไกลกว่า 20 คน ส่วนใหญ่ถูกตัดสินจำคุก
มีเพียง 7 คนเท่านั้นที่ถูกตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ในบรรดา 7 คนนี้ นอกจากโตโจ ฮิเดกิ
ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในตอนก่อนแพ้สงคราม และเป็นผู้มีบทบาทสูงในการสั่งการเกือบทุกแนวรบแล้ว

อีก 3 คนเป็นผู้ที่ก่ออาชญากรรมสงครามกับประเทศฝ่ายตะวันตก (International Military Tribunal for the Fareast 1948)
ส่วนที่เหลืออีก 3 คนเป็นผู้มีบทบาทหลักในการก่อกรรมทำเข็ญในจีน และการนำมาซึ่งคำตัดสินของ 3 คนนี้
ล้วนแต่มาจากการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างหนักของอัยการชาวจีน ที่ฝ่าฟันอุปสรรคจากสภาพที่หลักฐานเอกสารต่างๆ
ถูกทำลายจนหมดสิ้นก่อนแพ้สงคราม มิฉะนั้น 3 คนนี้คงไปรวมอยู่ในกลุ่มที่ถูกตัดสินจำคุก (“丧钟为谁而鸣 “,凤凰网,2013)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่