เรารู้สึกตัวเองกำลังมีปัญหา...คือเราอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน
ตอนนี้เราพิมพ์ในขณะที่เรายังพอโอเคอยู่ ไม่เครียดมาก
เราจิตตกค่อนข้างง่ายค่ะ อ่อนไหวกับคำพูดด้วย บางทีก็รู้สึกเหมือนว่าเราอาจเข้าข่ายโรคซึมเศร้าแต่เราไม่กล้าลองโทรสายด่วนหรึกษาสุขภาพจิตหรือไปพบจิตแพทย์เพราะเราไม่รู้วิธี+ไม่กล้าฟันธงว่าตัวเองเป็น
ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเราเครียดทุกวัน ก่อนนอนก็จะคิดมากแม้แต่ในฝันยังต้องเผชิญเรื่องที่เรากลัวต่างๆ
ตื่นมาก็ต้องฟังเสียงแม่บ่นเรื่องชีวิตที่ผ่านมากับคุณป้าข้างบ้าน บลาๆ ทำให้เราหลับไม่เต็มอิ่ม
ยิ่งตื่นยิ่งรู้สึกไร้เป้าหมายว่าวันนี้จะทำอะไรนอกจากทำงานช่วยแม่บ้าง...
เราจึงพยายามหานิยายอ่านกับแต่งเองบ้างเพื่อไม่ให้หมกมุ่นอดีตแย่ๆ
-----------------------------------------------
อันนี้เราระบายสั้นๆ เมื่อปลายเมษา..ช่วงซึมๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"ฉัน" ผู้เป็นไม่ได้ดั่งใจ
ฉันเคยวาดฝันว่าอยากแต่งงานตอนอายุ 25 ปี สามีอายุมากกว่าประมาณ 5-8 ปี
ตอนนี้ฉันกำลังจะ 20 ปี ยังไม่มีแม้แต่เส้นทางอนาคต
ฉันเคยอยากเข้าคณะสายศิลปะ
ฉันเคยขอแม่ตอน ม.4 แม่บอกว่าให้ฉันเรียนสายที่ตัวเองเรียนสิ คือ
"วิทย์คณิต"
ฉันยังไม่ย่อท้อ แอบไปเรียนติวนิเทศศิลป์
ฉันไม่ชอบพี่ติว ฉันกลัว ฉันหนีทั้งที่เรียนไปแค่ 5 ครั้งจาก 15
ม.6 ฉันเปิดรับวาดปกนิยายและส่งผลงานบ้าง
ฉันได้รับโอกาสวาดปกนิยายทำมือจากพี่นักเขียนสองคน
แต่ผลที่ได้ไม่ค่อยดีนัก
ฉันรู้สึกผิดต่อพี่ทั้งสองมาก
เพราะฉันทิฐิเยอะและฝีมือไม่ถึงขั้น ยังดันทุรังฝืนยื้อตัวเองเพื่อ "เงิน"
หลังจากนั้นฉันก็ไม่มีงานอีก
ฉันกลัวมาก
กลัวการเปิดรับงานวาดปก
ฉันกลัวเหลือเกิน
.
.
ฉันหนีความกลัวโดยการเล่นเกม
มันช่วยฆ่าเวลาแถมยังทำให้ฉันลืมตัวเองในโลกความจริง
ฉันค่อยๆ ทำลายตัวเองช่วงที่แม่ไม่อยู่
แต่ละวันกินชีสบอลกับน้ำหวาน หากพี่สาวไม่พาไปกินข้าวข้างนอก ฉันคงประทังชีวิตด้วยอาหารขยะ
จนถึงวันยื่นแอดมิชชั่น59
ฉันกะจะยื่นคณะเกี่ยวกับจิตวิทยาทั้ง 4 อันดับ
แต่พอพี่ชายถาม
ฉันเกิดลังเล
ฉันไม่กล้าเลือกคณะวิทยาศาสตร์
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
แต่สุดท้ายฉันนึกถึงคำพูดของแม่
ฉันจึงเลือกคณะวิทยาศาสตร์แห่งหนึ่ง โดยไม่ปรึกษาใคร
วันประกาศผล
พ่อบอกว่ามันไกลเกินไป พ่อส่งไม่ไหว
สีหน้าเขาเคร่งเครียด
ว่าฉันทำไมไม่รู้จักปรึกษา
นั่นสินะ
ทำไมฉันถึงไม่เลือกปรึกษาคนในครอบครัว... เพราะพวกเขาทำให้ฉันหวาดกลัวและลังเล
ความจริงฉันพอเดาผลลัพธ์นี้ได้ตั้งแต่ ม.6 เพราะถ้าฉันเข้าม'หาลัย
ลำพังรายได้พ่อแม่ที่ทำอาชีพค้าขายคงส่งลูกเรียนพร้อมกัน 4 คนไม่ไหวแน่
ขนาด 3 คนยังต้องขอความช่วยเหลือจากญาติเลย
ฉันพักเรียนหนึ่งปี
ตอนแรกฉันตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อเข้าคณะสายวิทย์ดีๆ ให้ได้
แต่พอคุยกับแม่ฉันเริ่มลังเล
แม่ยื่นโอกาสให้ฉัน
ว่าอยากเรียนอะไรก็ได้
ฉันจึงไปเรียนติวศิลปะที่ใหม่
พี่ติวคนนี้นิสัยดี
พี่เค้าเล่าเรื่องที่ติวเก่าให้ฉันฟัง
ฉันกับพี่ติวคนนี้พอคุยกับรู้เรื่องบ้าง
แต่หลังๆ ฉันเริ่มไม่พอใจในตัวพี่ติวคนนี้อีก
ทัศนคติเราต่างกันเกินไป และบางวันฉันนั่งรถเข้าเมืองเพื่อไปเรียน
ปรากฏกว่าพี่เค้าเลื่อนหยุดโดยไม่มีการบอกล่วงหน้า
หรืออาจบอกในเฟชบุ๊คแต่ฉันไม่ทันเข้าเช็คเอง
ฉันเลิกไปติว
ฉันฝึกวาดเส้นต่อเอง แม้ไม่ดีนัก
พ่อกับแม่พาฉันนั่งรถชาญทัวร์เข้า กทม. เพื่อสอบรับตรง
วันแรกข้อสอบวาดเส้น ฉันพอวาดได้แม้จะตื่นเต้น
แต่วันที่สองข้อสอบนิเทศศิลป์
.
.
.
.
.
.
ฉันกดดัน
อุปกรณ์วางไว้แต่ถูกใช้ไม่คุ้มคุณค่า
ฉันวาดไม่ออก คิดไม่ได้
ลงสีแปลกและไม่เต็มแผ่น เลอะเทอะ
ฉันทั้งกลัวทั้งอาย
.
.
3 ชั่วโมง ภายในห้องสอบแสนอึดอัด
ฉันอยากวิ่งออกจากห้องไปอาเจียนในห้องน้ำ กว่าจะหมดเวลาสอบฉันรู้สึกห่อเหี่ยว เดินลากร่างไร้วิญญาณออกจากห้อง
ฉันเกลียดตัวเอง
พ่อแม่ฉันนั่งรถกลับในเย็นวันนั้น
ฉันเครียด
พ่อก็โมโหเรื่องฉันกินข้าวไม่หมด
อาหารไม่อร่อยและแพง
ฉันร้องไห้ไม่อยากได้ยินเสียง
พ่อด่าฉันทุกเรื่อง
คำที่ฉันเกลียดสุดคือ "โง่"
ฉันหมดกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อไป
ฉันไม่อยากฝันอะไรอีกแล้ว อนาคตที่ฉันเห็นมีแต่คำว่า "ตกงาน"
ฉันอยากฆ่าตัวตายแต่ไม่กล้าพอ
พี่ๆ ทั้งสามคงผิดหวังในตัวฉัน
เพื่อนๆ เองก็เช่นกัน
ฉันเกลียดการที่จะต้องเจอกับคนรู้จัก ฉันไม่อยากตอบคำถามว่า
"เรียนที่ไหนเหรอ"
ฉันไม่อยากได้ยินคนอื่นอวดลูกตัวเองว่าติดคณะนู่นนี่นั่น
ฉันไม่อยากเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยการดูถูกหรือเห็นใจ
ฉันไม่สามารถเป็นได้ดั่งที่หลายๆ คนหวังหรือคาดคิด
ฉันทำลายตัวเองที่ละนิด ทำลายสำนึกถึงความเป็นมนุษย์สังคม เลิกคุยกับคนรอบข้างโดยไม่จำเป็น
หากไม่ติดเรื่องต้องออกไปช่วยแม่ขายของฉันคงอยู่แต่ในบ้าน ยึดติดแต่อดีตที่ฉันกลัว
ทุกวันก่อนนอนฉันนึกถึงแต่เรื่องแย่ๆ สภาวะจิตใจฉันตกต่ำมาก
แม้แต่ในฝันฉันยังต้องเจอกับเหล่าคนที่ฉันไม่อยากเจอ
ฉันกลัวเหลือเกิน
ฉันกลายเป็นคนยอดแย่ หลานยอดแย่ น้องยอดแย่ ลูกยอดแย่
นับถอยหลังอีกไม่ถึง 30 วันแอดมิชชั่น60 ใกล้มาถึง... คราวนี้ฉันจะยังมีโอกาสอีกไหม
คะแนนฉันจะถึงไหม ม'หาลัยจะอนุญาตให้ฉันเข้าศึกษาไหม ถ้าฉันมีโอกาสกลายเป็นนักศึกษา
ฉันจะกุมโอกาสสุดท้ายนี้อยู่ไหม
หวังว่าในวันข้างหน้า
ฉันจะกลายเป็นคนที่ตัวเองคาดหวังได้ดั่งใจ กล้าพอที่จะหนีความหวาดกลัวสังคมโดยการทำลายตัวตนกลับสู่จุดเริ่มต้น
รายละเอียดยาว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1.เราเป็นเด็กพักเรียน 1 ปีค่ะ ปีที่แล้ว #แอด59 เราติดคณะที่อยู่ไกลเกินไป...วันประกาศเลยโดนพ่อด่าว่าทำไมไม่รู้จักปรึกษา+พ่อส่งไม่ไหว
ตรงนี้เราเข้าใจ เพราะเราไม่ปรึกษาใครจริงๆ แถมมีพี่ 3 คนกำลังเรียนมหาลัย (โดยญาติช่วยออกค่าเทอม) ตอนเราเลือกเราคิดแค่ว่าเป็นมหาลัยที่พ่อเคยพาพี่สาวไปสอบสัมภาษณ์เลยคิดว่าแกน่าจะโอเค...ที่ไหนได้ โดนด่าเป็นชุดเลย ฮ่าๆ ...(,_, ) //ไปนั่งชมวิวร้องไห้ ไม่กล้าโดดเล่นน้ำหรือโดดจากดาดฟ้า (กลัวค่ะ ยังอยากฟินมังงะ Y เรื่อยๆ ด้วย)
2.เราตกลงกับแม่ว่าปี 60 เราขอโอกาสไปสอบคณะพวกศิลปะ สนามแรกและสนามเดียว พ่อกับแม่พาเราไป..แต่ขากลับเราเครียดมาก...และเราโดนพ่อด่าเรื่องเรากินข้าวไม่หมด เรารู้แค่ว่าเราไม่หิวแต่แม่บังคับให้เราซื้อกิน พอกินไม่หมดเราโดนพ่อด่าทุกเรื่อง (เวลาแกโมโหแกจะด่าทุกอย่าง) ทั้งที่อยู่บนรถทัวร์ ชั้นสองหน้าสุด เราร้องไห้ขอให้แกเลิกด่าเราคนบนรถก็มองมาที่เราหมด พ่อยังด่าเราไปเรื่อยๆ กว่าจะเลิกด่านานมากค่ะ แล้วพูดว่าไม่ต้องไปสอบอีก ยิ่งเลี้ยงยิ่งโง่
3.เราปลงทุกอย่าง กะจะแอดคณะที่คะแนนน่าจะถึงไปเลย..ไม่สนแล้วจะดีไม่ดี เราคิดแค่ว่าต่อให้ยังไงเราก็เหมือนคนเตรียมไร้อนาคต+ตกงานตามสายตาของพี่...พี่เราเคยพูดใส่เรื่องคณะที่เราสนหลายครั้งเหมือนไม่ดีสักอย่าง...ไม่ก็บอกว่าความสามารถเรายังไงก็เรียนไม่ไหว
แม่ถามเราว่าอยากไปสอบอีกไหม เรานึกถึงห้องสอบตอนนั้นกับคำพูดพ่อเราเลยบอกว่าถ้าไปแล้วหนูโดนด่าเรื่องใช้เงินสูญเปล่าก็อย่าเลย
พี่ชายคนรองก็บอกเราว่าพ่อบ่นว่าอยากให้เราเรียนแค่ที่ใกล้ๆ
4.เราบอกแม่ว่าเราไม่อยากเจอญาติ ไม่อยากถูกถามว่าเรียนที่ไหน เราไม่อยากเห็นสีหน้าแววสงสารเวนาท เรารู้ว่าเราไม่ได้เก่งแบบพี่ๆ ที่ติดตั้งแต่รับตรงหลายที่...เราไม่เหมือนลูกคุณหนิ... แล้วแม่ก็ยังพาเราเจอญาติกับคนรู้จัก...ฮะๆ
5.พี่ชายคนโตเราเคยพูดใส่เราว่าเวลาเรามีปัญหาพยายามอย่าระบายลงเฟช เราจึงพยายามไม่ทำ...กลายเป็นว่าเราขาดที่ระบาย เราไม่สามารถระบายปัญที่เรามีให้ใครฟังได้ ครอบครัวเป็นต้นเหตุ เราไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนด้วย ถึงได้คุยกันเราก็ไม่อยากเอาปัญหาที่บ้านระบายให้เพื่อนฟัง
6.พี่ชายคนรองเคยพูดกระตุกเรื่องแมวเราซึ่งเป็นที่พึ่งเดียวของเรา ขนาดบอกพี่แล้วว่าไม่ต้องพูดเรารู้ว่าพี่จะพูดอะไร แกก็พูด.."เจ๊(พี่สาวเรา)บอกว่าให้หาบ้านใหม่ให้มัน" จนเราระเบิดร้องไห้เอาหัวทุบผนังแรงๆ หลายครั้ง เรายังมีสติ เจ็บก็เลิก หนีไปนั่งนอกบ้านคนเดียวเพื่อสงบตัวเอง
7.เราเกลียดเสียง[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้พ่อกับแม่มากค่ะ...แต่ก่อนเรายังแค่กลัวตอนนี้เราเกลียดการได้ยินมาก...ชอบยื่นโอกาสเราสุดท้ายก็เป็นคนที่ตบเรา(เปรียบเปรย)
8.เราไม่ได้มีความกล้าพอจะเรียกร้องความเป็นตัวเอง เราไม่เก่งพอจะฟื้นฟูตัวเองให้เป็นผู้เป็นคน...หากให้นึกภาพ เราคล้ายตัวพระเอกใน "สูญสิ้นความเป็นคน" ต่างกันตรงที่เขาสวมบทตัวตลกส่วนเราสวมบทคนนิ่ง ภายในกังวลไปซะทุกอย่าง พยายามทำลายตัวเองทีละนิด
เราสมัครแอด 60 เมื่อเวลาประมาณตี 1 ของวันที่ 20 พฤษภาคม 2560 กับจ่ายเงินในวันที่ 22 โดยไม่บอกพ่อกับแม่ล่ะ
เพราะยังไงสองคนนี้ก็อยากให้เราเลือกแค่จังหวัดใกล้ๆ เราเลยเลือกแค่ 3 อันดับเท่านั้น (แค่ 2 มหาลัย) (.__. )
เหลือแค่ว่าหลังประกาศเราจะติดสักอันดับไหม ติดแล้วจะไม่หลุดรอบสัมภาษณ์ไหม เข้าไปแล้วจะเรียนรอดไหม เรียนจบแล้วจะมีงานทำไหม...พอคิดแง่ลบก็อยากไปหาที่ดิ่งตัวเองแบบจริงจังเพื่อตัดความกลัดกลุ้มคนรอบข้างเหมือนกัน...กลัวอยู่ดี YvY
[ขอระบาย] "ฉัน" ผู้เป็นไม่ได้ดั่งใจ
ตอนนี้เราพิมพ์ในขณะที่เรายังพอโอเคอยู่ ไม่เครียดมาก
เราจิตตกค่อนข้างง่ายค่ะ อ่อนไหวกับคำพูดด้วย บางทีก็รู้สึกเหมือนว่าเราอาจเข้าข่ายโรคซึมเศร้าแต่เราไม่กล้าลองโทรสายด่วนหรึกษาสุขภาพจิตหรือไปพบจิตแพทย์เพราะเราไม่รู้วิธี+ไม่กล้าฟันธงว่าตัวเองเป็น
ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเราเครียดทุกวัน ก่อนนอนก็จะคิดมากแม้แต่ในฝันยังต้องเผชิญเรื่องที่เรากลัวต่างๆ
ตื่นมาก็ต้องฟังเสียงแม่บ่นเรื่องชีวิตที่ผ่านมากับคุณป้าข้างบ้าน บลาๆ ทำให้เราหลับไม่เต็มอิ่ม
ยิ่งตื่นยิ่งรู้สึกไร้เป้าหมายว่าวันนี้จะทำอะไรนอกจากทำงานช่วยแม่บ้าง...
เราจึงพยายามหานิยายอ่านกับแต่งเองบ้างเพื่อไม่ให้หมกมุ่นอดีตแย่ๆ
-----------------------------------------------
อันนี้เราระบายสั้นๆ เมื่อปลายเมษา..ช่วงซึมๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รายละเอียดยาว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราสมัครแอด 60 เมื่อเวลาประมาณตี 1 ของวันที่ 20 พฤษภาคม 2560 กับจ่ายเงินในวันที่ 22 โดยไม่บอกพ่อกับแม่ล่ะ
เพราะยังไงสองคนนี้ก็อยากให้เราเลือกแค่จังหวัดใกล้ๆ เราเลยเลือกแค่ 3 อันดับเท่านั้น (แค่ 2 มหาลัย) (.__. )
เหลือแค่ว่าหลังประกาศเราจะติดสักอันดับไหม ติดแล้วจะไม่หลุดรอบสัมภาษณ์ไหม เข้าไปแล้วจะเรียนรอดไหม เรียนจบแล้วจะมีงานทำไหม...พอคิดแง่ลบก็อยากไปหาที่ดิ่งตัวเองแบบจริงจังเพื่อตัดความกลัดกลุ้มคนรอบข้างเหมือนกัน...กลัวอยู่ดี YvY