สวัสดีเพื่อนๆ ชาวพันทิปทุกคน เรามีรีวิวมาฝากกันอีกแล้ว คราวนี้เราไปตะลุยเมืองจีนกันแบบเต็มอิ่ม 4 วัน 3 คืน แต่รอบนี้ไม่ได้เป็นโดดเดี่ยวผู้น่ารักอีกต่อไป ฮ่าๆๆ ทริปนี้เราไปเป็นแฟมทริป เดินทางโดยสายการบินไทยสมายล์จากสนามบินสุวรรณภูมิบินตรงสู่เมืองเจิ้งโจว สนามบินเจิ้งโจวซินเจิ้ง (BKK-CGO) เมืองเอกของมณฑลเหอหนาน ประเทศจีน เมื่อวันที่ 23-26 เมษายนที่ผ่านมา แอบกระซิบว่าไทยสมายล์เป็นสายการบินฟูลเซอร์วิสของไทยสายแรกที่มีเส้นทางบินตรงสู่เมืองเจิ้งโจว เพิ่งเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง

อยากจะบอกว่าทริปนี้เกือบจะเป็นกะทันหันทริปอีกแล้ว ฮ่าๆๆ เพราะทราบเรื่องก่อนวันเดินทางแค่ 12 วัน โชคดีที่ทางสายการบินใจดีจัดการเรื่องวีซ่าให้เรียบร้อย ทีนี้เราก็มาเช็กข้อมูลอื่นเพื่อเตรียมตัวออกทริปกัน ได้แก่
1. สภาพอากาศ เราเช็กข้อมูลสภาพอากาศของเมืองเจิ้งโจวก่อนล่วงหน้าประมาณ 7 วัน ตอนกลางวันอุณหภูมิประมาณ 26 องศา แต่กลางคืนเหลือ 12 องศา (แบ่งอุณหภูมิของไทยไปบ้างได้มั้ย) โอเค เตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วย (แต่พอถึงวันเดินทางอุณหภูมิขึ้นมาที่ 16 องศา แต่ลมพัดแรงตลอดเลยยิ่งหนาวเข้าไปใหญ่)
2. ปลั๊กไฟ เตรียม Universal adapter ไปเหมือนเดิม (แม้ว่าที่จีนจะใช้ปลั๊กแบบเดียวกับไทย แต่ก็เผื่อไว้ก่อน อุ่นใจกว่า)
3. เรื่องอินเทอร์เน็ต เป็นปัญหาพอสมควรเพราะจีนบล็อก Facebook, Google, Line, Youtube (แอปใช้งานประจำทั้งนั้นเลย) ซึ่งเราต้องใช้ติดต่อกลับมาที่ไทย มีวิธีแก้ปัญหา 2 วิธีหลักๆ คือ
3.1 ซื้อซิมจีนหรือถ้าไม่อยากเสียเงิน โรงแรมมี wifi ฟรี แล้วโหลดแอป VPN มาใช้ เพื่อจะได้ใช้งานแอปที่จีนบล็อกไว้
3.2 เปิดโรมมิ่งจากไทยหรือซื้อซิมการ์ดเพื่อใช้งานในต่างประเทศ
ส่วนตัวเราเลือกซื้อ Travel Sim Asia ของ Truemove ราคา 399 บาท ใช้งานได้ 4 GB เป็นเวลา 8 วัน ซึ่งนับว่าเพียงพอต่อการใช้งาน โดยรวมนับว่าใช้งานได้ดี สัญญาณขึ้น 4G เกือบตลอดเวลา ยกเว้นช่วงที่ขึ้นไปบนอุทยานแห่งชาติหยุนไถ่ซาน สัญญาณจะเหลือแค่ Edge
4. ค่าเงินของจีน หน่วยคือหยวน ตีราคาคร่าวๆ คือ 1 หยวนเท่ากับ 5 บาท เราแลกเงินไปนิดหน่อยเผื่อไว้กินขนม หรือซื้อของฝากเล็กน้อย
5. Time zone ที่จีนเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง พอถึงสนามบินเจิ้งโจวซินเจิ้งปุ๊บ ก็เปิดใช้ซิมปั๊บ โทรศัพท์ก็ตั้งเวลาใหม่ เป็นเวลาท้องถิ่นทันที แต่ถ้าใครใส่นาฬิกาข้อมือก็อย่าลืมปรับเวลาด้วยล่ะ
เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว เราไปตะลุยจีนกันเลยดีกว่า ไฟลต์ออกจากสุวรรณภูมิค่อนข้างสวย บินดึก พอถึงเช้าก็เที่ยวได้เลย เครื่องออกตอน 02.20 น. ขึ้นเครื่องปุ๊บก็หลับก่อนเลยจ้า พอตื่นขึ้นมาสักช่วง 05.30 น. พี่แอร์ก็แจกอาหารเช้า ได้มาเป็นบะหมี่ฮกเกี้ยน จัดการก่อนเลย แบบว่ามีความหิวอ่ะ

หลังจากนั้นไม่นานเครื่องก็ Landing ตอนเกือบๆ 7 โมงเช้าที่เมืองเจิ้งโจว เราก็นั่งรถบัสไปยังเมืองไคฟง ที่แรกที่เราไปก็คือ “ศาลามังกรหลงถิง” ซึ่งแต่เดิมเป็นสวนดอกไม้ของราชวงศ์ซ่ง ต่อมาในสมัยของพระเจ้าคังซีแห่งราชวงศ์ชิง (ช่วงปี ค.ศ.1692) ได้มีการสร้างเก๋งจีนบนดอย เมื่อถึงวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ บรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะมาจัดพิธีที่เก๋งแห่งนี้ ลักษณะการออกแบบเป็นของพระราชวังปักกิ่ง และภายในมีแท่นหินแกะสลักมังกรซึ่งเป็นบัลลังก์ของกษัตริย์ด้วย
วันที่เราไปมีการจัดงานเทศกาลดอกไม้ด้วย รอบๆ ศาลามังกรจึงประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากสี สวยงามมากๆ


มีคอสเพลย์ซุนหงอคงไว้ให้ถ่ายรูปด้วย ท่าโพสต์ธรรมดาซะที่ไหน

กว่าจะเดินไปชมศาลามังกรได้ ต้องเดินผ่านซุ้มประตูสวยๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปกันเพลินเลย

เกือบถึงศาลามังกรแล้ว ต้องเดินขึ้นบันไดไปอีก 72 ขั้นนะ

เมื่อขึ้นมาถึงด้านบน จะพบกับบังลังก์มังกรจำลอง สวยมากกก

วิวจากยอดดอย บรรยากาศดี ลมเย็น วิวสวย สบายใจ

ช่วงบ่ายเราไปชมศาลเจ้าขุนศึกตระกูลหยางกันต่อ เดิมทีที่นี่เป็นบ้านครอบครัวตระกูลหยาง ปัจจุบันได้รับการบูรณะซ่อมแซมเป็นศาลเจ้า มีหุ่นจำลองขุนศึกตระกูลหยางและภรรยาให้ผู้ที่นับถือเข้ามากราบไหว้


ขุนศึกเตรียมแผนการรบ

มาต่อกันที่สิ่งที่เราตั้งตารอมากที่สุด นั่นก็คือ “ศาลไคฟง” (เสียง เหว่ หวู่ ดังขึ้นมาในหัวเลย ฮ่าๆๆ) มาดูกันดีกว่าว่าภายในศาลจะมีเครื่องประหารแบบในละครเปาปุ้นจิ้นหรือเปล่า
ทางเข้าศาลไคฟง คุ้นตากันบ้างมั้ย

ตามตำนานเล่าว่า ท่านเปาบุ้นจิ้นแห่งศาลไคฟงมีตัวตนอยู่จริง แต่เป็นคนร่างเล็ก ผิวขาว ไม่มีพระจันทร์เสี้ยวแบบในละคร เรียกว่าตรงกันข้ามกับที่เห็นบนจอโทรทัศน์เกือบทุกอย่าง สาเหตุที่ละครสร้างตัวละครท่านเปาให้มีลักษณะท้วม ผิวคล้ำ เป็นเพราะมีความเชื่อว่าเป็นลักษณะของคนที่จิตใจดีมีเมตตา ส่วนพระจันทร์เสี้ยวบนหน้าผากคือการเปรียบเสมือนดวงตาที่สาม สามารถมองเห็นความจริงได้นั่นเอง

ตรงนี้เป็นส่วนจัดแสดง จำลองมาจากละครเปาบุ้นจิ้น ตอน ราชบุตรเขย

เครื่องประหารทั้งสาม ได้แก่ เครื่องประหารหัวสุนัข, เครื่องประหารหัวพยัคฆ์ และเครื่องประหารหัวมังกร



ข้างๆ ศาลมีสวนท่านเปา เป็นสวนเล็กๆ อยู่ติดกับแม่น้ำฮวงโห เดินผ่านประตูทางเข้ามาจะพบกับรูปปั้นเทพเจ้าซิ่วองค์ใหญ่ หนึ่งใน 3 เทพเจ้าจีน “ฮก ลก ซิ่ว”

จบวันแรกไปด้วยความเพลียเพราะแทบไม่ได้นอน พอหัวถึงเตียงนี่หลับยาวเล้ย วันต่อมาค่อยมีแรงหน่อยเพราะหลับเต็มอิ่มแล้ว เริ่มต้นวันที่สอง กันที่วัดเส้าหลินหรือเรียกเป็นภาษาจีนว่า “เสี้ยวลิ้มยี่” วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองเติงฟง ก่อตั้งมายาวนานกว่า 1,500 ปีแล้ว สิ่งที่โด่งดังคงหนีไม่พ้น “กังฟูวัดเส้าหลิน” ซึ่งเรามีโอกาสได้เข้าไปชมด้วยนะ
บริเวณทางเข้ามีหินสลักและรูปปั้นท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ หนึ่งในเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินที่มีชื่อเสียงที่สุดและเป็นผู้ให้กำเนิดวิชากังฟูวัดเส้าหลิน

ภายในวัดต้องนั่งรถเวียนเข้าไป เพราะวัดเส้าหลินมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่มากกก แต่ก็ร่มรื่นมากเช่นกัน เพราะมีเทือกเขาล้อมรอบทั้ง 4 ทิศ หากมองจากบนฟ้าจะเห็นเป็นลักษณะคล้ายดอกบัวบาน
ประตูทางเข้าบอกชื่อวัดเส้าหลิน

ต้นสนโบราณ ใช้ฝึกวิทยายุทธโดยใช้นิ้วจิ้ม อื้อหือ เป็นรูขนาดนี้นิ้วจะหักมั้ยนะ

หอระฆังภายในวัด ไม่ได้เข้าไปส่องข้างในเลย

เข้าไปถึงด้านในสุดจะพบกับวิหารเจ้าอาวาส สังเกตบริเวณพื้นจะเป็นหลุมยุบลงไปหลายจุด ว่ากันว่าเป็นที่ฝึกวิทยายุทธ์ของ 18 อรหันต์ทองคำ คงจะรุนแรงกันน่าดู พื้นยุบเลย ><

พอเวลา 11.30 น. ก็ถึงรอบเข้าไปชมการแสดงกังฟูวัดเส้าหลิน นึกว่าจะคว้ากระบี่กระบองออกมาไฝว้กัน แต่เป็นแค่การแสดงลีลาท่าทางเฉยๆ พร้อมแสง สี เสียงประกอบการแสดงทำให้ดูตื่นตาตื่นใจดี

ตรงนี้เป็นลานที่นักเรียนวัดเส้าหลินใช้ฝึกกลางแจ้ง กว้างมากกก นึกถึงในหนังก็จะมีนักเรียนมายืนกันเต็มลาน แล้วฝึกวิทยายุทธในแต่ละท่าแบบพร้อมเพียงกัน

นอกจากนี้ยังมีป่าเจดีย์ ซึ่งบรรจุอัฐิของอดีตเจ้าอาวาสและพระผู้ใหญ่ที่มียศสูงๆ ของวัดเส้าหลินไว้ด้วย
[SR] +++ ทริปตะลุยจีน 4 วันกับไทยสมายล์ เปิดตำนานเลื่องชื่อ บุกศาลไคฟง-ขุนศึกตระกูลหยาง-วัดเส้าหลิน-ศาลเจ้ากวนอู +++
อยากจะบอกว่าทริปนี้เกือบจะเป็นกะทันหันทริปอีกแล้ว ฮ่าๆๆ เพราะทราบเรื่องก่อนวันเดินทางแค่ 12 วัน โชคดีที่ทางสายการบินใจดีจัดการเรื่องวีซ่าให้เรียบร้อย ทีนี้เราก็มาเช็กข้อมูลอื่นเพื่อเตรียมตัวออกทริปกัน ได้แก่
1. สภาพอากาศ เราเช็กข้อมูลสภาพอากาศของเมืองเจิ้งโจวก่อนล่วงหน้าประมาณ 7 วัน ตอนกลางวันอุณหภูมิประมาณ 26 องศา แต่กลางคืนเหลือ 12 องศา (แบ่งอุณหภูมิของไทยไปบ้างได้มั้ย) โอเค เตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วย (แต่พอถึงวันเดินทางอุณหภูมิขึ้นมาที่ 16 องศา แต่ลมพัดแรงตลอดเลยยิ่งหนาวเข้าไปใหญ่)
2. ปลั๊กไฟ เตรียม Universal adapter ไปเหมือนเดิม (แม้ว่าที่จีนจะใช้ปลั๊กแบบเดียวกับไทย แต่ก็เผื่อไว้ก่อน อุ่นใจกว่า)
3. เรื่องอินเทอร์เน็ต เป็นปัญหาพอสมควรเพราะจีนบล็อก Facebook, Google, Line, Youtube (แอปใช้งานประจำทั้งนั้นเลย) ซึ่งเราต้องใช้ติดต่อกลับมาที่ไทย มีวิธีแก้ปัญหา 2 วิธีหลักๆ คือ
3.1 ซื้อซิมจีนหรือถ้าไม่อยากเสียเงิน โรงแรมมี wifi ฟรี แล้วโหลดแอป VPN มาใช้ เพื่อจะได้ใช้งานแอปที่จีนบล็อกไว้
3.2 เปิดโรมมิ่งจากไทยหรือซื้อซิมการ์ดเพื่อใช้งานในต่างประเทศ
ส่วนตัวเราเลือกซื้อ Travel Sim Asia ของ Truemove ราคา 399 บาท ใช้งานได้ 4 GB เป็นเวลา 8 วัน ซึ่งนับว่าเพียงพอต่อการใช้งาน โดยรวมนับว่าใช้งานได้ดี สัญญาณขึ้น 4G เกือบตลอดเวลา ยกเว้นช่วงที่ขึ้นไปบนอุทยานแห่งชาติหยุนไถ่ซาน สัญญาณจะเหลือแค่ Edge
4. ค่าเงินของจีน หน่วยคือหยวน ตีราคาคร่าวๆ คือ 1 หยวนเท่ากับ 5 บาท เราแลกเงินไปนิดหน่อยเผื่อไว้กินขนม หรือซื้อของฝากเล็กน้อย
5. Time zone ที่จีนเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง พอถึงสนามบินเจิ้งโจวซินเจิ้งปุ๊บ ก็เปิดใช้ซิมปั๊บ โทรศัพท์ก็ตั้งเวลาใหม่ เป็นเวลาท้องถิ่นทันที แต่ถ้าใครใส่นาฬิกาข้อมือก็อย่าลืมปรับเวลาด้วยล่ะ
เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว เราไปตะลุยจีนกันเลยดีกว่า ไฟลต์ออกจากสุวรรณภูมิค่อนข้างสวย บินดึก พอถึงเช้าก็เที่ยวได้เลย เครื่องออกตอน 02.20 น. ขึ้นเครื่องปุ๊บก็หลับก่อนเลยจ้า พอตื่นขึ้นมาสักช่วง 05.30 น. พี่แอร์ก็แจกอาหารเช้า ได้มาเป็นบะหมี่ฮกเกี้ยน จัดการก่อนเลย แบบว่ามีความหิวอ่ะ
หลังจากนั้นไม่นานเครื่องก็ Landing ตอนเกือบๆ 7 โมงเช้าที่เมืองเจิ้งโจว เราก็นั่งรถบัสไปยังเมืองไคฟง ที่แรกที่เราไปก็คือ “ศาลามังกรหลงถิง” ซึ่งแต่เดิมเป็นสวนดอกไม้ของราชวงศ์ซ่ง ต่อมาในสมัยของพระเจ้าคังซีแห่งราชวงศ์ชิง (ช่วงปี ค.ศ.1692) ได้มีการสร้างเก๋งจีนบนดอย เมื่อถึงวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ บรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะมาจัดพิธีที่เก๋งแห่งนี้ ลักษณะการออกแบบเป็นของพระราชวังปักกิ่ง และภายในมีแท่นหินแกะสลักมังกรซึ่งเป็นบัลลังก์ของกษัตริย์ด้วย
วันที่เราไปมีการจัดงานเทศกาลดอกไม้ด้วย รอบๆ ศาลามังกรจึงประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากสี สวยงามมากๆ
มีคอสเพลย์ซุนหงอคงไว้ให้ถ่ายรูปด้วย ท่าโพสต์ธรรมดาซะที่ไหน
กว่าจะเดินไปชมศาลามังกรได้ ต้องเดินผ่านซุ้มประตูสวยๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปกันเพลินเลย
เกือบถึงศาลามังกรแล้ว ต้องเดินขึ้นบันไดไปอีก 72 ขั้นนะ
เมื่อขึ้นมาถึงด้านบน จะพบกับบังลังก์มังกรจำลอง สวยมากกก
วิวจากยอดดอย บรรยากาศดี ลมเย็น วิวสวย สบายใจ
ช่วงบ่ายเราไปชมศาลเจ้าขุนศึกตระกูลหยางกันต่อ เดิมทีที่นี่เป็นบ้านครอบครัวตระกูลหยาง ปัจจุบันได้รับการบูรณะซ่อมแซมเป็นศาลเจ้า มีหุ่นจำลองขุนศึกตระกูลหยางและภรรยาให้ผู้ที่นับถือเข้ามากราบไหว้
ขุนศึกเตรียมแผนการรบ
มาต่อกันที่สิ่งที่เราตั้งตารอมากที่สุด นั่นก็คือ “ศาลไคฟง” (เสียง เหว่ หวู่ ดังขึ้นมาในหัวเลย ฮ่าๆๆ) มาดูกันดีกว่าว่าภายในศาลจะมีเครื่องประหารแบบในละครเปาปุ้นจิ้นหรือเปล่า
ทางเข้าศาลไคฟง คุ้นตากันบ้างมั้ย
ตามตำนานเล่าว่า ท่านเปาบุ้นจิ้นแห่งศาลไคฟงมีตัวตนอยู่จริง แต่เป็นคนร่างเล็ก ผิวขาว ไม่มีพระจันทร์เสี้ยวแบบในละคร เรียกว่าตรงกันข้ามกับที่เห็นบนจอโทรทัศน์เกือบทุกอย่าง สาเหตุที่ละครสร้างตัวละครท่านเปาให้มีลักษณะท้วม ผิวคล้ำ เป็นเพราะมีความเชื่อว่าเป็นลักษณะของคนที่จิตใจดีมีเมตตา ส่วนพระจันทร์เสี้ยวบนหน้าผากคือการเปรียบเสมือนดวงตาที่สาม สามารถมองเห็นความจริงได้นั่นเอง
ตรงนี้เป็นส่วนจัดแสดง จำลองมาจากละครเปาบุ้นจิ้น ตอน ราชบุตรเขย
เครื่องประหารทั้งสาม ได้แก่ เครื่องประหารหัวสุนัข, เครื่องประหารหัวพยัคฆ์ และเครื่องประหารหัวมังกร
ข้างๆ ศาลมีสวนท่านเปา เป็นสวนเล็กๆ อยู่ติดกับแม่น้ำฮวงโห เดินผ่านประตูทางเข้ามาจะพบกับรูปปั้นเทพเจ้าซิ่วองค์ใหญ่ หนึ่งใน 3 เทพเจ้าจีน “ฮก ลก ซิ่ว”
จบวันแรกไปด้วยความเพลียเพราะแทบไม่ได้นอน พอหัวถึงเตียงนี่หลับยาวเล้ย วันต่อมาค่อยมีแรงหน่อยเพราะหลับเต็มอิ่มแล้ว เริ่มต้นวันที่สอง กันที่วัดเส้าหลินหรือเรียกเป็นภาษาจีนว่า “เสี้ยวลิ้มยี่” วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองเติงฟง ก่อตั้งมายาวนานกว่า 1,500 ปีแล้ว สิ่งที่โด่งดังคงหนีไม่พ้น “กังฟูวัดเส้าหลิน” ซึ่งเรามีโอกาสได้เข้าไปชมด้วยนะ
บริเวณทางเข้ามีหินสลักและรูปปั้นท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ หนึ่งในเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินที่มีชื่อเสียงที่สุดและเป็นผู้ให้กำเนิดวิชากังฟูวัดเส้าหลิน
ภายในวัดต้องนั่งรถเวียนเข้าไป เพราะวัดเส้าหลินมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่มากกก แต่ก็ร่มรื่นมากเช่นกัน เพราะมีเทือกเขาล้อมรอบทั้ง 4 ทิศ หากมองจากบนฟ้าจะเห็นเป็นลักษณะคล้ายดอกบัวบาน
ประตูทางเข้าบอกชื่อวัดเส้าหลิน
ต้นสนโบราณ ใช้ฝึกวิทยายุทธโดยใช้นิ้วจิ้ม อื้อหือ เป็นรูขนาดนี้นิ้วจะหักมั้ยนะ
หอระฆังภายในวัด ไม่ได้เข้าไปส่องข้างในเลย
เข้าไปถึงด้านในสุดจะพบกับวิหารเจ้าอาวาส สังเกตบริเวณพื้นจะเป็นหลุมยุบลงไปหลายจุด ว่ากันว่าเป็นที่ฝึกวิทยายุทธ์ของ 18 อรหันต์ทองคำ คงจะรุนแรงกันน่าดู พื้นยุบเลย ><
พอเวลา 11.30 น. ก็ถึงรอบเข้าไปชมการแสดงกังฟูวัดเส้าหลิน นึกว่าจะคว้ากระบี่กระบองออกมาไฝว้กัน แต่เป็นแค่การแสดงลีลาท่าทางเฉยๆ พร้อมแสง สี เสียงประกอบการแสดงทำให้ดูตื่นตาตื่นใจดี
ตรงนี้เป็นลานที่นักเรียนวัดเส้าหลินใช้ฝึกกลางแจ้ง กว้างมากกก นึกถึงในหนังก็จะมีนักเรียนมายืนกันเต็มลาน แล้วฝึกวิทยายุทธในแต่ละท่าแบบพร้อมเพียงกัน
นอกจากนี้ยังมีป่าเจดีย์ ซึ่งบรรจุอัฐิของอดีตเจ้าอาวาสและพระผู้ใหญ่ที่มียศสูงๆ ของวัดเส้าหลินไว้ด้วย