ฤดูกาลแรกที่ไม่หวานของมูรินโญ่ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ก็จบลงไปแล้วนะครับ สำหรับพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2016-2017 ซึ่งก่อนเริ่มขึ้นก็มีอะไรน่าสนใจมากมาย

โฟกัสที่ ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเราเริ่มต้นฤดูกาลด้วยความหวังใหม่ การจากไปของ หลุยส์ ฟาน กัล การเข้ามาของยอดคน โชเซ่ มูรินโญ่, สลาตัน อิบราฮิโมวิช, พอล ป็อกบา

เฮนริค มาคิทาร์ยาน สตาร์ดังจากบุนเดสลีกา และ เอริค เบอร์ทราน ไบญี่ ก็ทำให้ทั้งสโมสรแฟนบอลกระชุ่มกระชวยมากเช่นกัน

พวกเราเริ่มต้นฤดูกาลด้วยความคาดหวังว่าการได้ 1 ในยอดโค้ชที่เก่งที่สุดในโลกในยุคนี้ ร่วมกับนักเตะแถวหน้าของโลก จะพาแมนฯยูไนเต็ดกลับสู่จุดที่พวกเราควรจะเป็น นั่นคือการขับเคี่ยวแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ทำได้ก็ต้องย้อนไปไกลถึงฤดูกาล 2012-2013 ที่คุณลุง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาทีมคว้าแชมป์ไป และจากนั้นแฟนบอลปีศาจแดงทั่วโลกก็ได้แต่กุมขมับดู เดวิด มอยส์ และ หลุยส์ ฟาน กัล ใช้เวลา 3 ปีกับเงินอีกนับร้อยล้านปอนด์พาทีมสาละวันเตี้ยลงๆ จนพวกเราต้องมาพูดถึงการทำอันดับไปเตะรายการ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีก ขำไม่ออกที่แค่ปี 2008 พวกเราได้ชูถ้วยนี้ และยังเข้าชิงกับต่างดาวอีกถึง 2 ครั้งใน 3 ฤดูกาลถัดมา ครั้งล่าสุดแค่ปี 2011 ปัจจุบันปี 2017 แค่การจะไปเตะรายการนี้กลับช่างไกลเหลือเกิน

กลับมาสู่ปัจจุบัน...

สรุปผลงานฤดูกาล 2016-2017 ของปีศาจแดง

จบที่ อันดับ 6 ชนะ 18 เสมอ 15 แพ้ 5 (เชลซี ชนะ 30 เสมอ 3 แพ้ 5) Facepalm



ยูไนเต็ดแพ้เท่ากับแชมป์เปี้ยนส์ที่ 5 นัด แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างมากคือการพลิกจากผลเสมอเป็นชัยชนะ ลูกทีมของคอนเต้เสมอแค่ 3 นัด ขณะที่เด็กๆ ของมูรินโญ่เสมอไปถึง 15 นัด ซึ่งมากที่สุดในลีก ส่วนต่าง 12 นัดที่ยูไนเต็ดเสมอมากกว่า เชลซี มีค่าเท่ากับ 24 แต้ม คือทุกๆ 2 แต้มที่เสียไปในการเสมอแต่ละนัด ส่วนต่างจากแต้มของแชมป์ที่ 24 แต้มนั้นถือว่าเกินความคาดหมายจากสิ่งที่ทุกคนคิดก่อนฤดูกาลจะเริ่มขึ้น

ในความพ่ายแพ้ 5 นัดนั้นประกอบไปด้วย แพ้ แมนฯซิตี้ในบ้าน, อาเซน่อล เยือน, เชลซี เยือน, สเปอร์ เยือน, และ วัตฟอร์ด เยือน

ยูไนเต็ดอาจจะแพ้ในบ้านแค่นัดเดียว ขณะที่เชลซียังแพ้ในบ้านไป 2 นัด แต่ก็อย่างที่เดาได้ครับ ปีศาจแดงเป็นเจ้าของสถิติมีผลเสมอในบ้านมากที่สุดในลีก (10 นัด)

ผลงานในเจอกับทีมกลุ่มท็อป 6 ด้วยกัน แมนฯยูไนเต็ด เก็บชัยชนะได้เพียงนัดเดียว คือการเปิดบ้านทุบ เชลซี 2-0 นั่นล่ะครับ




มูรินโญ่พาทีมเก็บชัยชนะได้น้อยกว่าจอมปรัชญา LVG 1 นัด และเก็บคะแนนได้มากกว่าแค่ 3 คะแนน อันดับต่ำกว่า 1 อันดับ แต่อย่างไรก็ตามครับ อย่างที่เห็นในตาราง มาตรฐานการเก็บแต้มในฤดูกาลนี้โหดกันขึ้นมาเยอะเมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อน เลสเตอร์ เคยคว้าแชมป์ได้ด้วยแต้มเพียง 81 คะแนน ซึ่งนั่นไม่พอแม้แต่จะเป็นรองแชมป์ในปีนี้ที่ทีมเชลซีเก็บไป 93 คะแนน และไก่กุ๊กๆ เก็บไป 86 คะแนน รองแชมป์ปีที่แล้วอย่าง อาเซน่อล ทำแต้มได้มากกว่าเดิม 4 คะแนน แต่ยังตกมาเป็นอับดับ 5 (ขอบคุณคุณ Infernal ที่ทักฮะ)

ปัญหาหนักของทีมในยุค LVG คือการเน้นครองบอลมากกว่าทำเกมรุก ทำให้สถิติการทำประตูน่าเกลียดหนักอยู่ที่แค่ 49 ประตูจาก 38 นัด (ในยุคเซอร์ อเล็กซ์ เราได้เห็นทีมยิงระดับ 80-100 ประตูกันเนืองๆ)

ปรากฏว่ามูเข้ามาแก้ปัญหาครับ โดยทีมยิงเพิ่มไปได้ตั้ง... 5 ประตู จาก 49 ปีก่อน มาเป็น 54 ปีนี้ นี่เป็นปัญหาใหญ่นะครับ แมนฯยูไนเต็ด ทำประตูน้อยกว่าทีมแชมป์อย่าง เชลซี ถึง 31 ประตู! น้อยกว่าสเปอร์ 32 ประตู! นั่นมันแทบจะนัดละประตูเลยครับ ทีมอันดับ 5 อย่าง อาเซน่อล ยังยิงมากกว่าปีศาจแดงตั้ง 23 ประตู เกมรุกปีศาจแดงห่วยขนาดที่ว่าทำประตูน้อยกว่า เอฟเวอร์ตัน 8 ลูก และน้อยกว่ากระทั่ง บอร์นมัธ 1 ลูก

เต่าเอือม

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อยู่อันดับที่ 8 ในลีกในด้านการทำประตูนะครับ คริสตัลพาเลซ ยิงอีก 5 ลูกก็แซงเราแล้ว

ยังดีที่เกมรับเหนียวแน่นกว่าเดิม โดยเสียไปแค่ 29 ประตู ยุค LVG เสียไป 35 โดยนี่เป็นเกมรับที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากไก่เดือยทองที่โดนจิ้มไป 26 ประตู

จริงๆ นี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงนะครับ เพราะต้นฤดูกาลทีมคว้าแนวรุกอย่าง สลาตัน, มาคิทาร์ยาน, ป็อกบา เข้ามาซึ่งเมื่อร่วมกับตัวเก่าๆ แล้วเราคิดว่าทีมน่าจะทำประตูได้มากขึ้นอย่างเป็นกอบเป็นกำ ส่วนเกมรับที่พี่คิงกลับสู่ร่างเดิมและมีตัวเจ็บมากมายน่าจะแย่ลง กลับทำได้ดีขึ้น ซึ่งต้องขอบคุณไบญี่และการทรานฟอร์มสู่ร่าง คันนาวาโรโฮ นั่นเอง จริงๆ เป็นปีที่เกมรับดีจนเราไม่ค่อยออกปากชม เด เคอา กันบ่อยๆ อย่างที่เคยๆ ด้วยซ้ำไปนะ


ทีมพึ่งพาการทำประตูของ "เดอะ ก็อด" สลาตัน มากเกินไป โดยขนาดเจ็บหายไปตั้งนานแล้ว สลาตัน ยังนำโด่งเรื่องการทำประตู โดยกดไป 28 ประตูในทุกรายการ ย้ำกันอีกทีว่าด้วยวัย 35 ปี...

อันดับ 2 ของทีมในการพังประตูยังห่างกันเป็นโยชน์ที่ 11 ประตูด้วยฝีเท้าของเจ้าหนู มาคัส แรชฟอร์ด ย้ำกันอีกทีว่าด้วยวัย 19 ปี...

ขณะที่ มาคิทาร์ยาน และ มาต้า กดไปเท่ากันที่ 10 ประตู

ตามมาด้วย กัปตัน รูนี่ย์ และ มาร์กซิยาล ที่กดไปคนละ 8 ประตูเช่นกัน

นั่นล่ะครับ... ต้องเอาดาวซัลโวอันดับ 2, 3 และ 4 มารวมกัน ถึงจะแซงอันดับ 1 อย่างคุณลุงชาวสวีดิช แถมแซงแค่ลูกเดียว อนาถใจชะมัด


สิ่งที่ทำให้ มูรินโญ่ ทำผลงานในฟุตบอลถ้วยได้ดีกว่าในลีก ก็เพราะสไตล์การคุมทีมแบบปิดประตูตีแมว ในฟุตบอลถ้วยนั้น ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นทีมเล็กแค่ไหน แต่พวกเค้าก็ไม่สามารถพอใจกับผลเสมอได้ และถึงจุดหนึ่ง อย่างไรเสียก็ต้องทำเกมบุกเพื่อทำประตู ไม่เช่นนั้นก็ตกรอบ ขณะที่ในเกมลีกนั้นทีมเล็กๆ หลายทีมถือว่าการเสมอกับ แมนฯยูไนเต็ด ได้นั้นก็มีค่าเท่ากับสามคะแนน ดังนั้นจึงเล่นเกมรับอย่างสบายใจและเต็มใจ

89 ล้านของ ป็อกบา และอีกราวๆ 60 ล้านของ มิคกี้ และ ไบญี่ เป็น 150 ล้านปอนด์บนการต่อยอดจากยุคฟานกัลที่แฟนๆ ย่อมคาดหวังมากกว่าการกระเสือ-กกระสนทำอันดับไปเตะ UCL ซึ่งจบลงแค่ที่อันดับที่ 6

ถ้วยลีกคัพและยูโรป้าลีก(ซึ่งยังไม่แน่)นั้นเป็นความสำเร็จระดับกลางๆ ที่เป็นเหมือนรางวัลปลอบใจ มีอะไรให้น่ายินดีในระดับที่เราพูดว่า "เอาวะ ก็ถือว่ายังคว้าแชมป์อะไรมาบ้าง" ซึ่งในคำพูดนี้เองมันก็บอกในตัวว่าไม่ใช่เป้าหมายหลักของสโมสรอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


มูรินโญ่ไม่ใช่หน้าใหม่ในพรีเมียร์ลีก เจ้าตัวเองมีเวลาเตรียมทีมตั้งแต่พรีซีซั่น ซ้ำยังคุ้นเคยกับทีมของ LVG ดีขนาดที่ว่าเคยได้คุมเชลซีต่อกรด้วยมาหมาดๆ หากการพ่ายแพ้ส่วนใหญ่ของจอมคนโปรตุกีซคือการพลาดให้กับทีมของ คอนเต้, เป็ป, โปเชตติโน่, หรือคล็อป ยังพอเข้าใจได้ แต่สิ่งที่เป็นปัญหาหนักที่สุดในฤดูกาลที่เพิ่งผ่านพ้นไปคือการเสียแต้มไปกับการเสมอกับทีมเล็กทีมน้อยกว่าครึ่งลีก

ต่อให้ตัดการเสมอกับทีมใหญ่ในท็อป 6 ด้วยกัน ลูกทีมของมูรินโญ่ยังเสมอไปถึง 11 นัดกับบรรดาทีมอื่นๆ ซึ่งนั่นเท่ากับ 22 คะแนนที่จะทำให้ทีมทะยานจาก 69 คะแนนไปเป็น 91 คะแนน จบอันดับที่ 2 และตามเชลซีเพียงแค่ 2 คะแนน

กระทิงเริงร่า

แต่แน่นอนครับว่าในยุคนี้ผจก.ทีมที่มีฝีมือฉมังระดับมูรินโญ่เองไม่ได้มีมากนัก และเจ้าตัวย่อมสมควรได้รับโอกาสปรุงทีมให้กลมกล่อมขึ้นกว่านี้ในฤดูกาลหน้าหรืออาจถึงฤดูกาลที่สาม ขึ้นอยู่กับผลงานในฤดูกาลการหน้า ขนาด LVG เรายังให้โอกาสมาแล้วนี่นา (ฮาา)

สิ่งที่ทำให้แฟนบอลอสูรแดงพอใจมากขึ้นส่วนหนึ่งคงเป็นสไตล์การเล่นที่ทำเกมรุกมากกว่ายุคปรัชญาชาวดัตช์อย่างเห็นได้ชัด ทีมพยายามบุกแล้วแต่ทำโอกาสหายหกตกหล่นไปหมด ยิ่งเมื่อทีมขาดดาวซัลโวอันดับ 1 อย่าง เลอ ก็อด ไปความหวังก็ริบหรี่

จอมคนอหังกา ต้องทำให้ทีมพึ่งพาฝีเกือกจอมเก๋าสวีดิชให้น้อยลง ต้องมีคนฝากผีฝากไข้ในการถล่มประตูมากขึ้น ทีมต้องโหดระห่ำกระชากลากไส้มากกว่านี้เยอะ ทำอย่างไรให้ปีหน้าทีมทำประตูให้ได้มากกว่านี้ 30 ประตู! และในนี้มากับโจทย์ว่าไม่ควรเสียประตูมากขึ้นนัก


เมื่อเทียบกับ เดอะ จีเนียส กับ เดอะ ไฟโลโซเฟอร์ แล้ว เดอะ แฮปปี้วัน ยังดูเป็นตัวเลือกที่แฟนปีศาจแดงอย่างพวกเราอยากจะฝากความหวังไว้ต่อไป สู้ต่อไปนะมูมู่!

เยี่ยม


เกร็ด: เชื่อหรือไม่ว่า จอมโหด ฟูยักษ์ เฟลไลนี่ มีสถิติด้านระเบียบวินัยในสนามดีกว่าทั้ง อังเดร เอเรร่า และ เอริค ไบญี่ แถมยังได้ใบเหลืองน้อยกว่า พอล ป็อกบา อีกด้วยนะ โดยพี่น้อยและเสือไบ รับไปคนละ 2 ใบแดง ยิ่งพี่น้อยนี่กดไป 13 เหลือง ถือว่าเยอะที่สุด ส่วนดาวเตะเฟรนชแมนสะสมไป 10 ใบเหลือง  ส่วนพี่ขาโหดจากเบลเยี่ยมกดไป 9 เหลือง 1 แดง ใบแดง

ดาบิด เด เคอา แม้จะดูเหมือนโดนดร็อปเป็นสำรองของ โรเมโร่ บ่อยครั้งในฤดูกาลนี้ แต่เจ้าตัวก็ยังเป็นนักเตะที่ลงเล่นเยอะที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในทีม รองจาก..... ป็อกบา (นับเฉพาะตัวจริง) ตามด้วย เอเรร่า และ "บร๊ะเจ้า" สลาตัน



ก็จบไปแล้ว สำหรับพรีเมียร์ลีก 2016-2017 สำหรับปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากนี้ขอส่งกำลังใจให้เฮียเครียดคิดแผนอัจฉริยะ พาทีมเชือดยอดทีมเอเรดิวิซี่แล้วคว้าแชมป์ยุโรปเล็กมาให้แฟนปีศาจแดงได้ชื่นใจบ้าง พร้อมคว้าตั๋วไป UEFA Champions League

อนึ่ง. RIP แด่เหยื่อวินาศกรรมในเมืองแมนเชสเตอร์ ที่ แมนเชสเตอร์อารีน่า ซึ่งเท่าที่ทราบมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 รายและบาดเจ็บราวครึ่งร้อย ดอกไม้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่