ตอนนี้ต้องเรียกว่า ไปที่ไหนๆ ก็จะเห็นคำว่า ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เยอะเลย
ลักษณะเป็นแบบ Community-based Tourism(การท่องเที่ยวที่ใช้ชุมชนเป็นฐานในการบริหารจัดการ)
เป็นกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการ และสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งทรัพยากรการท่องเที่ยวในตัวเอง
โดยมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ในมาตรา 46 และมาตรา 56 ที่ได้กล่าวถึงการให้สิทธิชุมชนท้องถิ่นในการมีส่วนร่วมจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชน มีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นพึ่งตนเองและการตัดสินใจในกิจการท้องถิ่นตาม มาตรา 78 รวมทั้งกระแสการเรียกร้องของชุมชนท้องถิ่นท่ามกลางแนวคิดการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม
แต่ผมว่า ประเด็นที่สำตัญที่สุดคือ ตอนนี้สื่อ social มันถึงกันง่ายมาก ใครไปที่ไหน ประทับใจอะไร ก็เอามาpost กัน
ทำให้สถานที่หลายแห่ง ดังในชั่วข้ามคืน เช่น ปาย เชียงคาน สวนผึ้ง หมู่บ้านคีรีวง
คงก็แห่กันไปเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเทศกาล รถติดยาวเหยียด ผมว่าถ้าใครป่วยไข้ฉุกเฉินนี่ ทำใจได้เลย ไม่ใช่แค่นั้น ทั้งขยะล้น ปริมาณปั๊มน้ำมันที่ไม่พอหรือรอเติมนาน เสียงดัง เป็นต้น ปัญหามาเพียบเลย
ล่าสุด ผมไปปากประพัททลุงมา(ไม่ใช่ช่วงเทศกาล) นั่งคุยกันคนแถวนั้น คือต้องบอกว่าบูมมานานพอสมควร แต่คนก็ไม่ได้มามากมายนักช่วงเทศกาล
เหตุผล น่าจะเพราะ ที่พักไม่มากเกินไป(ถ้าใครเข้าไปดู ส่วนใหญ่ จะมีที่พัก 4-10+หลัง/เจ้าของ แถมมีไม่กี่เข้าที่ให้บริการที่พัก แต่ถ้าอนาคตเยอะขึ้นก็ไม่แน่)
ตอนนี้ ประเด็นเรื่องของส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ผมว่าก็สำคํญ แต่ที่สำคัญกว่าคือ การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากกว่า โดยเฉพาะช่วงเทศกาล
(ทรัพยากรมีจำกัด แต่คนดันเข้าไปได้ไม่จำกัด)
ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเมือง เวนิสในอิตาลี ที่เขียนข้อความประมาณว่า ไม่อยากให้นักท่องเที่ยวมา
การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพนี่แหละ พูดแล้วดูดี แต่จัดการก็ยากพอควร แค่จำกัดที่พัก คงไม่พอครับ
ในความเห็นของเพื่อนๆในนี้ คิดว่าทำอย่างไรดีครับ
สำหรับผม ช่วงเทศกาลอยู่บ้าน หรือเที่ยวใกล้ๆบ้าน ส่วนสถานที่เหล่านั้น ไปช่วงที่ไม่บูมครับ สบายใจทั้งคนและเงินครับ
เมื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บูม แล้วระเบิดเวลาก็ตามมา
ลักษณะเป็นแบบ Community-based Tourism(การท่องเที่ยวที่ใช้ชุมชนเป็นฐานในการบริหารจัดการ)
เป็นกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการ และสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งทรัพยากรการท่องเที่ยวในตัวเอง
โดยมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ในมาตรา 46 และมาตรา 56 ที่ได้กล่าวถึงการให้สิทธิชุมชนท้องถิ่นในการมีส่วนร่วมจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชน มีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นพึ่งตนเองและการตัดสินใจในกิจการท้องถิ่นตาม มาตรา 78 รวมทั้งกระแสการเรียกร้องของชุมชนท้องถิ่นท่ามกลางแนวคิดการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม
แต่ผมว่า ประเด็นที่สำตัญที่สุดคือ ตอนนี้สื่อ social มันถึงกันง่ายมาก ใครไปที่ไหน ประทับใจอะไร ก็เอามาpost กัน
ทำให้สถานที่หลายแห่ง ดังในชั่วข้ามคืน เช่น ปาย เชียงคาน สวนผึ้ง หมู่บ้านคีรีวง
คงก็แห่กันไปเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเทศกาล รถติดยาวเหยียด ผมว่าถ้าใครป่วยไข้ฉุกเฉินนี่ ทำใจได้เลย ไม่ใช่แค่นั้น ทั้งขยะล้น ปริมาณปั๊มน้ำมันที่ไม่พอหรือรอเติมนาน เสียงดัง เป็นต้น ปัญหามาเพียบเลย
ล่าสุด ผมไปปากประพัททลุงมา(ไม่ใช่ช่วงเทศกาล) นั่งคุยกันคนแถวนั้น คือต้องบอกว่าบูมมานานพอสมควร แต่คนก็ไม่ได้มามากมายนักช่วงเทศกาล
เหตุผล น่าจะเพราะ ที่พักไม่มากเกินไป(ถ้าใครเข้าไปดู ส่วนใหญ่ จะมีที่พัก 4-10+หลัง/เจ้าของ แถมมีไม่กี่เข้าที่ให้บริการที่พัก แต่ถ้าอนาคตเยอะขึ้นก็ไม่แน่)
ตอนนี้ ประเด็นเรื่องของส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ผมว่าก็สำคํญ แต่ที่สำคัญกว่าคือ การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากกว่า โดยเฉพาะช่วงเทศกาล
(ทรัพยากรมีจำกัด แต่คนดันเข้าไปได้ไม่จำกัด)
ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเมือง เวนิสในอิตาลี ที่เขียนข้อความประมาณว่า ไม่อยากให้นักท่องเที่ยวมา
การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพนี่แหละ พูดแล้วดูดี แต่จัดการก็ยากพอควร แค่จำกัดที่พัก คงไม่พอครับ
ในความเห็นของเพื่อนๆในนี้ คิดว่าทำอย่างไรดีครับ
สำหรับผม ช่วงเทศกาลอยู่บ้าน หรือเที่ยวใกล้ๆบ้าน ส่วนสถานที่เหล่านั้น ไปช่วงที่ไม่บูมครับ สบายใจทั้งคนและเงินครับ