ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม..มีแต่เสียง 22/5/2017 - ผลลัพธ์ของ "วจีกรรม"

กระทู้คำถาม

ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ

1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน  ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีครับอมยิ้ม17 สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้ผม MC WANG JIE (แอ๊ด) เข้าประจำการครับอมยิ้ม36

วันนี้ "มหาเก่า" ขอขึ้นธรรมาสน์อีกครั้ง โดยจะขอกล่าวถึง เรื่องของ "วจีกรรม"



วจีกรรม เป็น 1 ในกรรมสามอย่างที่พระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงไว้ ดังที่หลายๆท่านคงทราบกันดี ได้แก่ กายกรรม ๑ วจีกรรม ๑ มโนกรรม ๑

มีพระบาลีที่ตรัสไว้ว่า " กมฺมุนา วตฺตตี โลโก = สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม "

นั่นหมายความว่า กรรมทั้งสามชนิด ล้วนให้ผลได้ทั้งหมด จะช้าหรือเร็ว เท่านั้นเอง แต่ให้ผลแน่นอน ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว


กายกรรม นั้น ชัดเจน เป็นการกระทำที่คนมองเห็นกันได้ เช่น ตีรันฟันแทง เข่นฆ่ากัน กดขี่ข่มเหงกัน แกล้งกัน ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ฯลฯ

วจีกรรม นั้น เป็นกรรมที่เกี่ยวกับการใช้วาจา คือคำพูด ไม่ว่าจะพูดออกมาจากปากสดๆ หรือจะด้วยการสื่อสารอย่างในยุคปัจจุบันนี้ พิมพ์ข้อความต่างๆ ผ่านคอมพิวเตอร์ ไอแพด ไอโฟน สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ฯลฯ สารพัดบรรดามี เหล่านี้เป็นอุปกรณ์ (แปลว่า "เครื่องเข้าไปกระทำ") แห่งวจีกรรม ซึ่งจะบรรยายเรื่องนี้ในอีกสักครู่....

ส่วน มโนกรรม เป็นกรรมทางใจ ใช้ใจคิด แค่คิดเท่านั้น บางคน อาจเข้าใจผิดไปว่า แค่คิดเฉยๆ ไม่เห็นเป็นไรเลย, ขอบอกว่า "เป็นไร" สิครับ เป็นแน่แท้ทีเดียว โดยเฉพาะ ความคิด "อกุศล" จะเกิดผลได้แน่ๆ วันหลังจะเล่าให้ฟังครับว่า แม้แต่คิด ก็คิดไม่ได้ในบางเรื่อง ห้ามคิดเด็ดขาดทีเดียว!

เอาหละ ต่อไปนี้ มาว่ากันเรื่อง "วจีกรรม" โดยพิสดาร

อย่างที่บอกไว้ในตอนต้นนั้นว่า "วจีกรรม" คือ กรรมทางวาจา ทำด้วยการพูด หรือการเขียน การพิมพ์ จัดเข้าในวจีกรรมหมด

ถ้า วจีกรรมอันนั้น เป็นกรรมดี เป็นกุศลกรรม เป็นกรรมมีประโยชน์เกื้อกูล ก็จะให้ผลกรรมที่ดี ทั้งต่อผู้ที่รับวจีกรรมนั้น (ผู้รับสาสน์) และ ผู้กล่าววจีกรรม (ผู้ส่งสาสน์) นั้นด้วย

ตัวอย่างเช่น ในเทศกาลขึ้นปีใหม่ ชนทั้งหลาย มีการส่ง ส.ค.ส. ให้แก่กันและกัน เขียนคำอวยพรลงใบบัตร ส.ค.ส. หรือเดี๋ยวนี้ มี ส.ค.ส.ออนไลน์ ก็พิมพ์คำอวยพรต่างๆลงไป....

อันนี้ ขอแนะนำว่า "จงเขียน ด้วยตนเอง" ครับ อย่าไปใช้แบบที่เขาทำมาสำเร็จรูปคือพิมพ์ไว้แล้ว แล้วไปเลือกเอา อย่างนั้น "แรงกุศล" จะน้อย สู้เราคิดเอง กลั่นกรองออกมาจากสมองจากใจของเราเองไม่ได้ เพราะด้วยความตั้งใจที่เราอวยพรเองนั้น จะมี "พลังกุศล" เข้มข้นกว่าเป็นอันมาก เมื่อเราเขียนเองเสร็จ ส่งไปหาผู้รับ แค่ส่งไปเสร็จ เราก็สุขใจแล้ว และภูมิใจที่ได้เขียนเองด้วย, ส่วนทางฝ่ายผู้รับ เมื่อได้เห็นคำอวยพรนั้น ก็จะยิ่งปลาบปลื้มยินดีที่ได้เห็นคำอวยพรที่ผู้ส่งตั้งใจเขียนเอง นี้เป็นอานิสงส์เบื้องต้นเท่านั้น หากผู้ส่ง เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรม จะส่งผลตามที่ได้เขียนไปนั้นด้วย ไม่มากก็น้อยทีเดียว มิใช่เป็นแค่สักว่าส่งไปตามกาลสมัยนิยม

และถ้า วจีกรรมนั้น เป็นกรรมไม่ดี เป็นอกุศลกรรม ได้แก่ วาจาถ้อยคำ แช่ง ด่า (ผรุสวาจา) เสียดสี กระทบกระทั่ง ล้อเลียน ฯลฯ วาจาเหล่านี้ เป็นอกุศลวจีกรรม ใครทำ (คือพูด หรือส่งสาสน์) จะต้องรับผลกรรมนั้น มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่า คนที่ตนพูดด้วย หรือคนที่ตนส่งสาสน์มุ่งหมายถึงนั้น เป็นใคร ?

ถ้าบุคคลผู้รับสาสน์ รับวจีกรรม เป็นผู้ทรงศีล เป็นพระชั้นอริยบุคคล 1 ใน 4 (คือ พระอรหันต์,พระอนาคามี,พระสกทาคามี หรือพระโสดาบัน) เป็นผู้รับวจีกรรมอันเป็นอกุศล โทษหนักถึงหนักมาก บางกรณี ให้ผลทันตาเห็นทีเดียว !!!

ตัวอย่างเช่น สมัยหนึ่งในชมพูทวีป (กิอินเดียนั่นแหละครับ แต่อินเดียสมัยก่อนกว้างใหญ่ไพศาลมากกว่าปัจจุบัน) ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดม (คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่เราทั้งหลายเคารพกราบไหว้บูชากันอยู่นี้) มีหญิงคนหนึ่ง ชื่อว่า นางขุชชุตตรา เป็นหญิงผู้ที่ได้บรรลุโสดาบัน แต่ในอดีตกาลชาติปางก่อน นางเกิดเป็นหญิงผู้อุปัฏฐากคนหนึ่ง และนางเคยทำ "วจีกรรม" ครั้งหนึ่ง กับพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้มีสรีระร่างกายค่อม เวลาท่านเดินไปไหน ท่านก็จะเดินหลังค่อม ค่อยๆก้าวย่างเดินไปช้าๆ

นางอุปัฏฐายิกาคนนั้น ห่มผ้ากัมพล (ผ้าขนสัตว์) ถือขันทองคำ แสร้งทำเป็นคนค่อม ล้อเลียนท่านพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้น และยังล้อเลียนเพิ่มอีก ด้วยการแสดงอาการเดินเที่ยวไปแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ด้วยคำพูดว่า "พระปัจเจกพุทธเจ้าของพวกเรานะ เดินเที่ยวไปแบบนี้ แบบนี้จ้ะ"

ผลแห่งวจีกรรม บวกกับกายกรรมด้วย ของนาง ทำให้นางมาเกิดใหม่ เกิดเป็นหญิงค่อม ก็คือ นางขุชชุตตราผู้เป็นโสดาบันผู้นี้ ซึ่งชื่อ "ขุชชุตตรา" นี้ แปลว่า "นางค่อม" และเพราะเกิดเป็นหญิงค่อม เวลานางเดินไปไหน ก็ต้องก้ม เดินหลังค่อมไปอย่างนั้น แบบที่นางเคยล้อเลียนพระปัจเจกพุทธเจ้าในชาติก่อน !!!

อีกตัวอย่างหนึ่ง ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ในอดีตกาล  กุฎุมพีชาวบ้านคนหนึ่ง  สร้างวิหารถวายแก่พระเถระรูปหนึ่งแล้ว บำรุงท่านผู้อยู่ในวิหารนั้นด้วยปัจจัย ๔ เป็นอย่างดี พระเถระก็ได้ฉันภัตตาหารในเรือนของกุฎุมพีนั้นเป็นนิจ ต่อมา พระขีณาสพ (พระอรหันต์) รูปหนึ่ง เที่ยวบิณฑบาตมาถึงประตูเรือนของกุฎุมพีนั้น กุฎุมพีเห็นท่านก็เลื่อมใสในอิริยาบถของท่าน  จึงนิมนต์ให้เข้าไปสู่เรือน อังคาส (ถวายอาหารเลี้ยง) ด้วยโภชนะอันประณีตโดยเคารพ ถวายผ้าสาฎกผืนใหญ่ เรียนว่า "ท่านผู้เจริญ ท่านพึงย้อมผ้าสาฎกนี้นุ่งเถิด" แล้วก็เรียนอีกว่า "ท่านผู้เจริญ ผมของท่านยาวแล้ว กระผมจักนำช่างกัลบก (ช่างตัดผม) มาเพื่อปลงผมท่าน,จักให้คนจัดเตียงมาสำหรับจำวัด "  

ภิกษุกุลุปกะ (ผู้เข้าไปรับการถวายทานเป็นประจำ) ผู้ฉันอยู่ในเรือนเป็นนิจ เห็นสักการะของพระขีณาสพนั้น  ก็เกิดอิจฉา คิดว่า "กุฎุมพีนี้  ทำสักการะนั้นถวายให้ถึงขนาดนี้แก่ภิกษุผู้ที่ตนเพิ่งเห็นแค่ครู่เดียว, แต่ไม่ทำให้เราผู้ฉันอยู่ในเรือนเป็นนิจ  ดังนี้แล้ว ได้ไปสู่วิหาร, ฝ่ายพระขีณาสพ ก็ไปกับภิกษุนั้นนั่นแหละ ย้อมผ้าสาฎกที่กุฎุมพีถวายนุ่ง, กุฎุมพี พาช่างกัลบกไปให้ปลงผมของพระเถระ ให้คนตั้งเตียงไว้แล้วเรียนว่า "ท่านผู้เจริญ  ขอท่านจงนอนบนเตียงนี้เถิดครับ" และนิมนต์พระเถระทั้ง ๒ รูป  เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้แล้วก็เดินจากไป

ภิกษุเจ้าถิ่น อิจฉาตาร้อนจนไม่อาจอดกลั้นสักการะที่กุฎุมพีทำแก่พระขีณาสพนั้นได้ ครั้นเวลาเย็น จึงไปสู่ที่ ๆ พระเถระนั้นนอน แล้วด่าท่าน ด้วยวาจา 4 ประการ ว่า "ท่านพระอาคันตุกะ  ท่านไปเคี้ยวกินอุจจาระเสียเถิด ประเสริฐกว่าการฉันภัตตาหารในเรือนของกุฎุมพี!!!,  ท่านให้เขาถอนเส้นผมด้วยแปรงตาลเสียเถิด ประเสริฐกว่าการปลงผมด้วยช่างกัลบกที่กุฎุมพีนำมา!!!, ท่านเปลือยกายเที่ยวไปเถิด ประเสริฐกว่าการนุ่งผ้าสาฎกที่กุฎุมพีถวาย!!!, ท่านนอนบนแผ่นดินเถิด ประเสริฐกว่าการนอนบนเตียง ที่กุฎุมพีเขานำมา !!!"  

ฝ่ายพระเถระ คิดว่า "คนพาลนี้ อย่า SHIP-หายเพราะอาศัยเราเลย"  แล้วจึงไม่สนใจการนิมนต์ ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ แล้วเดินจากไปตามความสบาย

ผลแห่งวจีกรรมนั้น ทำให้พระรูปนั้น ตกนรกชั้นอเวจีซึ่งเป็นขุมลึกสุดเนิ่นนานถึง 1 พุทธันดร (1 สมัยที่จะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นได้ในโลก) แล้วมาเกิดใหม่ เป็นอาชีวก นักบวชเปลือย เคี้ยวกินอุจจาระตัวเองไม่ยอมกินข้าวปลาอาหารอื่น หยิบเมล็ดตาลสองเมล็ดคีบถอนเส้นผมตัวเอง เปลือยกายตลอดเวลา และนอนบนแผ่นดิน ครบทุกอย่าง ที่เคยด่าพระขีณาสพองค์นั้น ทุกประการ !!!

นี่แหละ คือ ตัวอย่าง อุทาหรณ์ ของคนผู้ทำวจีกรรมฝ่ายอกุศล กล่าวคำหยาบคาย คำด่า คำล้อเลียนผู้ทรงศีล ผู้ตั้งอยู่ในธรรม

และแม้ว่า ผู้ที่รับวจีกรรม จะไม่ใช่พระสงฆ์ ไม่เป็นสมณะ เป็นปุถุชนคนธรรมดา แต่เป็นคนที่ควรเคารพ เช่น บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ หากผู้ใด พลั้งเผลอ ปล่อยวจีกรรมอันเป็นอกุศล ไปด่าท่าน โจมตีท่าน ล้อเลียนท่าน ด้วยถ้อยคำเช่นใด ก็ขอให้พึงระวัง ผลกรรมนั้น เช่นเดียวกัน

บุญกุศล อันเกิดมีในพระศาสนานี้ มีผลแรงกล้า ฉันใด

บาปอกุศล อันเกิดมี ด้วยความประมาทก็ดี ด้วยตั้งใจก็ดี จะมีผลแรงกล้า และเผ็ดร้อน ฉันนั้น

ดังนั้น อย่าได้เผลอพลั้งปาก ด่าพ่อแม่ ด่าครูบาอาจารย์ แม้ล้อเลียน ก็ไม่สมควร

และหากได้พลั้งเผลอไป สิ่งที่สมควรทำ คือการขอขมา ตราบใดที่ยังไม่ขอขมาท่าน ผลแห่งวจีกรรมนั้น จะติดตามตนไป ดังเงาที่ติดตามตัว ครั้นขอขมาแล้ว ท่านยกโทษให้แล้ว จึงจะพ้นจากวจีกรรมนั้น


ฉะนั้น ขอให้ทุกท่าน จงประกอบแต่วจีกรรมอันเป็นกุศล หลีกเลี่ยงวจีกรรมที่เป็นอกุศล ต่อปูชนียบุคคล ต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ และต่อกัลยาณมิตรของกันและกัน เพื่อความสุขสวัสดีจะมีโดยทั่วกันครับ




ส่งท้าย ด้วยวีดิโอ เกี่ยวกับเรื่องวาจา ลองเปิดดูเปิดฟังกันนะครับ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ขอบคุณ ภาพประกอบจาก กูเกิ้ลภาพ และ เพลงจาก ยูทูป ครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


และต่อแต่นี้เป็นต้นไป เชิญทุกท่าน เข้าสู่มิติแห่งการแลกเปลี่ยนเสียงเพลงแก่กันและกัน ตามอัธยาศัยได้เลยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 14
สวัสดีค่ะ MC พี่แอ๊ดและเพื่อนๆ

สาธุ สาธุ กับเรื่องราวดีๆ ที่พี่แอ๊ดนำมาบอกเล่า

เคยอ่านเจอว่า วจีกรรม เป็นอกุศลกรรมที่ทำได้ง่าย แต่ส่งผลเป็นกรรมหนักแก่ผู้กระทำ

ในมงคลชีวิตมีข้อหนึ่งกล่าวถึง "วาจาสุภาษิต" ด้วยค่ะ

มงคลชีวิตข้อที่ 10 มีวาจาสุภาษิต

https://www.youtube.com/watch?v=LvvoDSJp8TQ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


ปลามีชีวิตยืนยาวอยู่ได้ก็เพราะอาศัยปากแต่ก็ทำให้ติดเบ็ดเสียชีวิตโดยง่าย
วาจาทำให้คนเราประสบความสำเร็จแต่บางครั้งแม้แต่ชีวิตก็ยากจะรักษาไว้ได้

วาจาสุภาษิต คือคำพูดที่กลั่นกรอง ด้วยใจที่ผ่องใส ไม่ใช่สักแต่พูด เป็นประโยชน์ทั้งผู้พูดผู้ฟัง มีลักษณะดังนี้
เป็นคำจริง คำสุภาพกลั่นออกมาจากน้ำใจที่บริสุทธิ์ พูดแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ พูดด้วยจิตเมตตา พูดถูกกาลเทศะ พูดถูกสถานที่

คนฉลาดไม่ใช่แต่พูดเป็น แต่ต้องนิ่งเป็นด้วย คนที่พูดเป็นต้องรู้สิ่งที่ไม่ควรพูดให้มากกว่าสิ่งที่ควรพูด

ลักษณะทูตที่ดี
ยอมรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น เมื่อถึงคราวพูดก็ทำให้ผู้อื่นฟัง กำหนดขอบเขตการพูดให้กะทัดรัด จำเนื้อความได้ เข้าใจเนื้อความ
ทำให้ผู้อื่นเข้าใจตามได้ ฉลาดในการพูดที่เป็นประโยชน์ ไม่พูดนำไปสู่กันทะเลาะวิวาท

คนที่มีวาจาสุภาษิตข้ามภาพข้ามชาติ จะมีน้ำเสียงไพเราะอ่อนหวาน เสนาะโสต ซึ้ง ไม่แตกไม่พร่า มีกังวาล

อานิสงส์
มีเสน่ห์ มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกทางธรรม มีวาจาสิทธิ์ ได้ยินได้ฟังแต่สิ่งที่ดีงาม ไม่ตกในอบายภูมิ

"วาจาสุภาษิตไม่ว่าจะพูดด้วยภาษาใดก็ตามล้วนเป็นที่สรรเสริญของบัณฑิต"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่