เป็นโรคไม่เคยยอมรับสภาพภายนอกตัวเองได้สักทีแล้วเกลียดตัวเองมากครับ นับวันสภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงไปมาก เหมือนคนบ้าขึ้นทุกวัน

สวัสดีครับ มีเรื่องอยากจะระบายครับ อาจจะเรียบเรียงไม่กระชับต้องอภัยอย่างสูงจริงๆครับ
ผมอายุ 19 ปีครับ เข้าเรื่องเลยคือเป็นผู้ชายที่หน้าตาธรรมดาครับ แต่(ุคิดว่า)ดูตลกในสายตาคนบางคนครับ ภายนอกดูไม่ค่อยมีอะไรดีสักเท่าไหร่ ผมสูงไม่ถึง 169 (ขอไม่เอ่ยส่วนสูงตัวเองนะครับ) ตัวผอมมีกล้ามแค่นิดเดียวแต่ไม่กระดูกนะ ผมมีน้ำหนักประมาณ 50 กก. ครับ ดูรวมๆก็ตัวเล็ก แถมหัวดูใหญ่กว่าที่ส่วนสูงจะเป็น หน้าบานโหนกใหญ่อีกต่างหาก หน้าสั้นเหลี่ยม ผมใส่แว่นด้วยนะครับ ปัจจุบันก็มีสิวไม่มาก แต่รวมๆแล้วแก่เกินวัยครับ ดั้งตรงหว่างคิ้วหักเพราะใส่แว่นมานานตั้งแต่เด็กๆด้วยแหละมั้ง.... แต่ละอย่างที่ผมกล่าวมาสำหรับผมนี่น่าน้อยใจตัวเองมากครับ ต่อให้ใครมาบอกหรือปลอบตัวเองว่าเกิดมาครบ 32 ก็เหอะ แต่นอกจากความรู้สึกที่น้อยใจแล้ว รู้สึกแย่มากกว่านี้ก็คือสิ่งที่ผมเจอที่จะเล่าต่อไปนี้นี่แหละครับ....

ย้อนกลับไปช่วงเรียนหนังสือสิ่งที่ผมต้องเจอคือเพื่อนๆชอบพูดจาข่มผมมั่ง อยากใช้กำลังกับผมมั่ง นินทามั่ง หัวเราะเยาะผมมั่ง ซึ่งผมไม่ชอบ แล้วเจอมากกว่าคนอื่นในกลุ่มเพื่อนหรือในห้องด้วย น่าน้อยใจไหมหล่ะครับ.. มันทั้งรู้สึกเจ็บใจ แค้นใจ เราก็ทำอะไรไม่ได้ ใช้กำลังก็สู้เขาไม่ได้ (แต่ผมไม่ใช้นะ 555+ ไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน) เจ็บใจที่เป็นคนที่น่าข่มในสายตาคนอื่น เจ็บใจที่เป็นเหมือนหมาหัวเน่าที่จ้องจะหัวเราะเยาะ ฯลฯ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เด็กใส่แว่นจะถูกกลั่นแกล้งกันในสังคมวัยเรียนอ่ะนะครับ ถามว่าแบบนี้เกิดขึ้นตอนไหนกับผม..... ผมเจอแบบนี้ตั้งแต่เรียนอนุบาลไปจนถึงจบ ม.6 เรียกว่าเป็นสิ่งที่ผมเจอจนหลอกหลอนชีวิตผม คือ...คนดูถูกอะ เห็นผมเป็นคนที่น่าใช้กำลังอะ น่าล้อเล่นมากกว่าคนอื่น (ย้ำว่ามากกว่าคนอื่นๆ) อะ!! คำที่ผมเจ็บปวดที่สุดในชีวิตคือ "ไอ้เด็กเอ๋อ" ยอมรับว่าตอนนั้นเหมือนผมดูเอ๋อจริงๆนะ มาคิดตอนนี้แล้วมันเจ็บใจตัวเองมาก ผมเลยกล้าประเมินตัวเองได้เลยว่าภายนอกผมจนถึงตอนนี้นี่มันเหมือนเด็กเอ๋อจริงๆซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเป็น แต่ภายนอกมันให้อะ มันให้!! ผมเกลียดตัวเองในสภาพแบบนี้มาก เพราะสังคมที่ผมเจอมันตอกย้ำผม ผมกลายเป็นหมาหัวเน่าไปเลย เจอแต่คนนินทาให้ผมรู้ตัวแทบทุกวันจนเจ็บปวด (แถมคนที่นินทาคือรุ่นน้องที่ผมไม่รู้จักด้วย) คุณดูดิ คนที่ผมไม่รู้จักเขายังกล้านินทาผมให้ผมรู้ตัวได้เลยอะ น่าภูมิใจไหมหล่ะครับ... อีกอย่างที่ฝังใจอย่างหนึงคือมีคนบอกว่าหน้าผมเหมือนกับนักร้องชื่อดังคนหนึงซึ่งใส่แว่นเหมือนกัน ผมขออนุญาติไม่เอ่ยนาม เป็นนักร้องบ้านเรานี่แหละ ผมไม่ชอบเขานะ เพลงเขาก็ไม่ได้ชอบ... ตอกย้ำกันเหลือเกินครับ... ทำให้ผมเริ่มกลายเป็นคนไม่มีความมั่นใจถึงขีดสุดถึง 3 ปีกว่าๆ ส่วนตัวนักร้องคนนี้ผมไม่ได่ชื่นชอบครับและไม่ได้อยากหน้าเหมือนเลยด้วย ถ้านึกออกก็ขอให้เก็บไว้ในใจนะครับ ไม่ต้องมาทายเล่นในแสดงความคิดเห็นนะครับ อันนี้ผมขอ

ขอบอกด้วยนะครับว่าส่วนตัวผมเป็นคนชอบเอาคำพูดอื่นมาคิดจนฝังใจเป็นนิสัยที่ติดไปแล้วจริงๆครับ แก้ไม่หายสักที แล้วผมก็ยอมเอามามีผลกับชีวิตผมด้วย แล้วมันเพราะอะไร... เพราะผมก็ยังเป็นผมอยู่วันยังค่ำอะ เปลี่ยนอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง เป็นคนอื่นก็ไม่ได้ น่าเจ็บใจมาก เพราะมันคือตัวเราเองอะครับ ตัวเราที่ทิ้งร่องรอยความเป็นตัวเราและผลที่ได้จากการที่ตัวของตัวเราอะ
เลิกใส่แว่นก็ไม่ได้เพราะสายตายาวมาตั้งแต่เด็กๆ พ่อไม่สูง แม่ตัวเล็กครับ จะให้guโทษพ่อโทษแม่guอย่างงั้นหรือไง ? การดูถูกมันสนุกปากสำหรับคนพูด แต่ไม่คิดถึงคนที่ได้ยินมั่งเลย คนบางคนแค่อยู่กับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบก็แย่อยู่แล้ว ต้องมามีคนตอกย้ำแบบนี้.... ผมเบื่อมาก ได้ยินไหม

รู้สึกเกลียดตัวมากครับ ไม่ชอบขี้หน้าเ_ยๆของตัวเองเลย ยอมรับตัวเองไม่ได้ มองกระจกบางทีก็โมโห เครียด อยากตะโกน ร้องโวยวายเหมือนคนบ้าข้างถนนผสมกับคนโดนของขึ้น (ลองนึกภาพตามได้) ทุบหัวตัวเอง กัดลิ้นตัวเองพร้อมโวยวายลั่นบ้าน อยากทำลายข้าวของในบ้าน คำพูดการกระทำที่เราพบเจอมันเข้าสิงมาในหัวให้คิด มันคิดเพราะอะไร... เพราะด้วยไอ้ความรู้สึกที่ว่าตัวเรามันยังทิ้งร่องรอยความเป็นเราอยู่อะ ความเป็นเราที่แบบ... มันน่าข่มเหง รังแก ดูถูก เยาะเย้ยในอดีต ติด/อยู่แบบนี้ครับ ความรู้สึกมันเจ็บใจกับอดีตมากซึ่งอย่าง ความรู้สึกมันแบบสิ่งที่เขาพูดมันคือตัวเรา ตัวเรา ตัวเราอะ!! ตัวเราที่ทิ้งร่องรอยความเป็นอดีตที่ตัวเองพบเจอแล้วแ_งเปลี่ยนแปลงเ_ยไรไม่ได้อะ! แย่ไปกว่านั้นผมดูโทรม หน้าแก่เร็วมาก ด้วยความเครียดที่หยุดยั้งไม่ได้ เรียกซ้ำเติมกันถึงขีดสุด ทำให้นอนไม่หลับก็ซ้ำเติมกับสุขภาพตัวเองด้วย...  กรรมเก่าอะไรของผมนะที่ผมเป็นแบบนี้ จะมาพิสูจน์อะไรกับชีวิตผมยาวนานขนาดนี้
นับวันยิ่งขาดความเชื่อมั่นในตัวเองกับบางเรื่อง ไม่ค่อยกล้าเข้าสังคม ไม่มีกำลังใจที่จะทำอะไรกับบางเรื่องในชีวิตเลย อยากเป็นคนบ้าในบ้านทุกวัน อยากใช้เงินซื้อทำอะไรฟุ่มเฟือยขึ้นทุกวันเพื่อมาต่อเติมความสุข (ชั่วคราว) อยากโวยวายแล้วอยากจะหนีพ่อแม่ไปอยู่คนเดียวสักที่

มันอยากทำตัวเลวๆให้ถึงที่สุดครับ อยากเป็นคนใช้กำลังเก่งๆเอาชนะความแค้นได้ให้มันสำเร็จสักที พอเรื่องพวกนี้รอยขึ้นมาให้หัวทีไรอยากจะล้างแค้นทุกคนให้ถึงที่สุด บีบคั้นอารมณ์โกรธออกมาจนหยุดไม่ได้ ทำร้ายข้าวของที่บ้าน ความรู้สึกอยากเอาคืนจากความอ่อนแอที่ตัวเองเคยมีมันครอบงำจนหยุดไม่ได้แล้ว

ผมประเมินตัวเองได้เลยว่าผมเริ่มเป็นคนบ้าได้แล้วนะ แต่มันหยุดยากขึ้นทุกทีแล้วครับ เสียใจกับตัวเอง เครียดแค้นกับตัวเองมาก
ตอนนี้ผมก็ไม่ต่างไรจากคนบ้ามาตั้งกระทู้ในพันทิพย์จริงๆครับ ด้วยคำพูดที่กระแทก-ดัน มีคำหยาบคายแฝงอยู่ผมขออภัยอย่างสูงครับ... เนื่องจากผมเล่าด้วยความรู้สีกจริงมากไปหน่อย
เอาไงต่อไปดีครับชีวิตผม ? โชคดีหรือโชคร้ายนะที่ผมไม่ฆ่าตัวตาย แต่ยอมรับว่ายังไม่อยากตายครับ สับสนว่าตัวเองรักชีวิตตัวเองจริงๆหรือเปล่าวะเนี่ย แต่เป็นอย่างงี้ก็มีแต่ประคองตัวเองไม่ได้ทุกวันๆแล้วสะสมไปเรื่อยๆ ชาติที่แล้วผมต้องทำบาปมามากแน่ๆ ผมยังเชิ่อในเรื่องเวรกรรมที่เกี่ยวกับชาติเกิดอยู่นะครับ แล้วก็อาจจะเป็นแบบนั้นจริง อยากหาโอกาสทำบุญบ่อยๆเหมือนกัน

กลัวหาแฟนไม่ได้ด้วยครับ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีแฟนเลย เพราะขาดความมั่นใจและเพราะสภาพที่ผมเป็นด้วย ไม่กล้าจีบใครหรอกครับ ถูกปฏิเสธแน่นอนแบบไม่ต้องสงสัย ถามว่าหน้าตาแบบผมตรงสเป็กผู้หญิงทั่วๆไปไหม ตอบตรงๆเลยว่าเปอร์เซ็นต์และโอกาสน้อยมากครับ ถ้าบวกกับความสูงรูปร่างของผมไปด้วยก็ไม่มีเปอร์เซนต์เหลือแล้วหล่ะครับ เป็นคนที่ใส่แว่นแล้วไม่ช่วยอะไรเลยครับ สรุปคือผมหาแฟนยากครับ อันนี้ก็คิดมากอีกเรื่องหนึง

ที่ผมพูดมาต้องเป็นคนที่แบบ... มีหัวอกเดียวกันเหมือนผมจริงๆนะถึงจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งจริงๆถึงความรู้สึกแบบนี้ ซึ่งมีน้อยคนนักครับ บางท่านที่ได้อ่านอาจจะไม่เข้าถึงความรู้สึกแบบนี้ก็ได้เพราะอาจจะไกลตัวท่านหรือไม่เคยประสบเป็นชีวิตจิตใจ

ยังดีอยู่เล็กน้อยครับที่ผมกิจกรรมที่จะทำให้ผมปิดสวิทช์ลูปความคิดนี้ได้ดีที่สุดตอนนี้คือการ "ฟังเพลง" ครับ เป็นคนชอบฟังเพลงมากครับ ส่วนตัวก็เล่นดนตรีก็กีต้าร์ครับ แต่ไม่ค่อยได้เล่นแล้ว ชอบฟังเพลงมากกว่า แต่ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดหรอกครับ เพราะผมจะฟังมันไปตลอดเวลาไม่ได้จริงๆ พอไม่ได้ฟังมันจะมีช่องว่างครับ หรือถ้าทำกิจกรรมอะไรที่ไม่ได้ฟังเพลงนี่มีโอกาสเปิดช่องว่างกับผมได้เหมือนกัน ผมถึงได้บอกตอนขึ้นต้นครับว่า "ยังดีอยู่เล็กน้อย" เท่านั้นจริงๆ ใช้เป็นเครื่องผ่อนคลายได้แค่บางเวลาครับผม

ผมเชื่อเลยว่าจะต้องมีคนอ่านแล้วคิดแล้วค้านไว้ในใจเลยครับ ประมาณว่า "เรื่องแบบนี้เล็กนิดเดียว" "ปัญหาเด็กๆ" "อ่านแล้วขำอะ" "ข้ออ้างคนขี้แพ้..." "เมคขึ้นมาป่าวเนี่ย ?" "คนที่เขาไม่มีอะไรจะกินเขาลำบากกว่าคุณอีกนะ" "แค่นี้ก็เอามาปวดหัวและ...ปัญญาอ่อน..." ฯลฯ
ผมไม่ซีเรียสครับ เพราะอาจจะจริงอย่างที่คุณคิด มันก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล โอเค...ผมเข้าใจครับ ประเมินมาแล้วมันก็เหมือนปัญหาเด็กอย่างหนึงจริงๆ เหมือนเรื่องแต่งขึ้นมาจริงๆ เหมือนปัญหาธรรมดามากๆอย่างหนึงในมุมมองของผู้ใหญ่จริงๆ แต่เพราะผมเจอมานานจนเอีอมระอากับชีวิตมาก เอาจริงๆรู้สึกสมเพศตัวเองไม่ใช่น้อยครับที่มาบอกให้คนรับรู้ว่าผมท้อผมล้มเพราะปัญหาเล็กๆในสายตาของคนส่วนใหญ่ แต่ผมเจอมาบ่อยจนล้าแล้วนะ โดนซ้ำเติมชีวิตจนเหนื่อยใจ จนมองเห็นตัวเองชัดเจนจากสิ่งที่คนบางคนสนองต่อเรา ไม่กล้าเป็นคนที่หลงตัวเองว่าตัวเองดูดีเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีกำลังใจจะใช้ชีวิตสนุกๆเหมือนคนปกติ พยายามหลอกตัวเองหามุมดูดีที่ตัวเองมีก็กลบเกลื่อนได้ไม่สุดครับ ยังไงมุมที่เราไม่ชอบมันก็อยู่เราอยู่ดี ถ้าผมไม่ต้องเข้าสังคมได้ก็อาจจะดีครับ แต่ความจริงมันไม่ใช่ไง แค่ไปเรียน ไปทำงานก็ออกนอกบ้านไปเจอสังคมแล้ว เราต้องแบกสังขารที่ตัวเองไม่เชื่อมั่นไปด้วย..  สังคมที่ผมเจอที่ผ่านมาผมเบื่อมากครับ แต่มันก็หนีไม่พ้น ตอนนี้ผมเรียนจบ ม.6 แล้วครับ จะขึ้นมหาวิทยาลัยอีกประมาณ 3 ก็จะต้องรับมือดกับสังคมแบบที่ผมเคยเจออีกนานแค่ไหนผมก็ไม่ชินครับ มันหลอกหลอนความรู้สึกผมไปหมดกับร่องรอยความเป็นตัวผมที่เจอ ถ้าต้องเจออีกก็จะหลอกหลอนชีวิตผมอีก ซ้ำเติมชีวิตผมอีก ผมกลัวเสียงานและเสียคนเพราะความจิตตกของตัวเองหมดชีวิตแน่... ผมทำยังไงดีครับกับตัวเอง... แล้วความคุมสติไม่ได้ที่ผมมีอยู่จะทำลายคนรอบข้างนักขึ้นสักวัน ผมมีความคิดอยากฆ่าคนสูงขึ่นเรื่อยๆ อยากหนีออกไปไกลๆจากพ่อแม่ ใจหนึ่งไม่อยากอยู่ด้วยกัน ใจหนึ่งสงสารพวกท่าน ผม โดนสิ่งเหล่านั้นครอบงำผมจนการมองโลกในแง่ดีเป็นคำที่ดูไร้ค่าไปแล้วครับ เป็นเวรกรรมเก่าของผมเอง ที่ต้องมาเจอแบบนี้ ผมดีใจและเสียใจมากที่เกิดมา... เกิดมาดูไม่มีอะไรดีเลย

กระทู้นี้ท่านที่เข้ามาอ่านอาจจะเริ่มสงสัยว่า ขอคำแนะนำ ช่วยเหลือหรือเปล่า ? หรือเล่าให้ฟัง ?
ตอบว่าทั้งสองอย่างครับ เหตุผลที่เอามาเล่าคือมันสะท้อนสังคมในมุมหนึงของสังคมวัยเรียนหน่ะครับ... ส่วนมันสะท้อนยังไงเดี๋ยวผมมาบอกทีหลังนะครับ ตอนนี้ตาลายแล้ว

จริงๆเรื่องละเอียดกว่านี้ครับ แต่เอาไว้แค่นี้แล้วกัน ผมเริ่มตาลายแล้วก็เรียบเรียงเรื่องราวไม่ถูกละ แล้วเดี๋ยวจะยืดยาวไปกว่านี้ แค่นี้ก็เยอะมากแล้วครับ
ขอบคุณที่สละเวลาอ่านจนจบมากครับ
*มีคำหยาบคายและถ้อยคำที่กระแทกอารมณ์ ขออภัยอีกครั้งครับ อนุญาติให้แจ้งลบได้หากไม่เหมาะสม ผมยินดีครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่