MyJapanLife ไดอารี่บทที่4 ทำงานพาร์ทไทม์(ไบท์)ในญี่ปุ่น กับประสบการณ์ดีๆที่ไม่รู้ลืม!! (หน้าแตกอย่างเยอะ5555)

สวัสดีค้าบบบ ผมปาร์ค กลับมาอีกแล้วน้าา สำหรับกระทู้ที่ 4 !!!! จะว่าไปถ้าพูดเรื่องการมาเรียนต่อหรือมาใช้ชีวิตในญี่ปุ่น สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคืองานพาร์ทไทม์เนอะ ซึ่งคนญี่ปุ่นจะเรียกการทำงานแบบนี้ว่า "งานอะรุไบโตะ" หรือเรียกสั้นๆว่า "ไบท์" ซึ่งมาจากภาษาเยอรมันว่า Arbeit แล้วเขาก็เอามาใช้เป็นทับศัพท์เอา (การทับศัพท์ก็สไตล์ญี่ปุ่นอ่ะ พี่เพิ่มเสียง โตะๆ รุๆ ตามสไตล์" 555555) ซึ่งนักเรียนญี่ปุ่นส่วนใหญ่พอขึ้น ม.ปลาย ก็จะเริ่มอยากมีเงินของตัวเองใช้ บวกกับญี่ปุ่นค่อนข้างเปิดรับการทำไบท์ของนักเรียน ทำให้นักเรียนโดยส่วนใหญ่ทำงานไบท์กันเยอะมากกกกกกก แล้วก็นอกจากนี้สังคมเขาไม่มองคนที่ทำไบท์เป็นคนจน นอกจากนี้การไปสมัครงานเขาก็จะดูว่าเราเคยทำอะไรมาก่อนมากกว่าผลการเรียน ผมว่าค่านิยมนี้ดีนะ ส่งเสริมให้รู้จักทำงานหาเงิน แล้วจากประสบการณ์ตรงของผมเลยก็คือ ตอนเรียนญี่ปุ่นเขาชอบให้มีแนะนำตัวเอง พอเราบอกว่าเราเคยทำไบท์มา เขาก็จะให้ความสนใจมากกว่าบอกว่าเราจบจากมหาลัยไหนมา
     ซึ่งงานไบท์เนี่ย ก็มี หลายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย รูปแบบมากไม่ว่าจะเป็นใช้แรงงาน เช่น ทำในโรงงานทำขนมปัง ตามห้าง หรือร้านอาหาร หรือแม้กระทั่ง เป็นงานที่ใช้ความรู้เช่นสอนภาษา โดยการจะหาไบท์เนี่ยมีหลายช่องทาง คือตามร้านสะดวกซื้อหรือห้างต่างๆ จะมีหนังสือรวมร้านที่ประกาศรับสมัครคนทำไบท์อยู่ หน้าตาจะเป็นประมาณนี้

     เนื้อหาจะมีประกาศรับสมัครเยอะมากกกกกกกกกกกก แต่สำหรับผม ผมหาจากอีกที่นึงคือใช้แอฟของไลน์ ชื่อว่า ไลน์ไบโตะ

     อันนี้ผมว่าสะดวกกว่า คือเรากรอกสถานที่แถวๆ ที่เราอยู่ไป สามารถเลือกได้ด้วยว่าอยากทำงานประเภทไหน พอกรอกเสร็จมันก็จะรันมาให้เลยว่ามีที่ไหนเปิดรับสมัครบ้าง พอเราเลือกได้เสร็จก็มีให้เลือกสองอย่าง คือหนึ่งสมัครออนไลน์แล้วรอเขาติดต่อมา และสองคือโทรไปติดต่อโดยตรงเลย สำหรับตัวผมว่าวิธีที่สองเวิร์ค เพราะมันไม่ต้องรอว่าเมื่อไหร่เขาจะติดต่อกลับมา ได้คุย ได้บอกเลยว่าเราเป็นคนต่างชาตินะ แล้วภาษาเราได้ประมาณไหน ประมาณนี้ แล้วหลังจากติดต่อเสร็จ เขาก็จะนัดว่าสัมภาษณ์เรามา โดยวันสัมภาษณ์นี่แหละสำคัญ เพราะว่าเขาจะดูสกิลการพูดของเรา แล้วเป็นวันที่เราทำอะไรหน้าแตกเยอะสุด (สำหรับผมนะ5555) แต่ในความคิดผมผมว่าการที่เราทำอะไรผิดพลาดไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจมากนะ ดีซะอีกเอาไว้ไปเม้ากับเพื่อนทีหลัง แต่เพียงว่าถ้าทำผิด ก็ให้จำ แล้วอย่าทำอีกในครั้งหน้าก็เป็นพอ
     เอกสารที่ต้องเตรียมไปสัมภาษณ์หลักๆ คือ บัตรประจำตัว (ไซริวการ์ด) แล้วก็ ริเรขิโฉะ (履歴書) หรือก็คือเรซูเม่นั่นเอง! คือตอนผมสมัครงานครั้งแรกสุด เมื่อปีที่แล้ว ตื่นเต้นมากๆๆๆๆๆๆ คือเสียงนี่สั่นไปหมด จำได้เลย ทั้งๆที่เปิดแอร์แต่เสียงนี่สั่นเลย แล้วพออีกฝ่ายบอกให้เตรียมริเรขิโฉะมาด้วยนะ ฟังไม่ออกจ้าาาาา ลนลานขั้นสุด 5555 โชคดีตอนนั้นมีพี่ๆแนะนำเลยผ่านไปได้ด้วยดี (มั้ง) 55555
     อันนี้คือรูป ริเรคิโฉะ

      ต่อไปจะเป็นการเล่าถึงประสบการณ์การทำไบท์ของผมนะคับ (จะมีคนฟังไหมเนี่ย55555) คือเริ่มแรก ตอนมาถึงญี่ปุ่นใหม่ๆ นี่แบบเรายังไม่กล้าพูดภาษาญี่ปุ่นไง เขิน ออกเสียงจากถูกป่าวน้า อาย (แต่ตอนอยู่ไปนานๆ ก็หน้าเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆนะ กล้ามากขึ้น) ก็เลยคิดจะไปสมัครทำไบท์ที่โรงอาหารของมหาลัยก่อน เพราะรุ่นพี่แนะนำมาว่าเขาเปิดรับคนต่างชาติ บางคนพูดไม่ได้ยังทำได้เลย ก็เลยว่าจะไปลองสมัครดู แต่ว่า! ก็มีพวกรุ่นพี่รุ่นน้องทำไบท์อยู่ที่ อีออน (Aeon) !!! ถ้าพูดชื่อว่า Max value เชื่อว่าทุกคนคงร้อน"อ๋อ" แน่นอน เพราะมันเป็นสาขาย่อยของอีออน เราได้ยินครั้งแรกก็เกิดความรู้สึก เห้ย ถ้าได้งานที่นี่น่าจะดูเดิ้ลนะ! เราเลยไปสมัครที่นี่ก่อนเลยยย ประเดิมมมมมม วันสัมภาษณ์ โชว์สเตปเทพจ้าาา ผมจำได้เลย พูดคำว่า "ห๊ะ" "เอ๊ะ" ประมาณเจ็ดแปดรอบ บวกกับ "พะพะพะ..พูดอะอะอีกทีได้ไหมคะคะ..คับ" ประมาณสามสี่รอบ 5555555 แล้วสัมเสร็จเขาก็บอกว่า เด่วภายในหนึ่งอาทิตย์ได้หรือไม่ได้ยังไงจะติดต่อกลับมานะจ๊ะเบ่บี๋ ผมก็เฝ้ารอทั้งวันทั้งคืนดั่งรอคนที่ชอบตอบไลน์ 55555 จนมีจดหมายมาที่หอ!!! ดีใจมากก พอเปิดจดหมายดูหวังจะดูผล ก็เริ่มอ่าน...อ่าน..อ่าน.. คือแบบเนื้อหาย่อหน้าที่หนึ่งกะสองของจดหมายนี่คือ มีแต่น้ำ! เนื้อไม่มีเลย!!! คนญี่ปุ่นเป็นงี้จริง ชอบเกริ่นนนนนนนนนนน แบบรักษาน้ำใจไงงง มาบรรทัดสุดท้ายนี่แหละ เขียนว่า"ขอบคุณนะครัซ ไว้โอกาสหน้าถ้าสนใจไว้แวะมาอีกนะเบ่บี๋" เท่านั้นล่ะ พัง!!!! 55555 สรุปผมก็กลับไปสมัครทำไบท์ที่โรงอาหารเหมือนเดิม หน้าที่หลักๆ ก็ไม่มีไรมาก ตักข้าว ทำความสะอาด รับออเดอร์ ช่วยหัวหน้าทอดขของไรงี้ ตอนแรกๆที่ เกร็งมาก เพราะแบบคนญี่ปุ่นพูดเร็ววมาก ถึงมากที่สุด ยิ่งพวกผู้ชายนี่คือ ยาวๆเลย ฟังไม่ทันยาวๆ ฮ่าๆ แต่ตอนหลังๆก็เริ่มชินเรื่อยๆ จนมีเหตุการนึงเกิดขึ้น!!!!!
     คืองานไบท์ของญี่ปุ่นเนี่ย เขาจะทำการตรวจอุจจาระทุกๆ เดือน เพื่อดูว่าคุณสุขภาพดีไหม เขาจะให้ภาชนะใส่มา แล้วเอาไปส่งในวันที่กำหนด แล้วด้วยความไม่รับผิดชอบของผม มัวแต่รังเกียจขี้ตัวเอง ไม่ได้ส่งสองครั้ง!!! ออกจ้าาาาา คือรุ่นพี่มาบอกว่า ไม่เห็นพวกชุดในล็อคเกอร์ของผมแล้ว ณ ตอนนั้นผมเลยรู้ชะตากรรมตัวเองเลยว่า ผมต้องออกไปเผชิญโลกกว้างอีกครั้งสินะ!!!! ว้าย ต่าย แล๊วววววว
     หลังจากนั้นผมก็เว้นช่วงไว้รอปิดเทอมช่วงฤดูร้อน แล้วช่วงนั้นแหละผมก็เริ่มสมัครไบท์ไปทั่วอย่างเมามันนนนนน หว่านไปทั่วบอกเลยยย ตั้งแต่ร้านขนมปัง ซุปเปอร์แถวที่ผมอยู่ ร้านเค้ก บลาๆๆๆๆ ไปสัมภาษณ์รัวๆๆๆๆ ผลปรากฎว่า ไม่ผ่านสักอัน!!!!!!!!! ฮ่าๆๆๆๆ แต่สิ่งที่ได้มาคือหน้าที่เริ่มหนาขึ้น ตื่นเต้นน้อยลง รู้สึกได้จริงๆนะ แต่ที่เครียดสุดก็เป็นตอนโรงงานขนมปัง คือเขาเป็นสัมภาษณ์แบบรวม ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะประชุมในห้องแคบๆ มีผู้เข้าแข่งขันหกคน ห้าคนเป็นคนญี่ปุ่น ผมเป็นคนต่างชาติคนเดียว = = ตอนนั้นผมรู้สึกได้ถึงลางร้ายที่กำลังมาเยือน เหมือนเป็นกระรอกน้อยที่กำลังจะโดนแร้งรุมทึ้ง 555555 คือแบบทุกคนตอบด้วยรูปประโยคที่ไพเราะที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา แต่พอเขาทำผมว่า "ไมถึงอยากมาทำงานที่นี่" ผมก็ตอบไปว่า "อ่อ คือ..เอิ่ม.. ผมชอบขนมปังคับ.. คือ..แบบ...อยากลองทำน่ะ....คับ" บร๊ะ! ตอบไปแค่นี้จริงๆ เพราะความตื่นเต้นและความเครียดทึ่ขึ้นถึงขีดสุด กับ ระดับภาษาเราในตอนนั้นด้วย แล้วหลังจากนั้นสองสามวันก็ได้รับจดหมายไม่ผ่านมาตามระเบียบ
     จนในที่สุด!!!!!!!!!!!!!!!!! ผมก็กลับมาสมัครที่ไหนรู้ไหม! อีออน คับ!!!! 55555 แถวบ้านเรียกว่ากลับมาตายรังงงงงง คราวนี้เชี่ยวเลยคับ เที่ยวบินเยอะ วันสัมภาษณ์นี่ คุยร่วนเลย เหมือนเคยรู้จักกันมานาน แล้วคนสัมภาษณ์ก็ถามเราว๋า"ทำไมพูดได้โอจัง" ไอเราก็คิดว่าจะตอบไงดี บอกว่าเจ็บมาเย้ออออ โดนยำมาเย้อออ ดีรึเปล่า 55555 ก็เลยบอกไปว่า"นี่ครั้งที่สองละคับ ครั้งที่แล้วโดนปฏิเสธมา" ฮ่าๆๆ เขาเลยตกใจ อ้าวเหรอ แล้วหลังจากนั้นก็ไปสอบข้อสอบจิตวิทยา แล้วเขาก็บอกว่าเดี๋ยวภายในหนึ่งอาทิตย์จะติดต่อกลับมาตามสเตป หลังจากนั้นเขาก็โทรมาเลย บอกคุยผ่านแล้วน้าา ให้ไปออเรี๊ยลเทชั่นในวันที่กำหนดด้วย ตอนนั้นคือดีใจมากกกกกกกกกกก ฝุดๆ แต่ๆ ความหน้าแตกยังมี! คือวันออเรี๊ยลน่ะ เขาก็จะมีคนเข้าร่วมกะเราด้วยประมาณหกคน แล้ววิทยากรเขาจะอบรมถึงนโยบายของห้างๆบลาๆๆๆ แต่ที่น่าระทึกสุดคือ! ดันให้ไล่อ่านนโยบายเรียงคน!!!!!!!!!!! งี้ผมก็งานเข้าดิคับบบบบ คือคนอื่นอ่านกันอย่างโหด อ่านเรวเว่อออ คงเหมือนกะเราอ่านภาษาไทยแหละ แต่นี่เราต้องอ่านภาษาญี่ปุ่นไงงง คันจิที่บรึมมมม คือรู้นะ แต่มันต้องใช้เวลาคิดเสียงอ่านอ่ะะ อื้อหือ ตอนนั้นอ่วมเลย เป็นลูกอ๊อดเลยเรา ฮ่าๆๆๆๆ แต่วันนั้นก็ผ่านมาได้ด้วยเกือบจะดี สรุปคือผมได้อยู่แผนกซุยซัง 水産 หรือแผนกปลา งานของผมก็จะเกี่ยวกับพวกวางสินค้าที่เป็นปลา ลดราคา ทำความสะอาด จดอุณหภูมิ บลาๆๆๆๆ พอเราได้เริ่มทำวนๆหลายๆรอบก็เริ่มชิน อ้อ ละเรื่องค่าแรง ของที่ผมทำงานจะเป็น ชั่วโมงละ930เยน ส่วนใหญ่ผมจะทำอาทิตย์ละสามวัน สี่โมงครึ่งถึงสี่ทุ่มโดยประมาณ คือตอนสัมภาษณ์อ่านะ บอกว่าอยากทำแผนกเดลี่มากสุด เพราะแผนกนั้นมีเพื่อนอยู่แล้วคนต่างชาติเยอะมาก ปรากฏได้แผนกซุยซังมา เราก็เลยถามว่าทำมายยให้แผนกเน้ผมมาาาาค้าบบบบ เขาบอกว่า"ก็แบบว่า แผนกนี้ไม่เคยมีคนต่างชาติยุเลย พูดญี่ปุ่นได้นิ โอเคแหละ ^^(ป้ามีความยิ้มอ่อน)" นั่นเหตุผลเรอะ!!!!!!!!
     และต่อไปนี้คือการเดินทางไปทำงาน ก่อนอื่นผมต้องนั่งรถไฟไปหนึ่งป้าย คือสถานีฮาดาโนะ

     หลังจากนั้นก็เดิน เดิน เดินนนนนนนนนน ละเดินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน ประมาณ 10 นาทีแบบแอบรีบ แต่ถ้าชิวๆ ก็ 15 นาทีก็จะถึงอิออน

     มีความขึ้นเนิน

     และในที่สุดเราก็จะเห็น อีออน!!!! ช่วงนี้หน้าร้อน ตอนเดินไปที่ร้อนนมากกก เหงื่อออกอย่างกะอาบน้ำมาาา เซงเลย

     ส่วนบรรยากาศการทำงานผมชอบนะ ทุกคนใจดี แล้วคือเขาทำกันจริงๆ ไม่มีมานั่งกดมือถือเล่น คือมีคุยกันนะ แต่ถ้าออกมาตรงที่ลูกค้าอยู่ก็จะไม่ค่อยรุยกัน แล้วก็ทำแบบไม่ใช่ขอไปทีอ่ะ มีเช็คเพื่อนความละเอียด แล้วมีการเตรียมการสำหรับวันพรุ่งนี้ ผมรู้สึกดีนะที่ได้เรียนรู้ระบบการทำงานไว้ไปใช้ในภายภาคหน้าถ้ามีโอกาส ส่วนตอนนี้มีเรื่องที่ทำให้หน้าแตกอีกไหม บอกเลย มีเยอะ! ฮ่าๆๆ เพราะบางทีชื่องานหรือสิ่งของก็เป็นศัพท์เฉพาะ บวกกับความพูดเร็ว ทางที่ดีสุดคือพูดสิ่งที่เราเข้าใจอีกครั้งให้เขาฟังเพื่อความแน่ใจ จะได้ไม่ต้องทำผิดหลายรอบ เท่านี้ผมว่าก็ทำงานได้แบบแฮปปี้ละนะ ^^
     คนที่นี่แม้จะเป็นพนักงานที่อยู่คนละแผนก ตอนเดินผ่านกันส่วนใหญ่ก็จะทักทายเป็นมารยาทนะ แบบ "โอสึคาเระ" หรือไม่ก็ "โอฮาโยะโกไซมาส" อะไรแบบนี้ แม้กระทั่งกับ รปภ. ก็ตาม ผมว่าดีนะ ดูทุกคนมีปฏิสัมพันธ์กันดี
     สรุปคือสำหรับใครที่อยากทำงานพาร์ทไทม์หรือต้องการอะไรแต่ไม่กล้า หรือกลัวทำอะไรพลาด ผมอยากบอกว่า ทำไปเถอะคับ! ลุยให้เต็มที่เลยยยยย โดนปฏิเสธก็ช่างมันนน ผมว่าคนเราจะจำได้ก็หลังจากที่เราทำพลาดนะ เป็นประสบการณ์ที่ดีเลย อย่าได้แคร์ๆๆๆ แต่ก็ให้จำเหตุการณ์นั้นเป็นบทเรียนชิ้นสำคัญสำหรับเราก็พอ ^^
     สำหรับใครมีคำถามอะไรก็ถามได้เน้อ วันนี้สำหรับเนื้อหากระทู้นี้คงหมดแค่นี้ล่ะ ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคับบบ ยิ้ม)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่