การค้นหามหาระฆังธรรมเจดีย์ที่หนักที่สุดในโลก



อติตากาเล กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
เมื่อพระบรมศาสดาได้ตรัสรู้แล้ว
ได้ทรงเสวยวิมุติสุขเป็นเวลากว่า 49 วัน(7 สัปดาห์)
ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ได้มีนายกองเกวียนพ่อค้าชาวมอญ/รามัญ 2 คนพี่น้อง
คือ ตะเป้า(ตปุสสะ) ตะโป(ภัลลิกะ)
ได้นำกองเกวียนบรรทุกสินค้าเลียบแม่น้ำเนรัญชรา
เพื่อกลับไปค้าขายยังอุกกลาชนบท
ในมัชฌิมประเทศ(ประเทศมอญในยุคนั้น)

ทั้งคู่เห็นพระพักตร์ของพระภาคเจ้าแล้ว
เกิดมีศรัทธาเลื่อมใสศรัทธา
จึงได้น้อมถวายข้าวสัตตูก้อน สัตตูผง
จากนั้นได้รับฟังพระธรรมเทศนาและขอศีลห้า
พร้อมกับขอเป็นอุบาสกด้วยด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
ขอให้ถึงพระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระธรรม
ว่าเป็นสรณะ/ที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิต
ด้วยกาลเวลานั้นยังไม่มีพระสงฆ์
ปฐมอุบาสกทั้งสองนี้จึงเป็นอุบาสกประเภท เทววาจิก
แล้วทั้งสองจึงขอของที่ระลึกเพื่อนำไปบูชา
พระบรมศาสดาจึงสละพระเกสาให้จำนวน 8 เส้น

หลังจากทั้งคู่กลับจากอินเดีย
การค้าขายได้รับผลกำไรงามมากอย่างผิดคาดหมาย
ทั้งคู่จึงได้ไปกราบทูลพระเจ้าอุกละปะ
ถึงการปฏิธรรมและการรับศีลห้าแล้ว
ได้อานิสงค์ผลบุญทำให้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี
ทำให้พระเจ้าอุกกลาและชาวบ้านเกิดความเลื่อมใส
จึงแสวงหาที่ดินที่จะสร้างพระมหาเจดีย์เป็นที่ระลึก
เพื่อเก็บรักษาพระเกศาพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น
ทั้งนี้  ตามโลกธรรมคนรวยคนดีพูดจาน่าเชื่อถือได้กว่าใคร ๆ
มีคนคล้อยตามและอยากร่วมทำบุณย์ด้วยจำนวนมาก




ตามตำนานระบุว่า
พระอินทร์ซึ่งเป็นเทวดาที่ปกปักษ์รักษาศาสนาพุทธ
พระอินทร์ได้สอบถามเทวดาบนพื้นดินในที่ต่าง ๆ
เทวดาที่มีอายุมากที่สุดที่ในหมู่เทวดาทั้งปวงตอนนั้น
หรือที่พม่าเรียกว่า โบโบจี (พ่อปู่)
หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า  เทพทันใจ
หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า ซูเลนัต
ท่านเกิดเป็นเทวดาทันสมัยพระพุทธเจ้ากะกุสันโธ
พระพุทธเจ้าโกนาคม และ พระพุทธเจ้ากัสสปะ
พระพุทธเจ้าที่มาแล้วล่วงลับไปสามพระองค์
ก่อนพระบรมศาสดาองค์ปัจจุบัน
และจะรอพระศรีอารย์ในวันหน้า

เทพทันใจจึงได้ชี้ตำแหน่งสถานที่สร้างพระเจดีย์
ซึ่งปัจจุบันนี้คือ ที่ตั้งพระมหาเจดีย์ชเวดากอง
ซึ่งการชี้อาจจะเป็นการทรงเจ้าเข้าผี
เพื่อให้คนทรงชี้ตำแหน่งแห่งหน
แบบที่เมืองไทยก็ยังมีหลงเหลืออยู่
และบางคนก็ยังเชื่อการทรงเจ้าเข้าผี



ตำนานพระอินทร์ยังมีการบันทึกไว้
ในบันทึกการเดินทางของพระเหี้ยนจัง (พระถังซำจั๋ง)
ในช่วงปีพศ.1145-1207
ท่านได้มาสืบทอดพระพุทธศาสนา
และใช้ชีวิตพระภิกษุในอินเดียกว่า 17 ปี
และโต้วาทีชนะเจ้านิกายและพวกพราหมณ์มาตลอด
ในยุคนั้น พุทธศาสนามหานิกายเจริญรุ่งเรืองมาก


พระเหี้ยนจัง



ในกาลต่อมาศาสนาพราหมณ์ได้เข้ามา
ครอบงำศาสนาพุทธ
โดยศังกราจารย์
พราหมณ์ที่แอบมาบวชในนาลันทา
ในช่วงปีพ.ศ.1331-1363
จนศึกษาพุทธศาสนาจนแตกฉาน
แล้วลอบแต่งตำนานให้พระบรมศาสดา
เป็นองค์อวตารของพระนารายณ์
ที่ลงมาเกิดเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า

พร้อมกับพวกพราหมณ์ช่วยกันแต่งตำนาน
ให้พระอินทร์เป็นตัวตลกและบ้ากาม
เพราะไปมีสัมพันธ์ชู้สาวกับเมียฤาษีคนหนึ่ง
จนถูกสาปให้มีรูปโยนีขึ้นเต็มตัว
จนต้องไปขอให้พระอิศวรเปลี่ยนรูปโยนีเป็นรูปดวงตา(ท้าวพันตา/สหัสเนตร)
แล้วอวยกันเอง เพื่อยกย่อง พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์
ให้เหนือกว่า/ยิ่งใหญ่กว่าพระอินทร์


ศังกราจารย์



ข้อมูลเพิ่มเติม

https://goo.gl/XPB2eF
https://goo.gl/NPnqmD
https://goo.gl/osDzzT
https://goo.gl/HD6McO




หลังจากพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในมอญมานาน
และมีการบูชาพระมหาเจดีย์ชเวดากองกันเป็นประจำ

ในปีพ.ศ.2019 ก่อนที่จะมีการหล่อมหาระฆัง
เพื่อถวายเป็นพุทธบูชามหาเจดีย์ตะเกิง(ชเวดากอง)
โดยพระเจ้าธรรมเจดีย์  ราชวงศ์หันทวดี
กษัตริย์ชาวมอญ/รามัญในยุคก่อนพม่ายึดครอง
โหรหลวงของพระเจ้าธรรมเจดีย์
ได้แนะนำให้เลื่อนวันหล่อมหาระฆัง
เพราะเป็นช่วงเวลาที่ไม่เป็นมงคล
เนื่องจากเกณฑ์โหราศาสตร์ตกอยู่ใน
ฤกษ์ของกลุ่มดาวจระเข้
และระฆังหล่อเสร็จแล้วที่จะไม่มีเสียงดังแต่อย่างใด
แต่พระเจ้าธรรมเจดีย์ไม่ยอมเลื่อนวันหล่อระฆัง
หลังจากที่มหาระฆังหล่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ก็ปรากฏว่าให้เสียงระฆังที่ไม่พึงประสงค์
ไม่ไพเราะเสนาะโสตแต่อย่างใด

ตามตำนานที่ระบุเรื่องการหล่อมหาระฆัง
มีน้ำหนักถึง 294 ตัน บางแห่งว่าหนัก 300 ตัน
ซึ่งหลอมรวม เงิน ทองคำ ทองแดงและดีบุก
มีความสูงสิบสองและกว้างแปดศอก
ประมาณสูง 6.276 เมตร กว้าง 4.184 เมตร


ภาพนี้คือ ระฆังมหาคันธะ (Maha Gantha) ระฆังสำริดหนัก 23 ตัน
สร้างโดยโอรสของกษัตริย์ซินกู (Singu) ไม่ใช่ระฆังพระเจ้าธรรมเจดีย์
เมื่อปี พ.ศ. 2322 วาดโดยชาวต่างชาติเมื่อปี พ.ศ. 2368
ครั้งที่อังกฤษยึดครองพม่าในฐานะเจ้าอาณานิคม
ได้พยายามที่จะขนย้ายระฆังใบนี้ไปยังเมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย
แต่ระฆังก็ได้ตกน้ำจมหายไป โดยไม่สามารถกู้ขึ้นได้แม้จะได้พยายามหลายครั้ง
ต่อมาชาวพม่าได้ช่วยกันกู้ขึ้นได้เป็นผลสำเร็จในเวลาต่อมา

ที่มา  รามัญคดี Mon Studies





ในปีพ.ศ.2041 โปรตุเกสโดย Vasco da Gama
ได้เดินทางถึงเมือง กาลิกูฏ  ในอินเดียเป็นครั้งแรก
แล้วต่อมาได้เข้ายึดครองเมืองกัว ในอินเดีย
พร้อมกับสร้างป้อมปราการทำเป็นที่ตั้ง/ที่ทำการ
อุปราชภาคตะวันออกของโปรตุเกส
ที่โปรตุเกสทำได้เพราะมีเรือปืนและทหารแม่นปืน
ในการรุกรบและยึดครองเมืองต่าง ๆ ในเวลาต่อมา


ต่อมาโปรตุเกสได้ยึดศรีลังกา แล้วตั้งชื่อว่า Celon หรือ Ceilao
พร้อมกับพยายามทำลายศาสนาพุทธเพื่อกลืนศาสนา
และรังแกคนท้องถิ่นที่นับถือศาสนาพุทธอย่างแรง
เพื่อให้หันไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
โดยโปรตุเกสได้รับการสนับสนุนจากพระสันตปาปาจากกรุงโรม
ในยุคที่ตำแหน่งนี้เป็นมรดกตกทอดของตระกูล Medici เจ้าพ่อนครรัฐในอิตาลี
จนกระทั่งมีการตีพิมพ์หนังสือเผยแพร่ทั้งบนดินและใต้ดิน
ตามมาด้วยการเกิดศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแต้นท์
ที่มีคัดค้านการนอกรีตทางศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค
จึงมีการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาในเวลาต่อมา


โปรตุเกสได้ยึดเอาพระเขี้ยวแก้วพุทธศาสนาของลังกา
ไปบดด้วยครกหินให้เป็นผงแล้วโปรยทิ้ง
เป็นการเยาะเย้ยและดูถูกศาสนาพุทธ
แต่ตามตำนานลังการะบุว่าพวกมันได้ของปลอมไป
ทำให้คนลังกาหลายคนจนทุกวันนี้
ยังไม่ชอบชนชาดิโปรตุเกส
แบบให้อภัย  แต่ไม่ลืมความชั่วร้ายพวกมันในอดีต
เหมือนคนไทยบางส่วนยังไม่ชอบพม่า ฝรั่งเศส
ที่เคยยึดเมืองไทยเป็นเมืองขึ้นในสมัยก่อน


ในปีพ.ศ.2054 โปรตุเกสได้ยึดเมืองมะละกา
เพื่อตั้งเป็นศูนย์กลางการค้าและติดต่อเมืองต่าง ๆ
และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้หลายประเทศในเวลาต่อมา
ด้วยยุทธการเรือปืนและพลทหารแม่นปืน
พร้อมกับการรับจ้างรบให้กับคนที่จ่ายเงินทองทรัพย์สิน
แบบเงินถึง งานถึง เงินงอก งานงอก




ในปีพ.ศ.2077 พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้
กับพี่เมียพระเจ้าบุเรงนอง
ได้ร่วมมือกับทหารรับจ้างโปรตุเกสที่มีเรือปืนกับทหารแม่นปืน
ถล่มเมืองพะโคะ(เป็ดน้ำที่เหมือนหงส์)
จนยึดอาณาจักรมอญเป็นเมืองขึ้นได้ในที่สุด
และเปลี่ยนชื่อเมืองพะโคะเป็นหงสาวดี


ซึ่งก่อนหน้านี้พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้
ได้ทดลองหยั่งเชิงแสดงแสนยานุภาพ
ด้วยการไปทำพิธีที่พระเจดีย์มุเตา
ให้พราหมณ์ทำพิธีเจาะหูในเขตอาณาจักรมอญ
โดยทางทหารมอญไม่กล้าทำประการใด
สันนิษฐานว่า น่าจะมีทหารรับจ้างโปรตุเกสคุ้มกัน
ทำให้ทหารมอญต่างกลัวตายจากกระสุนปืน
แต่พงศาวดารเขียนเป็นความยิ่งใหญ่และกล้าหาญ
ด้วยการใช้ทหารพม่าเพียง 500 คนเข้าไปในดินแดนมอญ




ขณะเดียวกันอารยธรรมที่แข็งแรงกว่า
ก็ดูดกลืนชนชาติด้อยพัฒนา/อนารยชนให้นิยมชมชอบ
เช่น กรีกยึดเปอร์เซียได้ ก็นิยมชมชอบการเสพย์สุขแบบเปอร์เซีย
หรือพวกอาหรับที่ยึดเปอร์เซียได้ก็นิยมตั้งฮาเร็มแบบราชันย์เปอร์เซีย
มองโกลกับแมนจู หลังจากยึดจีนได้ก็ยังนิยมมีสนมจำนวนมาก
มีระบบการสอบคัดเลือกข้าราชการพลเรือน/ทหาร
มีการใช้ภาษาจีนแทนภาษาของตนเอง
มองโกลยังบังคับไม่ให้คนในเผ่าของตนแต่งงานกันเอง
แต่แมนจูกลับบังคับให้คนในเผ่าพยายามแต่งงานกันเอง


ในสยาม สมัยพระบรมไตรโลกนาถ
หลังยึดเขมรได้ ก็ขนข้าวของและหินแกะสลักกลับมาสยาม
ต่อมา พม่ายึดสยามได้ ก็ขนย้ายไปประดับที่มหาเจดีย์ชเวดากอง
สยามมีการรื้อปรับระบบการปกครองมีเสนาบดีสองคน
เพื่อไว้คานอำนาจซึ่งกันและกัน  และมี เวียง วัง คลัง นา
ยกฐานะกษัตริย์ขึ้นเป็นเทวธิราชแบบศาสนาฮินดู
พร้อมกับแก้ไขชื่อกษัตริย์ย้อนหลังไปเท่าที่ทำได้
แทนระบบการปกครองเดิมแบบพ่อปกครองลูก




ในปีพ.ศ.2112 พระเจ้าบุเรงนองได้มีชัยเหนือโยเดีย
ด้วยการนำทหารรับจ้างโปรตุเกสมาร่วมรบ
พร้อมกับทำลายกองทัพของสยามได้อย่างราบคาบ
แล้วนำพี่สาวพระนเรศไปเป็นนางสนม
กับนำตัวพระนเรศไปเป็นตัวประกัน
ตั้งให้พ่อพระนเรศขึ้นครองราชย์ในอยุธยา
ทั้งยังกวาดต้อนคนสยามไปเมืองหงสาวดี

อนึ่ง พม่าเวลาไม่พอใจคนสยามจะเรียกว่า โยเดีย
นัยว่าอยุธยาล่มแล้ว/พ่ายแพ้ศึกสงคราม
ถ้าอารมณ์ดีก็ว่า โยเดียอย่างนั้น โยเดียอย่างนี้
แล้วแต่ปริบทและอารมณ์ของคนพม่า
คำว่า โยเดีย  



ในปีพ.ศ.2126  Gasparo Balbi พ่อค้าอัญมณีชาวเวนิส
ได้มาเยี่ยมเมืองดากอง(พะโคะ)กับมหาเจดีย์ชเวดากอง
เขาได้เขียนไว้ในบันทึกประจำวันเกี่ยวกับมหาระฆังธรรมเจดีย์
มีรอยแกะสลักตัวหนังสือจากด้านบนลงสู่ด้านล่างรอบมหาระฆัง
ซึ่งเขาไม่สามารถอ่านออกและเข้าใจได้แต่อย่างใด
ผมพบว่าในวิหารมีระฆังขนาดใหญ่มาก
เท่าที่เราวัดกับสายตาและพบว่า
มีความกว้างขนาดเจ็ดก้าวและสามกำมือ
ทั้งยังเป็นไปด้วยรูปแบบของตัวอักษรจากบนลงล่าง
แต่ไม่มีใครที่สามารถเข้าใจภาษานี้ได้
"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่