ถูกรุ่นน้องในการดูแลล้อเรื่องการออกเสียงภาษาอังกฤษ

ผมมาเรียนต่อต่างประเทศได้ประมาณหนึ่งปี หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ผมฝึกภาษาอังกฤษทั้ง การฟัง พูด อ่าน เขียน หนักมากเพราะพื้นฐานไม่ดี ตอนนี้ก็เริ่ม ฟัง พูด อ่าน เขียน คล่องขึ้นกว่าปีก่อนพอสมควร

ขออนุญาต เกริ่นเรื่องราวมาก่อนนะครับ
ย้อนไปเมื่อเดือนที่แล้ว ผมได้รับมอบหมายจากอาจารย์ให้สอนงานรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แรก ๆ ก็มีเกร็ง ๆ บ้าง เราเริ่มสนิทกันเหมือนเพื่อนมากกว่าคนสอนงานกับคนในการดูแล เพราะเราสองคนค่อนข้างอัธยาศัยดี ไปกินข้าวกลางวันกันทุกวัน คุยเรื่องนู้นนี่ จึงสนิทกันเร็วมาก ในระหว่างนั้นก็จะมีงานที่รุ่นน้องคนนั้นได้รับมอบหมายมา เป็นงานที่ค่อนข้างยากและต้องการผู้ที่มีประสบการณ์ ซึ่งรุ่นน้องคนนั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จแม้จะพยายามอย่างหนัก ด้วยความที่เราเริ่มสนิทกัน ผมก็รู้สึกอยากช่วย จึงคนรับผิดชอบทำงานนั้นเองโดยไม่ได้บอกใคร ผมทำงานให้เค้าถึงเที่ยงคืนตีหนึ่งเป็นอาทิตย์ จนเมื่องานประสบผลสำเร็จ ทำให้ทุกคนในทีมมองว่ารุ่นน้องคนนั้นเรียนรู้ไวและทุ่มเท (ซึ่งเค้าก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ) ผมรู้สึกดีใจด้วย ช่วยเค้าก็เหมือนช่วยเพื่อน

แต่เรื่องมันเกิดในระหว่างการสอนงาน มีคำบางคำที่ผมไม่สามารถออกเสียงได้ถูกต้อง เนื่องด้วยผมเกิดและโตที่ไทย จะมีคำศัพท์หลายคำที่เราออกเสียงผิดแต่ยังใช้กันอยู่ ยกตัวอย่างเช่น เราออกเสียง จู๊ส (น้ำผลไม้) เป็น จุ๊ยส์ หรือ คอมฟ์ทะเบิ่ล เป็น คอมฟอดเทเบิ่ล เป็นต้น คำพวกนี้เป็นคำที่ผมได้ยินและใช้พูดเมื่อตอนอยู่ไทย พอมาอยู่ต่างประเทศก็เรียนการออกเสียงที่ถูก แต่ก็ยังยากสำหรับผมอยู่ดีในการพูดคำพวกนี้อย่างถูกต้องโดยธรรมชาติ ปัญหามันเกิดขึ้นเมื่อผมออกเสียงคำเหล่านี้ผิด สิ่งที่ผมได้รับจากรุ่นน้องคนนั้นคือ เสียงหัวเราะเยาะ แล้วก็พูดทวนคำที่ผมออกเสียงผิดซ้ำไปซ้ำไป แล้วก็หัวเราะเยาะอีก สิ่งที่ผมแว่บขึ้นมาในหัวครั้งแรกคือ การเหยียด ในที่นี้คือการเหยียดสำเนียงและการออกเสียงภาษาอังกฤษ ก็พยายามคิดว่าน้องเค้ายังเด็ก อาจจะไม่ทันคิด ไม่ได้กลั่นกรองอะไรต่อมิอะไร ผมเป็นผู้ใหญ่กว่าต้องมีวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ตัวเอง อีกอย่างก็เริ่มเบื่อประเด็นการเหยียด มันดูบอบบางเหลือเกิน สรุปครั้งแรกเลยจบที่คำว่า ช่างมันปล่อยไป

ผ่านไปสองสามวัน ผมต้องออกเสียงคำนั้นอีก ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิมครับ ไม่มีการปรับปรุงตัว ไม่รู้อะไรควรอะไรไม่ควร คราวนี้ผมไม่เพิกเฉยแต่อธิบายให้เค้าฟังว่าทำไมผมถึงออกเสียงต่างจากเค้า ผมบอกเค้าว่าผมเกิดและโตที่ไทย ผมออกเสียงแบบนี้มาทั้งชีวิต ผมรู้ว่าการออกเสียงที่ถูกเป็นอย่างไร แต่การใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศหนึ่งปีไม่สามารถทำให้ผมออกเสียงภาษาที่สองได้ตรงตามแบบที่เค้าใช้

พออธิบายเรื่องการออกเสียงจบ ก็มีประเด็นอื่นอีก คือมีเพื่อนมาขอคำปรึกษาผมเรื่องงาน ระหว่างที่ผมโต้ตอบกับเพื่อน รุ่นน้องคนนั้นก็อยู่ด้วย เค้าก็รับฟังทุกอย่าง คราวนี้มีคำถามหนึ่งที่ผมฟังไม่เข้าใจ ผมเลยถามเพื่อนคนนั้นว่า "ช่วยทวนคำถามอีกครั้งได้ไหม" ผมมองหน้ารุ่นน้องผม เค้ายิ้ม เป็นยิ้มที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากตอนที่หัวเราะเยาะเรื่องการออกเสียงของผมเลย เมื่อผมจบบทสนทนากับเพื่อน รุ่นน้องคนนั้นถามผมว่า "ทำไมไม่เข้าใจคำถามนั้น มันไม่ได้เข้าใจยากเลยนะ" ตอนที่ผมได้ยินครั้งแรกรู้สึกบอกไม่ถูก รู้สึกแบบ WTF? พร้อมทำคิ้วขมวด รู้สึกอยากออกห่างจากคนคนนี้สักพัก และผมก็ไม่ได้ยินคำขอโทษออกจากปากเค้า จนถึงวันที่ความอดทนของผมหมดลง

คราวนี้ผมนั่งทำงานของผมอยู่กับเพื่อนในทีม รุ่นน้องคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนผู้หญิงชาวเลบานอน (ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกแต่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี ผมเคยเจอเคยทักกันบ้างแต่ไม่ได้สนิทกัน) รุ่นน้องคนนั้นเดินเข้ามาอย่างอารมณ์ดีแล้วพูดคำว่า "ทุกคนรู้ไหมว่าผมออกเสียงคำในภาษาอังกฤษอย่างไร" ผมก็งง อยู่ดีดีทำไมพูดมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมคิดว่าเค้าน่าจะคุยกับเพื่อนเรื่องการออกเสียงภาษาอังกฤษมาก่อน พอเจอหน้าผมเลยพูด พอเค้าพูดจบประโยคทุกคนก็ตกใจ เพื่อนผมคนนึงตะโกนว่า "นี่กำลังพูดเหยียดคนอื่นอยู่หรอ" เพื่อนผู้หญิงชาวเลบานอนก็ตกใจพร้อมกับปรามเพื่อนว่าเค้าไม่ควรพูดแบบนี้กับผมต่อหน้าคนหลายคนในที่สาธารณะ ผมเสียความรู้สึก อาย และหลาย ๆ อย่าง คราวนี้คือพอกันที ผมพูดกลับว่า ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแรกของผม ผมกำลังใช้ภาษาที่สองอยู่นะและไม่สามารถออกเสียงอย่างถูกต้อง หลักไวยากรณ์ถูกต้องทุกประโยคในแบบที่เค้าทำ ผมบอกเค้าว่าผมอยู่ที่นี่มาหนึ่งปี เค้าอยู่มายี่สิบเอ็ดปีและใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ อย่าเปรียบเทียบแอปเปิ้ลกับส้ม ผมเห็นว่าเค้ารู้สึกเสียหน้าที่ไม่มีใครเข้าข้างเค้า เค้าตอบกลับมาว่าเค้าก็ใช้ได้สองภาษาเหมือนกัน ผมถามกลับว่าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร (ผมว่าทุกคนก็คงรู้ในสิ่งที่เค้าจะสื่อในประโยคนั้น) หลังจากนั้นเค้าพยายามหาพวกโดยถามเพื่อนผมอีกคนหนึ่งว่า รู้ไหมว่าผมออกเสียงคำอื่น ๆ ผิดอย่างไรอีก

ผมเดินออกมา ไม่นานนักเหมือนเค้ารู้สึกตัว เค้าเดินมาขอโทษผมต่อหน้าคนอื่น ผมสัมผัสได้ว่าเค้ารู้สึกผิดจริง ๆ แต่ไม่สามารถให้อภัยได้ ผมให้โอกาสเค้ามาหลายครั้งเหลือเกิน พอกลับมาถึงบ้าน ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แฟนผมฟัง (แฟนผมเป็นคนต่างชาติ ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกเหมือนกัน) แฟนผมเดินเข้ามากอดและบอกว่าเค้าโกรธมาก (นี่เป็นกำลังใจอย่างดีเลยละ ฮ่า ๆ) ผมถามแฟนผมว่าเป็นไปได้หรอที่รุ่นน้องผมไม่รู้ว่าที่เค้าทำมันผิด แฟนผมตอบว่าเป็นไปไม่ได้เลย ในประเทศที่มีหลายเชื้อชาติ การเหยียดทุกรูปแบบผิดทั้งจารีตและกฏหมาย

บอกตรง ๆ ว่าเรื่องนี้ทำให้ผมมีความสุขน้อยลงมาก ปกติผมเป็นคนไม่คิดอะไรเยอะ ปล่อยวางง่าย คือถ้าผมโดนเหยียดจากใครก็ไม่รู้ ผมก็จะรู้สึกแย่แต่คงลืมไปได้ง่าย ๆ แต่นี่โดนเหยียด โดนล้อ โดยคนในการดูแลของตัวเอง โดยคนที่เราเรียกว่าเพื่อน ตอนนี้เค้าก็ยังรู้สึกผิดอยู่แต่ผมให้อภัยไม่ลงจริง ๆ เพราะนึกถึงประโยคที่เค้าพูดว่า "ฉันก็พูดสองภาษาได้เหมือนกัน" กับตอนที่ "ล้อเลียนผมกับเพื่อนคนอื่นต่อ"

ผมคิดนะว่าถ้าตอนนั้นเค้ารู้สึกตัวในเสี้ยววินาทีว่าทำอะไรผิดและพูดคำว่าขอโทษในตอนนั้น ตอนที่ทุกคนตะโกนถามเค้าว่า "นี่กำลังเหยียดคนอื่นอยู่หรอ" ผมคงจะสั่งสอนเค้ายาว ๆ และให้อภัยไป แต่พอเรื่องเป็นแบบนี้ ผมทำไม่ได้จริง ๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่