...เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน... สัญญาก่อนว่าจะไม่ดราม่า เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีใครเชื่อ ถ้าไม่ได้เจอ รู้สึก หรือสัมผัสด้วยตัวเอง
เราพยายามจะเล่าเรื่องแบบละเอียด เพื่อจะให้รู้ว่าทริปนี้มันยากตลอดทริป ทั้งการใช้ชีวิต และการเป็นอยู่ ระยะเวลา 6 วัน 5 คืน ที่เหมือนมีทั้งอุปสรรค มีสิ่งคอยเตือน เหมือนไม่อยากให้เราเดินทางทริปนี้ได้สำเร็จ
เรามีแผนกับแฟนว่าอยากไปเที่ยวประเทศลาว เพราะได้มีโอกาสไปเที่ยวบ้านแฟนช่วงหลังสงกรานต์ปี ‘59 ซึ่งบ้านแฟนเราอยู่เชียงราย ติดกับแม่น้ำโขง กะว่าจะข้ามไปทางด่านห้วยแก้วเพราะมันใกล้ดี สาเหตุที่อยากไปลาวไม่มีอะไรเล้ยยยย มันเกิดเพราะกิเลสจากการนั่งดูรีวิวต่างๆ มากมายจากคนที่เคยไปลาวมาแล้ว เห็นเค้ามารีวิววังเวียง หลวงพระบาง เราก็อยากไปบ้างสักครั้งในชีวิต
เราอ่านๆ ดูๆ เห็นว่าที่ลาวมีหลายๆอย่างที่น่าสนใจ ทั้งธรรมชาติที่สวยงาม กิจกรรมสนุกๆ ที่ต้องไปลองด้วยตัวเอง บ้านเมืองเขาที่ดูสวยแบบฮิปสเตอร์ แต่ปรากฎว่าพอถึงวันเดินทางไปเชียงราย แฟนเราดันไม่ยอมลาไปทำพาสปอร์ตให้เรียบร้อย แล้วคือช่วงนั้นติดวันหยุดด้วย ทำเอกสารไม่ทัน ก็เลยอดข้ามไปลาวตามที่ตั้งใจไว้ หลังจากที่ผิดหวัง อกหักดังเปร๊าะ เราก็เลยหาตั๋วราคาถูกช่วงโปรฯ จากสายการบินหนึ่ง เรียกได้ว่าจองข้ามปี จองปีนี้ไปปีหน้า แถมเป็นในช่วงเวลาเดียวกัน (เหมือนชดเชยความอยากที่ไม่ได้ไปในตอนนั้น) กะว่าเออตรูจองข้ามปีละนะ ให้เวลาแฟนเตรียมตัวให้พร้อม ยังไงเราก็ต้องได้เดินทางเพื่อไปสนองความอยาก ความตั้งใจของตัวเองให้ได้
...ผ่านมา 1 ปี ใกล้ถึงกำหนดที่จะต้องเดินทาง สรุปลืมมมมจ้า คือลืมไปเลยว่าจองตั๋วทริปนี้ไว้ จนมือถือเราเตือนนี่แหละว่าอีก 1 อาทิตย์ จะต้องเดินทางไปทริปลาว เรียกได้ว่าทุกอย่างกลายเป็นกระทันหันไปหมด ทั้งที่จอง

ข้ามปี (ก็ไม่ช่วยอะไร) จองตั้งแต่ทำงานที่เก่า จนลาออกมาทำงานที่ใหม่ได้ปีนึง ฮ่าๆๆ เราเลยรีบลางาน และรีบปั่นงานล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง อยากไปเที่ยวแบบสบายใจ ไม่ให้มีภาระตกไปที่เพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า คือเรียกได้ว่ายุ่งมากๆ ยุ่งทั้งอาทิตย์ ยุ่งแบบจะเสียชีวิตเลยทีเดียว ไม่ได้มีเวลานั่งอ่านข้อมูล (ที่เคยเตรียมหาไว้เมื่อปีที่แล้ว) อีกรอบ เรียกได้ว่าไปหาข้อมูลเอาข้างหน้า ทริปนี้ สามารถทำให้ปัจจุบัน กลายเป็นอนาคตได้อยู่ดี (ไม่รู้ชะตาจะเป็นไง)
เริ่มทริป อุดรฯ - วังเวียง - หลวงพระบาง (6 วัน 5 คืน)
- 26 เม.ย. 60 - ก่อนวันเดินทาง...
พอถึงเวลาที่จะได้ไปจริงๆ เรากลับไม่ดีใจ เราบ่นกับหัวหน้าบ่อยมากว่า เราไม่อยากไปแล้ว รู้สึกไม่พร้อม กังวล ไม่อยากไปจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะแฟนอยากไปจริงๆ เราคงเททริปนี้ไปแล้วหละ (ทะเลาะกับแฟนไปแล้วรอบนึงเรื่องนี้) หัวหน้าเรายังงงๆ ว่า ทำไมเราถึงไม่อยากไปเที่ยวทริปนี้ อุส่าห์จองไว้ข้ามปี คือความรู้สึกช่วงปีที่แล้ว กับช่วงเวลานี้ มันโคตรจะต่างกันจริงๆ อาจเพราะตอนนั้นเราเพิ่งออกจากงาน เลยรู้สึกอยาก อยากทิ้ง อยากผ่อนคลายสมอง ไปเปิดโลกบ้าง
…หลังจากกลับจากที่ทำงาน คืนนี้ เป็นคืนที่เตรียมทุกอย่างแบบไฟลนก้น รีบจัดข้าวของลงกระเป๋า ให้แฟนมาช่วยจัด พอจัดๆของ เตรียมของใกล้เสร็จ อ้าว ววว…สร้อยคอหายไปไหน เลยนึกๆๆ ก็เลยนึกขึ้นได้ว่า สร้อยพระที่สวมติดคอตลอดดันลืมไว้หอแฟน ทริปนี้ไม่ได้ใส่พระที่ใส่ประจำซะแล้ว ด้วยความรีบก็เลยคิดว่าช่างเถอะ ตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบตี 1แล้ว แล้วคือบินไฟล์ทเช้าอีก
หลังจากเก็บข้าวของแล้ว เราก็นอนหาข้อมูลเกี่ยวกับวังเวียง หลวงพระบางผ่านมือถือ สุดท้ายมานั่งเช็คตั๋วเครื่องบินว่าต้องเช็คอินกี่โมงกันแน่ กันพลาดไว้เผื่อไปไม่ทัน “อ้าว...ชิหาล้าว ทำไมจองตั๋วไปอุบลฯ วะ” เราจำได้ว่าตอนที่จองอยากไปวังเวียงหนิ ก็ตอนจองยังเช็คกับแฟนอยู่เลยว่าจองถูก หรือว่าตอนนั้นกะว่าจะเดินทางจากอุบลฯ ไปปากเซ แล้วยาวขึ้นลาวเหนือ ก็เลยหาข้อมูลเพิ่มเติม เลยพบความจริงที่ต้องเลิกมโนว่า มันเป็นไปไม่ได้เลย เส้นทางลาวใต้คือแย่มาก คือโคตรเดินทางลำบาก ถ้าจะเดินทางจากลาวใต้ขึ้นลาวเหนือ เราว่าอาจต้องใช้เวลาเกือบ 2 อาทิตย์มั้งเนี่ย ไม่งั้นก็เหนื่อย ก็เสียเวลาหมดไปกับการเดินทาง เพราะการเที่ยวลาว ใช้เวลาไปกับการเดินทางค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะถ้าเที่ยวหลายๆ เมืองในทริปเดียว
สุดท้ายเราเลยปลุกแฟนตอนประมาณตีสอง ว่าผิดแผนแล้วหว่ะ เราจองตั๋วผิดจังหวัด เอาไงดีล่ะวะเนี่ย!!! เครียดเลย นอนไม่หลับ

ละ ลางานก็ลาไปแล้ว นี่ก็อุส่าห์ยกเลิกไปทำ Training กับบริษัท เพื่อได้ไปทริปนี้ไปอี๊กกกก เอาวะยังไงทริปนี้ก็ต้องเกิด ทริปยังต้องดำเนินต่อไป...
- 27 เม.ย. 60 - Day1 วันเดินทาง...
เราตัดสินใจไปเที่ยววังเวียง ลาว ด้วยการเดินทางไปตามแพลนที่ไม่มีทางเลือก คือนั่งเครื่องบินจากสนามบินดอนเมือง ไปอุบลฯ ประมาณ 1 ชม.ถึง แล้วต่อรถทัวร์ไปอุดรฯ โอ้โหคิดว่าจะไม่ไกล (ใครบอก

) เห็นความอุๆ เหมือนกัน ไม่รู้เอาความมั่นใจมาจากไหน เพราะทางจริงมันห่างไกลกันคนละโยด เราถึงสนามบินอุบลฯ 9 โมงกว่าๆ ได้รถทัวร์ไปอุดรฯ รอบ 11:00น. เป็นรอบรถบัส VIP ถึงอุดรฯ ประมาณ 6 โมงเย็น ใช้เวลา 7-8 ชั่วโมง นั่งรถจนเปื่อย สรุปนี่ตูนั่งเครื่องบินมาเพื่อ ระยะทางที่นั่งรถพอๆกับนั่งรถทัวร์ กรุงเทพฯ-อุดรฯ ฮ่าๆๆๆ เสียเวลาค่าโง่ไปหนึ่งวัน พอถึงขนส่งอุดรฯ เรารีบซื้อตั๋วรอไว้เลย พรุ่งนี้เช้าจะได้ไม่พลาด เพราะรถ อุดรฯ-วังเวียง วิ่งยาวๆ มีเที่ยวเดียวตอน 8:30น. คืนนี้นอนพักที่อุดรฯ เลือกที่ใกล้ๆขนส่งที่สุด พรุ่งนี้เช้าพร้อมลุยต่อ
- 28 เม.ย. 60 - Day2 จากอุดรฯ สู่วังเวียง
การเดินทางจากอุดรฯ ไปวังเวียงใช้เวลาประมาณ 8-9 ชม. ออก 8:30น. ไปถึงวังเวียง 5 โมงเย็น (มีแวะพักทานอาหารกลางวัน 40 นาที) พอไปถึงวังเวียงก็ลงรถกันที่ท่ารถ แล้วก็มีรถมารับพวกเรา ไปส่งในเมืองวังเวียง ตรงโรงแรมซอยเดียวกับซากุระบาร์ (บาร์ที่เขาว่ากันว่าขึ้นชื่อในวังเวียง ต้องไปโดนให้ได้) แฟนเราก็พาเดินต่อไปอีกโคตรไกล จาก ณ จุดรถรับส่งปล่อยให้ลง คือเรารู้แค่ว่าจะไปพักที่ไหน แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน มือถือเน็ตซิม GSM LAO ที่เราซื้อมาเปลี่ยนใส่ ตอนช่วงพักกินข้าวกลางวัน ที่รถบัสพาแวะ สัญญาณเน็ตมันกากไปหน่อย เซิร์ทอะไรคือช้ามาก จนเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำซองไปแหละ ดันไปเจอสัญญาณพอดี แฟนเราดูรีวิวที่พักที่นึงไว้ เป็น Guest House ราคาประหยัด มีวิวเขาธรรมชาติ ที่มองผ่านระเบียงยามเช้าแล้วโคตรเวิร์ค เราก็…อะยังไงก็ได้ เราบอกกับแฟนตั้งแต่ก่อนมาแล้วว่า ทริปนี้ให้แฟนเราจัดการเลย เรายุ่งเรื่องงานมาก ไม่มีเวลาหาข้อมูลเท่าไหร่ ถ้าแฟนเราอยากมาก็จัดโลด เดี๋ยวเราช่วยหาเอาตอนไปถึงที่ลาวเพิ่มเติม
เรากับแฟนเดินข้ามแม่น้ำซองมา ก็รีบเดินหาที่พักที่แฟนเราเล็งไว้ คือเดินโคตรไกล แล้วเราแบกกระเป๋า Backpack ใบใหญ่หลายกิโลฯด้วยไง เหนื่อยแบบไม่ต้องบรรยาย กว่าจะไปถึงที่พัก ข้ามสะพานประมาณ 2 สะพาน พอไปถึงที่พัก เรากับแฟนก็ขอดูห้อง คือไม่ได้จองล่วงหน้ามาก่อน ก็กะว่า Walk in เอาเลย แต่ ณ จุดๆ นั้น เราก็เหนื่อยเหงื่อท่วม เอาจริงๆ เราก็ไม่ค่อยชอบที่พักเท่าไหร่นะ เพราะมันค่อนข้างเก่า เป็นห้องแยกเดี่ยวๆ เหมือนกระท่อม ไม่มีแอร์ แต่วิวมันสวย บรรยากาศดี เค้าบอกว่ากลางคืนอากาศเย็นแบบไม่ต้องเปิดแอร์เลย เราเลยเอาวะ ลองดู!!!
หลังตัดสินใจว่าจะพักที่นี่ เราก็ขอไม่เลือกห้องพักเดี่ยวๆ ที่เจ้าของ Guest house พาไปดูตอนแรก เพราะ

โคตรน่ากลัว มันมืดๆ ทึมๆ เงียบๆ วังเวงน่าดูแน่ๆ ช่วงตอนกลางคืน เลยถามว่ามีที่พักที่เป็นห้องแบบอื่นมั้ย เค้าบอกว่ามี ก็เลยพาเดินไปดู คือเดินเข้าไปโคตรลึก จริงๆที่นี่เค้าบอกว่ามี Wifi นะ แต่จุดที่ห้องพักที่เราเลือก คือ Wifi มันเข้าไปไม่ถึงอ่ะ (ตอนแรกไม่รู้ มารู้ตอนคืนนั้น ตอนที่จะใช้ Wifi) คิดดูว่าลึกปานได๋ 555+ ละตรูก็ไม่รู้ เลือกห้องพักนั้นไป เพราะห้องดูใหม่ และอีกอย่างมันเป็นห้องติดๆกันกับห้องอื่น มีระเบียงติดกันยาว คือระเบียงแบบใช้ร่วมกัน มีเก้าอี้วางไว้สำหรับแต่ละห้อง ความปลอดภัยดูไม่ค่อยโอเค และไม่ส่วนตัว แต่มีแม่กุญแจให้คล้องล็อกประตูได้ ก็ถือว่าเซฟๆ นิดนึง เราชอบวิวตรงระเบียงนะ คือมันดีมาก ทั้งหมดค่าเสียหายในราคาประมาณ 120,000 กีบ เงินไทยตก 5ร้อยกว่าบาท คือโอเคเลย มันก็จะวังเวงหน่อยๆ นะ 555+ แต่เอาวะขี้เกียจไปหาที่อื่นละ ดีลลลลโลด
เมื่อเลือกแล้วที่จะพักที่นี่ พี่เค้าก็บอกว่าให้เก็บของที่ห้องก่อนก็ได้ ค่อยออกไปทำเอกสารเข้าพัก เราก็เก็บของแล้วหยิบแค่กระเป๋าตังค์ มือถือเพื่อที่จะไปทำเอกสารแล้วออกไปสำรวจทาง หาอะไรกินมื้อเย็น มองๆหาพี่คนที่ดูแล ที่พาไปดูห้องตอนแรก เค้าก็เดินออกมาจากในครัว คุยกับเราด้วยภาษาลาว ที่เราพอแปลออก เพราะญาตฝั่งแม่เราเป็นคนสระแก้ว เคยฟังจนติดหู ก็เลยพอพูด ฟังได้บ้างนิดหน่อย มันก็ไม่ได้ต่างจากภาษาไทยมากนัก พี่เค้าถามเราว่า…
พี่ที่ดูแลห้องพัก : “ค้างจั๊กมื้อ” (พักกี่วัน)
เรา : “สองคืนค่ะ”
พี่ที่ดูแลห้องพัก : “โด้นโดน” (ประมาณว่า “นานนะเนี่ย”)
เรา : “ก็ไม่นานนะคะพี่”
แล้วเราก็ยิ้มให้พี่เค้าแบบงงๆ ประกอบกับคิดในใจนะว่า เออเฮ้ย…มันนานหรอวะ 2 คืนเนี่ย!!!
หลังจากนี้…มันก็มีเรื่องราวให้เข้าสู่โหมดไม่ปกติ
เราไม่ได้สนใจอะไรกับคำพูดของพี่ที่ดูแลสถานที่พัก เราเดินข้ามถนนเล็กๆไปกับแฟนไปเช่ารถมอเตอร์ไซด์ เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้ขี่รถไปบลูลากูนกัน แล้วก็ออกไปหาอะไรกินกัน นั่นคือร้านอาหารริมแม่น้ำซอง เย็นวันนั้นคนไม่เยอะ และเป็นระหว่างที่รออาหาร เราก็ Live Facebook เล่าถึงอุปสรรค์ในการมาทริปนี้ไปแบบขำๆ พอกินอาหารเสร็จ ก็เดินทางกลับที่พัก แล้วคือตอนกลับทางแม่มแย่โคตรๆ หน้าฝน ดินเลนบวกกับกำลังก่อสร้างทำทาง ที่นั้นถนนหนทางคือดินแดง กับหินเททางก้อนๆ ที่คงลืมบด ก้อน

ใหญ่ก็ใหญ่จริงๆ เพราะพายุเข้าฝนตกหลายวัน น้ำมันก็เลยขังทิ้งไว้เป็นแอ่งใหญ่ๆ หลายแอ่ง อีนี่ก็ขับมอไซด์อย่างแมนๆ เหมือนพามอไซด์ดำน้ำ โคลนก็ลื่น แล้วที่สำคัญ ไฟหน้ามันไม่ติด ถรุยชีวิตมากๆ ต้องให้แฟนเอาไฟมือถือส่งทางให้ แล้วคือพอถึงที่พักก็รีบถามร้านเช่ามอไซด์ว่า ไฟหน้ารถมันเสียรึป่าวคะพี่ คืออินี่ก็โชว์โง่ไง มันเป็นรถมอไซด์รุ่นเก่าที่ต้องเปิดไฟหน้าเอง 5555+ แต่เดี๋ยววว นะ คือนานแล้วป่ะ ที่ไม่ได้ขับมอไซด์ที่ต้องเปิดไฟหน้าเองแบบนี้ สมัยนี้สตาร์ทแล้วมันก็ติดออโต้หมดละมั้ย บัยยยยยจ้า…
ตอนนี้เป็นเวลาช่วงเกือบทุ่มกว่าๆ ร้านเช้ามอไซด์กำลังจะปิด ร้านรวง บ้างช่องต่างพากันทยอยปิด อาจเพราะแถวนี้เป็นชานเมือง ที่พักที่เราอยู่เปิดไฟสีเหลืองสลัวๆ ตรงจุดเคาท์เตอร์ที่ติดต่อ ซึ่งตรงนี้จะมีที่ให้นั่งกินเบียร์ สั่งอาหารกินได้ และตอนนี้ก็มีฝรั่งงานดีย์นั่งอยู่ประมาณ 2 กลุ่ม
เรากับแฟนเดินผ่านกลุ่มฝรั่งเข้าที่พัก กะว่าจะมาอาบน้ำแล้วออกไปซากุระบาร์ ตรงในเมืองฝั่งโน้น แต่ในระหว่างทางเดินเข้าที่พัก

เดินลำบากมาก มองไปตามทางเดินที่เป็นหินวางนำทางเป็นหินทางเดินทรงกลมๆ ที่เอาไว้แต่งสวนนั้นแหละค่ะ เราเห็นหอยทากมาประชุมอย่างพร้อมเพรียงตามทาง และมีซากเพื่อนหอยทากที่มาตายโดยไม่ทันนัดหมายเพียบ บบ ก็

มืดสลัวจัด คน

ก็เหยียบหอยตายกันตามทางเดิน คือกลางวันก็โอเคนะ แต่กลางคืนมันมืดมาก เพราะต้นไม้ปกคลุมอยู่ทั่ว บรรยากาศเริ่มเย็น เย็นคล้ายๆฝนเพิ่งตกอ่ะ นี่ตรูอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริงจัง แถมยังมีลำธารเล็กๆตรงระเบียงที่พักอีก มันก็เย็นไปอี๊ก
วงเวียน (กรรม) ที่วังเวียง
เราพยายามจะเล่าเรื่องแบบละเอียด เพื่อจะให้รู้ว่าทริปนี้มันยากตลอดทริป ทั้งการใช้ชีวิต และการเป็นอยู่ ระยะเวลา 6 วัน 5 คืน ที่เหมือนมีทั้งอุปสรรค มีสิ่งคอยเตือน เหมือนไม่อยากให้เราเดินทางทริปนี้ได้สำเร็จ
เรามีแผนกับแฟนว่าอยากไปเที่ยวประเทศลาว เพราะได้มีโอกาสไปเที่ยวบ้านแฟนช่วงหลังสงกรานต์ปี ‘59 ซึ่งบ้านแฟนเราอยู่เชียงราย ติดกับแม่น้ำโขง กะว่าจะข้ามไปทางด่านห้วยแก้วเพราะมันใกล้ดี สาเหตุที่อยากไปลาวไม่มีอะไรเล้ยยยย มันเกิดเพราะกิเลสจากการนั่งดูรีวิวต่างๆ มากมายจากคนที่เคยไปลาวมาแล้ว เห็นเค้ามารีวิววังเวียง หลวงพระบาง เราก็อยากไปบ้างสักครั้งในชีวิต
เราอ่านๆ ดูๆ เห็นว่าที่ลาวมีหลายๆอย่างที่น่าสนใจ ทั้งธรรมชาติที่สวยงาม กิจกรรมสนุกๆ ที่ต้องไปลองด้วยตัวเอง บ้านเมืองเขาที่ดูสวยแบบฮิปสเตอร์ แต่ปรากฎว่าพอถึงวันเดินทางไปเชียงราย แฟนเราดันไม่ยอมลาไปทำพาสปอร์ตให้เรียบร้อย แล้วคือช่วงนั้นติดวันหยุดด้วย ทำเอกสารไม่ทัน ก็เลยอดข้ามไปลาวตามที่ตั้งใจไว้ หลังจากที่ผิดหวัง อกหักดังเปร๊าะ เราก็เลยหาตั๋วราคาถูกช่วงโปรฯ จากสายการบินหนึ่ง เรียกได้ว่าจองข้ามปี จองปีนี้ไปปีหน้า แถมเป็นในช่วงเวลาเดียวกัน (เหมือนชดเชยความอยากที่ไม่ได้ไปในตอนนั้น) กะว่าเออตรูจองข้ามปีละนะ ให้เวลาแฟนเตรียมตัวให้พร้อม ยังไงเราก็ต้องได้เดินทางเพื่อไปสนองความอยาก ความตั้งใจของตัวเองให้ได้
...ผ่านมา 1 ปี ใกล้ถึงกำหนดที่จะต้องเดินทาง สรุปลืมมมมจ้า คือลืมไปเลยว่าจองตั๋วทริปนี้ไว้ จนมือถือเราเตือนนี่แหละว่าอีก 1 อาทิตย์ จะต้องเดินทางไปทริปลาว เรียกได้ว่าทุกอย่างกลายเป็นกระทันหันไปหมด ทั้งที่จอง
เริ่มทริป อุดรฯ - วังเวียง - หลวงพระบาง (6 วัน 5 คืน)
- 26 เม.ย. 60 - ก่อนวันเดินทาง...
พอถึงเวลาที่จะได้ไปจริงๆ เรากลับไม่ดีใจ เราบ่นกับหัวหน้าบ่อยมากว่า เราไม่อยากไปแล้ว รู้สึกไม่พร้อม กังวล ไม่อยากไปจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะแฟนอยากไปจริงๆ เราคงเททริปนี้ไปแล้วหละ (ทะเลาะกับแฟนไปแล้วรอบนึงเรื่องนี้) หัวหน้าเรายังงงๆ ว่า ทำไมเราถึงไม่อยากไปเที่ยวทริปนี้ อุส่าห์จองไว้ข้ามปี คือความรู้สึกช่วงปีที่แล้ว กับช่วงเวลานี้ มันโคตรจะต่างกันจริงๆ อาจเพราะตอนนั้นเราเพิ่งออกจากงาน เลยรู้สึกอยาก อยากทิ้ง อยากผ่อนคลายสมอง ไปเปิดโลกบ้าง
…หลังจากกลับจากที่ทำงาน คืนนี้ เป็นคืนที่เตรียมทุกอย่างแบบไฟลนก้น รีบจัดข้าวของลงกระเป๋า ให้แฟนมาช่วยจัด พอจัดๆของ เตรียมของใกล้เสร็จ อ้าว ววว…สร้อยคอหายไปไหน เลยนึกๆๆ ก็เลยนึกขึ้นได้ว่า สร้อยพระที่สวมติดคอตลอดดันลืมไว้หอแฟน ทริปนี้ไม่ได้ใส่พระที่ใส่ประจำซะแล้ว ด้วยความรีบก็เลยคิดว่าช่างเถอะ ตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบตี 1แล้ว แล้วคือบินไฟล์ทเช้าอีก
หลังจากเก็บข้าวของแล้ว เราก็นอนหาข้อมูลเกี่ยวกับวังเวียง หลวงพระบางผ่านมือถือ สุดท้ายมานั่งเช็คตั๋วเครื่องบินว่าต้องเช็คอินกี่โมงกันแน่ กันพลาดไว้เผื่อไปไม่ทัน “อ้าว...ชิหาล้าว ทำไมจองตั๋วไปอุบลฯ วะ” เราจำได้ว่าตอนที่จองอยากไปวังเวียงหนิ ก็ตอนจองยังเช็คกับแฟนอยู่เลยว่าจองถูก หรือว่าตอนนั้นกะว่าจะเดินทางจากอุบลฯ ไปปากเซ แล้วยาวขึ้นลาวเหนือ ก็เลยหาข้อมูลเพิ่มเติม เลยพบความจริงที่ต้องเลิกมโนว่า มันเป็นไปไม่ได้เลย เส้นทางลาวใต้คือแย่มาก คือโคตรเดินทางลำบาก ถ้าจะเดินทางจากลาวใต้ขึ้นลาวเหนือ เราว่าอาจต้องใช้เวลาเกือบ 2 อาทิตย์มั้งเนี่ย ไม่งั้นก็เหนื่อย ก็เสียเวลาหมดไปกับการเดินทาง เพราะการเที่ยวลาว ใช้เวลาไปกับการเดินทางค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะถ้าเที่ยวหลายๆ เมืองในทริปเดียว
สุดท้ายเราเลยปลุกแฟนตอนประมาณตีสอง ว่าผิดแผนแล้วหว่ะ เราจองตั๋วผิดจังหวัด เอาไงดีล่ะวะเนี่ย!!! เครียดเลย นอนไม่หลับ
- 27 เม.ย. 60 - Day1 วันเดินทาง...
เราตัดสินใจไปเที่ยววังเวียง ลาว ด้วยการเดินทางไปตามแพลนที่ไม่มีทางเลือก คือนั่งเครื่องบินจากสนามบินดอนเมือง ไปอุบลฯ ประมาณ 1 ชม.ถึง แล้วต่อรถทัวร์ไปอุดรฯ โอ้โหคิดว่าจะไม่ไกล (ใครบอก
- 28 เม.ย. 60 - Day2 จากอุดรฯ สู่วังเวียง
การเดินทางจากอุดรฯ ไปวังเวียงใช้เวลาประมาณ 8-9 ชม. ออก 8:30น. ไปถึงวังเวียง 5 โมงเย็น (มีแวะพักทานอาหารกลางวัน 40 นาที) พอไปถึงวังเวียงก็ลงรถกันที่ท่ารถ แล้วก็มีรถมารับพวกเรา ไปส่งในเมืองวังเวียง ตรงโรงแรมซอยเดียวกับซากุระบาร์ (บาร์ที่เขาว่ากันว่าขึ้นชื่อในวังเวียง ต้องไปโดนให้ได้) แฟนเราก็พาเดินต่อไปอีกโคตรไกล จาก ณ จุดรถรับส่งปล่อยให้ลง คือเรารู้แค่ว่าจะไปพักที่ไหน แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน มือถือเน็ตซิม GSM LAO ที่เราซื้อมาเปลี่ยนใส่ ตอนช่วงพักกินข้าวกลางวัน ที่รถบัสพาแวะ สัญญาณเน็ตมันกากไปหน่อย เซิร์ทอะไรคือช้ามาก จนเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำซองไปแหละ ดันไปเจอสัญญาณพอดี แฟนเราดูรีวิวที่พักที่นึงไว้ เป็น Guest House ราคาประหยัด มีวิวเขาธรรมชาติ ที่มองผ่านระเบียงยามเช้าแล้วโคตรเวิร์ค เราก็…อะยังไงก็ได้ เราบอกกับแฟนตั้งแต่ก่อนมาแล้วว่า ทริปนี้ให้แฟนเราจัดการเลย เรายุ่งเรื่องงานมาก ไม่มีเวลาหาข้อมูลเท่าไหร่ ถ้าแฟนเราอยากมาก็จัดโลด เดี๋ยวเราช่วยหาเอาตอนไปถึงที่ลาวเพิ่มเติม
เรากับแฟนเดินข้ามแม่น้ำซองมา ก็รีบเดินหาที่พักที่แฟนเราเล็งไว้ คือเดินโคตรไกล แล้วเราแบกกระเป๋า Backpack ใบใหญ่หลายกิโลฯด้วยไง เหนื่อยแบบไม่ต้องบรรยาย กว่าจะไปถึงที่พัก ข้ามสะพานประมาณ 2 สะพาน พอไปถึงที่พัก เรากับแฟนก็ขอดูห้อง คือไม่ได้จองล่วงหน้ามาก่อน ก็กะว่า Walk in เอาเลย แต่ ณ จุดๆ นั้น เราก็เหนื่อยเหงื่อท่วม เอาจริงๆ เราก็ไม่ค่อยชอบที่พักเท่าไหร่นะ เพราะมันค่อนข้างเก่า เป็นห้องแยกเดี่ยวๆ เหมือนกระท่อม ไม่มีแอร์ แต่วิวมันสวย บรรยากาศดี เค้าบอกว่ากลางคืนอากาศเย็นแบบไม่ต้องเปิดแอร์เลย เราเลยเอาวะ ลองดู!!!
หลังตัดสินใจว่าจะพักที่นี่ เราก็ขอไม่เลือกห้องพักเดี่ยวๆ ที่เจ้าของ Guest house พาไปดูตอนแรก เพราะ
เมื่อเลือกแล้วที่จะพักที่นี่ พี่เค้าก็บอกว่าให้เก็บของที่ห้องก่อนก็ได้ ค่อยออกไปทำเอกสารเข้าพัก เราก็เก็บของแล้วหยิบแค่กระเป๋าตังค์ มือถือเพื่อที่จะไปทำเอกสารแล้วออกไปสำรวจทาง หาอะไรกินมื้อเย็น มองๆหาพี่คนที่ดูแล ที่พาไปดูห้องตอนแรก เค้าก็เดินออกมาจากในครัว คุยกับเราด้วยภาษาลาว ที่เราพอแปลออก เพราะญาตฝั่งแม่เราเป็นคนสระแก้ว เคยฟังจนติดหู ก็เลยพอพูด ฟังได้บ้างนิดหน่อย มันก็ไม่ได้ต่างจากภาษาไทยมากนัก พี่เค้าถามเราว่า…
พี่ที่ดูแลห้องพัก : “ค้างจั๊กมื้อ” (พักกี่วัน)
เรา : “สองคืนค่ะ”
พี่ที่ดูแลห้องพัก : “โด้นโดน” (ประมาณว่า “นานนะเนี่ย”)
เรา : “ก็ไม่นานนะคะพี่”
แล้วเราก็ยิ้มให้พี่เค้าแบบงงๆ ประกอบกับคิดในใจนะว่า เออเฮ้ย…มันนานหรอวะ 2 คืนเนี่ย!!!
หลังจากนี้…มันก็มีเรื่องราวให้เข้าสู่โหมดไม่ปกติ
เราไม่ได้สนใจอะไรกับคำพูดของพี่ที่ดูแลสถานที่พัก เราเดินข้ามถนนเล็กๆไปกับแฟนไปเช่ารถมอเตอร์ไซด์ เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้ขี่รถไปบลูลากูนกัน แล้วก็ออกไปหาอะไรกินกัน นั่นคือร้านอาหารริมแม่น้ำซอง เย็นวันนั้นคนไม่เยอะ และเป็นระหว่างที่รออาหาร เราก็ Live Facebook เล่าถึงอุปสรรค์ในการมาทริปนี้ไปแบบขำๆ พอกินอาหารเสร็จ ก็เดินทางกลับที่พัก แล้วคือตอนกลับทางแม่มแย่โคตรๆ หน้าฝน ดินเลนบวกกับกำลังก่อสร้างทำทาง ที่นั้นถนนหนทางคือดินแดง กับหินเททางก้อนๆ ที่คงลืมบด ก้อน
ตอนนี้เป็นเวลาช่วงเกือบทุ่มกว่าๆ ร้านเช้ามอไซด์กำลังจะปิด ร้านรวง บ้างช่องต่างพากันทยอยปิด อาจเพราะแถวนี้เป็นชานเมือง ที่พักที่เราอยู่เปิดไฟสีเหลืองสลัวๆ ตรงจุดเคาท์เตอร์ที่ติดต่อ ซึ่งตรงนี้จะมีที่ให้นั่งกินเบียร์ สั่งอาหารกินได้ และตอนนี้ก็มีฝรั่งงานดีย์นั่งอยู่ประมาณ 2 กลุ่ม
เรากับแฟนเดินผ่านกลุ่มฝรั่งเข้าที่พัก กะว่าจะมาอาบน้ำแล้วออกไปซากุระบาร์ ตรงในเมืองฝั่งโน้น แต่ในระหว่างทางเดินเข้าที่พัก