ฉลาดเกมส์โกง ประทับใจประโยค "โรงเรียนก็ไม่ได้เป็นที่หาเงินของ ผอ. เหมือนกัน" มากๆๆๆๆ


ฉลาดเกมส์โกง : Bad Genius
3.5 skulls

จะบอกว่าไงดีล่ะ คือทั้งเรื่อง ประทับใจสุดก็ฉากที่ลินสวน ผอ. ไปว่า "โรงเรียนก็ไม่ได้เป็นที่หาเงินของ ผอ. เหมือนกัน" ๕๕๕ แปลกๆ มั้ย? ขอเล่าก่อน คืองี้ สมัยมัธยมอ่ะ เราก็เรียนอาจจะไม่ได้เก่งมากแต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ไง เรื่องลอกคนอื่นน่ะ ไม่มี (โอเค คงมใีบ้างแหละ แต่น้อย) ส่วนเรื่องให้คนอื่นลอกก็พอมีบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเปนรางอย่างในหนัง แต่ที่เราประทับใจฉากนั้นก็เพราะ เราเองก็ใช้โรงเรียนเป็นที่หาเงินเหมือนกัน ๕๕๕

อาจจะงง แต่วิธีของเราออกจะโอลด์สคูลหน่อยๆ น่ะ เพราะเราใช้ความขยันที่มากกว่าคนอื่นของเรามา "รับจ้างทำการบ้าน" ๕๕๕ แต่ถ้านึกย้อนไปจริงๆ เราเริ่มใช้โรงเรียนเป็นที่หาเงินมาตั้งแต่ ม.ต้น แล้วแหละด้วยการ "รับจ้างถือหนังสือเรียน" โอ๊ย ไปกันใหญ่ ๕๕๕ มาเริ่มรับจ้างทำการบ้านเอาก็ตอน ม.ปลาย หลักๆ ก็มี 2 วิชา คณิตศาสตร์ กะพระพุทธศาสนา ??? โอเค เราเชื่อว่าคณิตศาสตร์เนี่ยน่าจะเข้าใจกันได้ไม่ยาก เพราะมีการบ้านเกือบทุกวัน มากบ้าง น้อยบ้าง เคยรับจ้างทำสูงสุดน่าจะ 14-15 คน เคยโดย อ. จับได้ก็มี แต่ก็ไม่เลิกทำนะ ๕๕๕ แต่วิชาพุทธศาสนานี่ดิ เราว่าคงงงอ่ะ ว่าการบ้านมีอะไร? ซึ่งตอนนั้น(จนถึงตอนนี้) เราก็ไม่เข้าใจนะว่า อ. สั่งการบ้านคือต้องการอะไร ด้วยการให้สรุปย่อแต่ละบทเขียนลงในสมุดให้ได้ประมาณสองหน้าครึ่ง โดยที่มีกฎหลักๆ คือ ตัวใหญ่ไปเขียนมาใหม่ เว้นช่องว่างเยอะไปเขียนมาใหม่ โอ๊ย นี่ก็จะบ้าตาย คือเพื่ออะไร? ๕๕๕ หรือเพื่อให้เราเข้าพุทธศาสนามากขึ้น แต่พอเอาจริงเราก็ไม่ได้อ่านไม่ได้สรุปอ่ะ ลอกลงมาทั้งดุ้นยังงั้นแหละให้ได้ถึงหน้าสองครึ่ง แล้วพอส่ง อ. ก็ไม่เคยอ่านนะ ตรวจตามกฎที่ว่าไป 2 ข้อนั้น ซึ่งเพื่อนหลายคนคือโดนไปเขียนเพิ่ม แต่เราไม่เคย ภูมิใจมาก ๕๕๕ แต่วิชาพุทธศาสนานี้รับได้ไม่มาก ประมาณ 4-5 คนมั้ง เพราะมันต้องเขียนเยอะมากจริง ไม่มีเวลา ซึ่งก็จะมีลูกค้าประจำนะ ค่าจ้างก็ไม่ได้เยอะอะไร 5 บาท 10 บาท ไปจน 20 บาท ประมาณนี้ แล้วแต่งาน ๕๕๕ คิดแล้วตลกจริงๆ มีวิชาศิลปะบ้างประปราย (คิดดู วิชาศิลปะยังมีคนจ้าง) แล้วพอตอนใกล้ๆ จบ จะมีวิชาภาษาไทยเพิ่มมาอีกสำหรับคนที่ต้องแก้ ร เป็นการคัดอะไรซักอย่าง จำไม่ได้ ส่วนอันนี้ก็รับไม่เยอะเหมือนกัน เพราะใกล้สอบด้วย นอกจากนี้ก็มีให้เช่าเทปบ้าง ไรบ้าง ใช่! เทปเพลงคาสเซ็ทอ่ะแหละ ม้วนละบาท 2 บาทต่อวันมั้ง แต่ราคานี้ก็ยังมีคนขอต่อนะ โอ๊ย จะบ้า ๕๕๕ แล้วถามว่า เงินที่ได้มาเอาไปไหนหมด ก็เอาไปลงกะเทปเพลงไง เพราะสมัยนั้นเราเป็นคนที่ซื้อเทปเพลงเยอะมากกกกก ซื้อเกือบทุกอัลบั้ม อาร์เอส แกรมมี่ คีตา เอ็มสแควร์ ฯลฯ มาหมด คิดดู ได้เงินไปโรงเรียนวันละ 30 บาท ค่าข้าว ขนม ประมาณวันละ 20 บาท แบบประหยัดๆ เลยนะ เหลือวันละ 10 บาท เก็บเงินซื้อเทป ๕๕๕

พอดีกว่า ๕๕๕ มาว่าที่ตัวหนัง ฉลาดเกมส์โกง เล่าเรื่องของ ลิน เด็กฉลาด บ้านไม่รวย พ่อก็อยากให้ย้ายมาโรงเรียนเอกชนที่น่าจะมีโอกาสดีกว่า แล้วเพื่อนก็ยื่นข้อเสนอในการลอกข้อสอบ ทีแรกก็ไม่อยากทำ แต่พอรู้เรื่องของโรงเรียน เลยเอาวะ หารายได้เอาคืนซะเลย จนนำไปสู่การโกงข้อสอบระดับโลกไปนู่น...

ว่ากันซื่อๆ ความทริลเลอร์ของหนัง ช่วยให้หนังดูสนุกนะ ขนาดฉากไส้ดินสอหมดยิ้มยังลุ้นอ่ะ ๕๕๕ ผู้กำกับ บาส คือเก่ง ทำหนังได้ออกมาได้แตกต่างจากตลาด แล้วพอหนังมันดูสนุกด้วย มันเลยไปได้ไกลในเรื่องของรายได้ (ส่วนตัวเราว่าหนังมันลงตัวกว่าเคาท์ดาวน์เยอะนะ) การตัดต่อเราว่ามีส่วนเยอะมาก ที่ทำให้หนังดูสนุกและลุ้นได้ขนาดนี้ นี่ขนาดไม่ได้มีความรู้อะไรเรื่องนี้นะ แต่เราว่าเรารู้สึกได้ การแสดง ยอมรับเลยว่า ลิน โดดเด่นมากๆ คือนอกจากตามบท มันต้องเด่นแล้ว การแสดงของ ออกแบบ คือได้ (แต่บางทีก็นึกว่านางเป็น The Face เปล่า? ๕๕๕) แบงค์ก็ดี แต่ไอ้การที่ตัวละครมันพัฒนาจากหน้ามือไปเป็นหลังมือ มันเร็วไปหรือเปล่า เกรซ น่ารักดี ดูเป็นนิยามของคำว่า "สวยแต่โง่" ตามบท (ที่ความจริงแล้วเราว่าหน้าตากับความฉลาดมันก็ไม่ได้ผกผันกันหรือเกี่ยวอะไรกันหรอกนะ) พัฒน์ นี่ก็ หล่อ รวย แต่โง ตามบทอีก เทียบกันในส่วนตัวละครหลัก 4 คนแล้ว เราว่าอ่อนสุด แต่ที่เราว่าดีและดูเป็นธรรมชาติมากๆ ก็พี่ธเนศ พ่อของลินนี่แหละ (จำชื่อไม่ได้) ชอบฉากนั้นอ่ะ "เออ พ่อผิดเองก็ได้วะ จะไปโทษใครได้" จะขำก็ขำไม่ออก จะซึ้งก็แบบกึ่งๆ

ซึ่งการเล่าเรื่องและการตัดต่อนี่แหละที่ช่วยให้หนังดูสนุก จนมันกลบเกลื่อนความเว่อร์วังจนไม่น่าเชื่อของหนัง เอาง่ายๆ อย่างได้โค้นเปียโนเนี่ย ดูไป เออ มันดีนะ แต่เราว่ามันเป็นอะไรที่คลาดเคลื่อนง่ายมากเลยนะ คือถ้าไม่ได้จ้องมือดูโค้ดแบบเอาเป็นเอาตายแล้วเนี่ย พอหลุดแล้วหลุดไปเลยนะ ตามที่ลินบอก ข้อที่แม่สีหารลงตัวต้องทำเอง (แล้วตรงนี้ทำไมไม่บอกข้อที่ 3 หารลงตัวมันจะง่ายกว่าป่ะ?) แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าโค้ดที่เราดูจากมือมันเป็นข้อที่เราต้องฝนคำตอบจริงๆ อ่ะ แล้วยิ่งต้องบอกต่อเป็นวงกล้างแบบในหนังด้วย (คนที่ลอกไม่ได้นั่งติดกันนี่) วิธีมันดูล้ำ แต่โอกาสพลาดเราว่ามากกว่าโอกาสสำเร็จนะ แล้วพอยิ่งไปไกลขนาดจะโกงข้อสอบ STIC ด้วยยิ่งแล้วใหญ่ โอเค หนังทำให้ดูน่าเชื่อด้วยเรื่องความต่างของเวลา แต่ไอ้วิธีการร่วมกันจำคำตอบออกมาของลินกะแบงค์แล้วส่งต่อมาเมืองไทยเนี่ย เราว่ามันยังไงๆ อยู่นา แล้วจริงๆ ลินต้องการคะแนน STIC เพื่อไปเมกาด้วยไม่ใช่เหรอ แล้วการทำแค่ครึ่งเดียวเนี่ย คะแนนของลินจะพอไปได้เหรอ ??? คือก่อนหน้านี้เราไม่รู้จัก เอสต่ง เอสติกอะไรเลยนะ แต่เค้าจัดสอบกันในที่เหมือนห้องสมุดแบบนี้เหรอ (แต่ถ้าใช่แบบนี้แหละก็ยอมนะ) แล้วพอได้คำตอบมาแล้วต้องปริ๊นท์เป็นบาร์โค้ดมาติดทับบาร์โค้ดเดิมของดินสออ่ะ เราว่าด้วยเงื่อนของเวลาแล้ว ไม่น่าจะมีทางทำได้แนบเนียนจนดูไม่ออกแน่ๆ แล้วฉากที่คนคุมสอบที่ออสเตรเลียเดินตามลินเนี่ย มันดูแปร่งๆ ยังไงไม่รู้ คือต้องขนาดนั้น ส่วนฉากที่ดูเสร่อที่สุดของหนังก็ฉาก สตีฟ พัฒน์ อ่ะ คือเพื่อ ???

เพราะฉะนั้น ดูเอาสนุกมันก็สนุกใช้ได้อยู่นะ เป็นหนังทริลเลอร์ดูสนุกที่หาได้ยากในหนังไทยเลย แต่ถ้าดูแบบคิดตามแล้ว ความเว่อร์วัง ไม่สมเหตุสมผลมันจะลดทอนหนังไปได้พอสมควร แต่สุดท้ายแล้ว เราก็เชียร์ให้ไปดูหนังนะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่