สวัสดีค่ะ เราได้อ่านกระทู้มนุษย์เงินเดือน แชร์ประสบการณ์ขายสลัดโรล
เลยได้แรงบันดาลใจที่จะแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้ท่านอื่นในการหารายได้เสริมนอกเหนือจากเงินเดือนที่ได้รับอยู่นะคะ
1.จุดเริ่มต้น
เรื่องมันเริ่มจากที่สามีเป็นคนชอบทำอาหารและเป็น Freelanceอยู่กับบ้าน
และมีอยู่เมนูหนึ่งที่สามีทำแล้วเรารู้สึกว่ามันรสชาติใช้ได้ น่าจะขายได้นะ เมนูนั้นคือ
สลัดญี่ปุ่น ใส่บะหมี่เย็น

ก็เลยเริ่มจากลองทำไปให้เพื่อนที่ทำงานชิมฟรี
เพื่อนที่ทำงานก็บอกว่า รสชาติใช้ได้ น่าจะลองขายดู
เราก็เลยทำเป็นรีวิวในFBแล้วtagเพื่อนที่เป็นคนชิม
ผลปรากฏว่า วันนั้น ได้รับ orderเริ่มต้นที่ 14 กล่อง
ด้วยความที่ยังไม่เคยทำขาย ก็งงๆกันว่าจะเริ่มต้นอะไรยังไง
วันนั้นเลิกงาน ฝ่ารถติดกลับบ้าน ไปซื้อกล่องแพคเกจ วัตถุดิบ
เริ่มทำกันตอนสามทุ่ม..กว่าจะได้นอนก็ประมาณ ตีสาม
วันรุ่งขึ้น เราจัดส่งแล้วก็ลงรุปใน FB ขอบคุณลูกค้า โดย tagชื่อลูกค้า ผลปรากฏว่าคนในตึกที่ทำงานเริ่มสนใจ orderเริ่มเพิ่มขึ้นเท่าตัว เราเริ่มลองเพิ่มเมนู topping จากเดิมที่มีแค่แฮม ลองทำหมูชาชู (หมูต้มซีอิ๊วแบบญี่ปุ่น) เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

2.ช่วง R&D
หลังจากเริ่มได้รับorderอย่างสม่ำเสมอ เริ่มได้รับคำติชมจากลูกค้า เราก็พบว่าลูกค้าแต่ละคนมีความต้องการที่หลากหลาย
บางคนต้องการคุมน้ำหนักจริงๆก็จะไม่ทานเส้นบะหมี่เลย
บางคนไม่ทานปูอัด บางคนเป็นอิสลาม ฯลฯ ทีนี้การแยกorderเริ่มยุ่งยากขึ้น
แต่เราก็ต้องทำตามความต้องการของลูกค้า รวมทั้งเริ่มมี เพื่อนของเพื่อน มาสั่งมากขึ้น
เราเริ่มคิดว่าจะทำยังไงให้สินค้าของเรา “be seen” แล้วก็แยกจัดส่งได้ง่ายขึ้น...
จึงเริ่มทำ สติ๊กเกอร์สินค้า และออกแบบ สติ๊กเกอร์ให้มีช่อง ติ๊กว่า กล่องนี้คือ orderอะไร แฮม หรือ หมูชาชู หรือ orderพิเศษ จุดนี้ก็เริ่มทำให้แพคของใส่ถุงง่ายขึ้น จัดส่งตามแต่ละชั้นในตึกง่ายขึ้น

(เบลอตามที่มีบางท่านสมาชิกแจ้งมานะคะ)
เริ่มมีลูกค้าถามว่า ทำอาหารอย่างอื่นด้วยไหม? เราเลยลองทำเมนูที่ทานกันที่บ้านแล้วรู้สึกว่าอร่อย เช่น แซลม่อนเทริยากิ มาขาย แล้วแต่จะมีคน order แต่ก็พบกว่า การทำสินค้าที่ต้องอุ่นร้อน จะมีข้อจำกัด และยุ่งยากกว่าการทำสลัดบะหมี่เย็น และ cost ที่สูงกว่าด้วย
ช่วงนี้เรายังคงupdate สินค้า ในโซเชียลเรื่อยๆนะคะ จนวันนึงคุณแม่เพื่อนสนใจสั่งสินค้าไปขายที่ร้านของตัวเอง ซึ่งเปิดเป็นร้านในหมู่บ้านจัดสรร เพื่อจัดส่งให้คนในหมู่บ้านช่วงวันเสาร์-อาทิตย์
3. เรียนรู้ และ เริ่มจะฝัน..
ยอมรับกว่าตอนนี้อยู่ในช่วงนี้ค่ะ หลักจากเริ่มทำมาตั้งแต่ต้นปี จนตอนนี้ order เริ่มอยู่ตัว เราเริ่มรู้ข้อจำกัดของตัวเอง กับข้อจำกัดในการทำธุรกิจของเรา ดังนี้
- เราสองคนกับสามีทำได้เต็มที่วันละประมาณไม่เกิน 50 กล่อง เนื่องจากเรามีงานประจำ กว่าจะเตรียมของ เริ่มแพค 50กล่องจะเป็นขีดจำกัดของเราในการคุมคุณภาพสินค้าให้ออกมาดี สะอาด อร่อย
- เราเริ่มมีวินัย ทำบัญชีรายรับรายจ่าย เมื่อรับเงินมากันส่วนหนึ่ง และซื้อของส่วนนึง กำไรที่ได้ ประมาณ 5 หลักต่อเดือนค่ะ
อยากให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆเช่นกัน พยายามคุมคุณภาพและรสชาติของสินค้า
-เราเริ่มมีความฝันเล็กๆค่ะ หลังจากเราได้ไปส่งร้านคุณแม่เพื่อนทุกช่วง เสาร์-อาทิตย์ เราก็เริ่มมองว่า ถ้าเราสามารถหาร้านcoffee shop ที่มีตู้แช่ ให้วางสินค้า น่าจะดีเนอะ มีของไปส่งทุกๆวัน มีorderการันตีที่แน่นอน แต่ตรงจุดนี้ยังเป็นแค่ความฝันค่ะ ยังพยายามหาช่องทางการต่อยอดสินค้าให้ไปสู่ตลาดอื่นๆอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยข้อจำกัด ที่เรายังทำงานประจำ และเราทำกันแค่สองคนกับสามีและอยากควบคุมคุณภาพ แต่อันนี้ก็เป็นความฝันเล็กๆ ที่หวังว่าสักวันจะทำให้สำเร็จค่ะ
มาถึงตรงนี้ หวังว่าประสบการณ์เราจะเป้นแรงบันดาลใจให้ท่านอื่นได้ลองทำตามความฝันตัวเองนะคะ

บางทีงานอดิเรก หรือความชอบ หรือสิ่งที่เราทำถนัด อาจจะสร้างรายได้เสริมให้กับเราได้นะคะ
ขอแค่มีความฝัน กับความขยันค่ะ
แชร์ประสบการณ์ เป็นมนุษย์เงินเดือนไปด้วย ทำอาหารญี่ปุ่นขายไปด้วย กำไร5หลัก ต่อเดือน
เลยได้แรงบันดาลใจที่จะแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้ท่านอื่นในการหารายได้เสริมนอกเหนือจากเงินเดือนที่ได้รับอยู่นะคะ
1.จุดเริ่มต้น
เรื่องมันเริ่มจากที่สามีเป็นคนชอบทำอาหารและเป็น Freelanceอยู่กับบ้าน
และมีอยู่เมนูหนึ่งที่สามีทำแล้วเรารู้สึกว่ามันรสชาติใช้ได้ น่าจะขายได้นะ เมนูนั้นคือ
สลัดญี่ปุ่น ใส่บะหมี่เย็น
ก็เลยเริ่มจากลองทำไปให้เพื่อนที่ทำงานชิมฟรี
เพื่อนที่ทำงานก็บอกว่า รสชาติใช้ได้ น่าจะลองขายดู
เราก็เลยทำเป็นรีวิวในFBแล้วtagเพื่อนที่เป็นคนชิม
ผลปรากฏว่า วันนั้น ได้รับ orderเริ่มต้นที่ 14 กล่อง
ด้วยความที่ยังไม่เคยทำขาย ก็งงๆกันว่าจะเริ่มต้นอะไรยังไง
วันนั้นเลิกงาน ฝ่ารถติดกลับบ้าน ไปซื้อกล่องแพคเกจ วัตถุดิบ
เริ่มทำกันตอนสามทุ่ม..กว่าจะได้นอนก็ประมาณ ตีสาม
วันรุ่งขึ้น เราจัดส่งแล้วก็ลงรุปใน FB ขอบคุณลูกค้า โดย tagชื่อลูกค้า ผลปรากฏว่าคนในตึกที่ทำงานเริ่มสนใจ orderเริ่มเพิ่มขึ้นเท่าตัว เราเริ่มลองเพิ่มเมนู topping จากเดิมที่มีแค่แฮม ลองทำหมูชาชู (หมูต้มซีอิ๊วแบบญี่ปุ่น) เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
หลังจากเริ่มได้รับorderอย่างสม่ำเสมอ เริ่มได้รับคำติชมจากลูกค้า เราก็พบว่าลูกค้าแต่ละคนมีความต้องการที่หลากหลาย
บางคนต้องการคุมน้ำหนักจริงๆก็จะไม่ทานเส้นบะหมี่เลย
บางคนไม่ทานปูอัด บางคนเป็นอิสลาม ฯลฯ ทีนี้การแยกorderเริ่มยุ่งยากขึ้น
แต่เราก็ต้องทำตามความต้องการของลูกค้า รวมทั้งเริ่มมี เพื่อนของเพื่อน มาสั่งมากขึ้น
เราเริ่มคิดว่าจะทำยังไงให้สินค้าของเรา “be seen” แล้วก็แยกจัดส่งได้ง่ายขึ้น...
จึงเริ่มทำ สติ๊กเกอร์สินค้า และออกแบบ สติ๊กเกอร์ให้มีช่อง ติ๊กว่า กล่องนี้คือ orderอะไร แฮม หรือ หมูชาชู หรือ orderพิเศษ จุดนี้ก็เริ่มทำให้แพคของใส่ถุงง่ายขึ้น จัดส่งตามแต่ละชั้นในตึกง่ายขึ้น
(เบลอตามที่มีบางท่านสมาชิกแจ้งมานะคะ)
เริ่มมีลูกค้าถามว่า ทำอาหารอย่างอื่นด้วยไหม? เราเลยลองทำเมนูที่ทานกันที่บ้านแล้วรู้สึกว่าอร่อย เช่น แซลม่อนเทริยากิ มาขาย แล้วแต่จะมีคน order แต่ก็พบกว่า การทำสินค้าที่ต้องอุ่นร้อน จะมีข้อจำกัด และยุ่งยากกว่าการทำสลัดบะหมี่เย็น และ cost ที่สูงกว่าด้วย
ช่วงนี้เรายังคงupdate สินค้า ในโซเชียลเรื่อยๆนะคะ จนวันนึงคุณแม่เพื่อนสนใจสั่งสินค้าไปขายที่ร้านของตัวเอง ซึ่งเปิดเป็นร้านในหมู่บ้านจัดสรร เพื่อจัดส่งให้คนในหมู่บ้านช่วงวันเสาร์-อาทิตย์
3. เรียนรู้ และ เริ่มจะฝัน..
ยอมรับกว่าตอนนี้อยู่ในช่วงนี้ค่ะ หลักจากเริ่มทำมาตั้งแต่ต้นปี จนตอนนี้ order เริ่มอยู่ตัว เราเริ่มรู้ข้อจำกัดของตัวเอง กับข้อจำกัดในการทำธุรกิจของเรา ดังนี้
- เราสองคนกับสามีทำได้เต็มที่วันละประมาณไม่เกิน 50 กล่อง เนื่องจากเรามีงานประจำ กว่าจะเตรียมของ เริ่มแพค 50กล่องจะเป็นขีดจำกัดของเราในการคุมคุณภาพสินค้าให้ออกมาดี สะอาด อร่อย
- เราเริ่มมีวินัย ทำบัญชีรายรับรายจ่าย เมื่อรับเงินมากันส่วนหนึ่ง และซื้อของส่วนนึง กำไรที่ได้ ประมาณ 5 หลักต่อเดือนค่ะ
อยากให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆเช่นกัน พยายามคุมคุณภาพและรสชาติของสินค้า
-เราเริ่มมีความฝันเล็กๆค่ะ หลังจากเราได้ไปส่งร้านคุณแม่เพื่อนทุกช่วง เสาร์-อาทิตย์ เราก็เริ่มมองว่า ถ้าเราสามารถหาร้านcoffee shop ที่มีตู้แช่ ให้วางสินค้า น่าจะดีเนอะ มีของไปส่งทุกๆวัน มีorderการันตีที่แน่นอน แต่ตรงจุดนี้ยังเป็นแค่ความฝันค่ะ ยังพยายามหาช่องทางการต่อยอดสินค้าให้ไปสู่ตลาดอื่นๆอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยข้อจำกัด ที่เรายังทำงานประจำ และเราทำกันแค่สองคนกับสามีและอยากควบคุมคุณภาพ แต่อันนี้ก็เป็นความฝันเล็กๆ ที่หวังว่าสักวันจะทำให้สำเร็จค่ะ
มาถึงตรงนี้ หวังว่าประสบการณ์เราจะเป้นแรงบันดาลใจให้ท่านอื่นได้ลองทำตามความฝันตัวเองนะคะ
บางทีงานอดิเรก หรือความชอบ หรือสิ่งที่เราทำถนัด อาจจะสร้างรายได้เสริมให้กับเราได้นะคะ
ขอแค่มีความฝัน กับความขยันค่ะ