(ช่วยแชร์ความคิดของคุณ) มีวิธีที่กองทัพที่มีจำนวนน้อยกว่าชนะทหารที่มีจำนวนมากกว่าไหมครับ?

ตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบันกำลังทหารล้วนมีทุกประเทศ (ยกเว้นบางประเทศ อย่าง นครรัฐวาติกัน นาอูรู เป็นต้น [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้)

จำนวนทหารแม้จะเป็นหนึ่งในปัจจัยหนึ่งในการพิชิตศึก แต่หาใช่ว่ากองทัพที่มีจำนวนมากจะเอาชนะได้เสมอไป ดั่งเช่น สงครามมาราธอน 12 กันยายน ปี 490 ก่อนคริสตกาล กองทัพเปอร์เซียนำโดย พระเจ้าดาริอุส กับนครรัฐกรีก โดยกองทัพเปอร์เซียมีจำนวนมากกว่าฝ่ายกรีกหลายเท่านัก แต่ทางกรีกอาศัยชัยภูมิที่แคบทหารม้าโอบตีตามกลยุทธ์แบบเปอร์เซียไม่ได้  พร้อมกลยุทธ์ที่เหนือชั้นกว่า ระเบียบวินัยทางกองทัพทำให้นครรัฐกรีกชนะ สามารถอ่านแบบละเอียดได้ตรงลิงค์นี้ครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ต่อมาเป็นการรบของเหล่าสปาร์ตา ถ้าใครเคยดูเรื่องสามร้อยคงจะรู้จักเป็นอย่างดี พวกเขาใช้ชัยภูมิที่ได้เปรียบเปอร์เซีย โดยใช้ช่องแคบทำให้ทหารที่มีจำนวนมากไม่สามารถถาโถมเข้ามาได้ทีเดียว แม้ตอนสุดท้ายจะถูกฆ่าตายหมดก็ตาม แต่นับว่าเป็นการต่อสู้ที่เยี่ยมจนหลายๆ คนจดจำ เหล่าสปาร์ตา 300 คน
สารคดีผู้กล้าแห่งทุ่งมาราธอน
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
สารคดีเกี่ยวกับศึกในหนัง 300 ในประวัติศาสตร์จริง
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


ในสมัย เฟรเดอริก มหาราช เป็นนักกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม สามารถชนะกองทัพออสเตรียที่มีจำนวนเยอะกว่าอย่างเทียบไม่ติดได้ ด้วยจำวนทหารปรัสเซีย เพียง 36,000 ต้องสู้กับกองทัพ 80,000 เยอะกว่าถึง 4,4000 !!! แต่เฟรเดอริกก็ชนะได้ อันนี้ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากการที่ทหารปรัสเซียได้รับการฝึกหนักมากๆ ส่วนรายละเอียดถ้าใครอยากรู้ กดตรงนี้นะครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

นโปเลียน เองก็ใช่ย่อยนะครับ อย่าง ยุทธการเอาสเทอร์ลิทซ์ (Battle of Austerlitz) ทัพฝรั่งเศส 7,2000 ชนะ ทัพผสม ออสเตรียรัสเซียจำนวน 85000 โดยใช้เทคนิคเดียวกันกับ เฟรเดอริก

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
อันนี้เป็นรายการอธิบายแผนการศึกใน ยุทธการเอาสเทอร์ลิทซ์
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


ความจริงในยุทธการที่วอเตอร์ลู (WATERLOO) ถ้าหากทัพปรัสเซียถูกสกัด ละลายทัพ หรือมาช้าประมาณสัก 1 หรือ 2 ชั่วโมงนี่ ดยุคเวลลิงตัน พร้อมเหล่าผู้ดีอังกฤษจิบน้ำชา ได้สิ้นชื่อแน่ๆ (ตรงนี้เขียนเล่นๆ สนุกๆ อย่าซีเรียจนะครับ) เพราะจุดเปลี่ยนก็คือ การมาของกองทัพปรัสเซียที่มาอย่างกะทันหัน ผิดถูกช่วยชี้แจงด้วยนะครับ

สงครามอาณานิคมในอาฟริตา ระหว่างอังกฤษ กับ ชนเผ่าซูลู ก็ใช่ย่อย แม้ว่าศึกใน ไอแซนด์ลวานา แพ้ยับ อยากทราบรายละเอียดคลิกตรงนี้นะครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่หารู้ไหมว่า กองทัพซูลูไม่ได้โจมตีแค่ใน ไอแซนด์ลวานา หอรกครับ แต่พวกเขาได้โจมตีที่ สถานีมิชชั่นนารีที่ร็อค ดริฟท์ โดยกองทัพอังกฤษที่นั้นมีเพียง 150 คน สามารถต้านทานนักรบซูลูเกือบสามพันคนได้!
วิดีโอ หนัง ซูลู ทั้ง ศึกใน ไอแซนด์ลวานา กับ ร็อค ดริฟท์
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


แต่ขอบอกไว้ก่อนนะครับว่า แม้ประสิทธิภาพจะมีส่วนสำคัญในชัยชนะ แต่ถ้าหากจำนวนเยอะเกินไปก็ไม่ไหวเหมือนกัน ดั่งเช่นสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพเยอรมันมีระเบียบวินัย อาวุธทันสมัย กลับพ่ายแพ้ต่อการบุกอย่างต่อเนื่องแบบคลื่นมนุษย์ของทหารโซเวียตที่ถูกเกณฑ์(บังคับ)จากทุกส่วนของรัสเซีย และไซบีเรีย โดยไม่มีอาวุธครบทุกคนด้วยซ้ำ สงสัยจริงๆ ว่า ผู้นำโซเวียต ถ้าเป็น ลีออน ทรอตสกี้ (คนที่หนีไปอยู่แม็กซิโกแล้วถูกตามเก็บน่ะ) แทนสตาลินนี้คิดว่าจะใช้กลยุทธ์นี่รึเปล่า เพราะ คนโหดๆ แบบสตาลิน ก็คงเอาชนะเยอรมันไม่ได้ ขนาดเลนินถึงกับเขียนจดหมายบอกเลยว่า ลนินกล่าวว่า เขามี “อำนาจล้นเหลือที่รวมอยู่ในมือของเขา” และแนะนำให้ “สหายจงคิดหาวิธีทำให้สตาลินพ้นจากตำแหน่งนั้น” ภรรยาของเลนินได้ค้นพบงานชิ้นนี้ในห้องทำงานของเลนิน และอ่านให้คณะกรรมการกลางของพรรคฟัง ส่วนหนึ่งของคณะกรรมการฟัง เชื่อ แต่ไม่ได้ซึมซับคำพูดเหล่านี้เอาไว้ ทำให้การวิจารณ์ภายในพรรคครั้งนี้ ไม่ได้เปิดเผยออกมากว้างขวางนัก อ้างอิงจาก วิกิพีเดียไทย https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B9%8C_%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99

ขอใส่เพลงหน่อยนะครับ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 19
ในยุทธการเฝยสุ่ย เซี่ยอันใช้ทัพ80000เอาชนะทัพ900000 ของฝูเจียนอย่างราบคาบ

ศึกลำน้ำเลือด ยุทธการแห่งเฝยสุ่ย
กรกฎาคม 25, 2012 puma  2 Comments ประวัติศาสตร์/สังคม, ประวัติศาสตร์จีน, ศึกลำน้ำเลือด, เฝยสุ่ย
ในการทำสงครามนั้น ฝ่ายที่มีกำลังทหารเข้มแข็งกว่า ใช่ว่าจะต้องได้รับชัยชนะเสมอไป ปัจจัยที่กำหนดชัยชนะและความพ่ายแพ้ บางครั้งอาจขึ้นกับการตัดสินใจเพียงชั่วครั้งเดียวของผู้นำทัพ และหลายครั้งที่ความปราชัยเพียงครั้งเดียวก็ส่งผลให้อาณาจักรที่กำลังรุ่งโรจน์เข้าสู่ความล่มสลายได้ ดังเช่นเรื่องราวต่อไปนี้หลังการล่มสลายของราชวงศ์จิ้นตะวันตกที่สุมาเอี๋ยน หลานชายของสุมาอี้แห่งยุคสามก๊กได้ก่อตั้งขึ้น ลูกหลานราชวงศ์จิ้นได้อพยพลงใต้ไปตั้งราชธานีใหม่ที่เมืองเจี้ยนคัง แต่ก็หมดอำนาจในการควบคุมดินแดนทางเหนือโดยสิ้นเชิง ทำให้ชนเผ่าต่างๆห้าชนเผ่า คือ เผ่าเจี๋ย เผ่าตี เผ่าซงหนู เผ่าเชียง และเผ่าเซียนเป่ย เข้ายึดครองดินแดนทางเหนือและแบ่งเป็นอาณาจักรต่าง ๆ โดยเรียกยุคนี้ว่า ยุคห้าชนเผ่าสิบหกแคว้น


(แผนที่อาณาจักรเฉียนฉินกับราชวงศ์จิ้นตะวันออก)

ต่อมา ฝูเจียน ประมุขชนเผ่าตี ผู้ปกครองแคว้นฉิน หรือที่เรียกกันในยุคหลังว่า แคว้นเฉียนฉิน ได้ยกทัพเข้าตีแว่นแคว้นทางเหนือและรวมแผ่นดินทั้งหมดไว้ได้สำเร็จ จากนั้นจึงคิดยกทัพลงใต้เพื่อยึดครองดินแดนของราชวงศ์จิ้นและรวมแผ่นดินจีนเข้าด้วยกัน ทว่าหวางเหมิ่ง อัครเสนาบดีคู่พระทัยทัดทานไว้ โดยให้เหตุผลว่า แคว้นจิ้นยังเข้มแข็งเกินกว่าจะตีได้ สมควรรอเวลาจนกว่าสถานการณ์จะเป็นประโยชน์มากกว่านี้ ฉินอ๋องฝูเจียนจึงต้องยุติแผนการบุกเอาไว้

หลายปีต่อมา หวางเหมิ่งล้มป่วยสิ้นชีวิตลง ฝูเจียนก็เริ่มดำริถึงแผนการบุกเมืองจิ้นอีกครั้ง โดยใน ปี ค.ศ. 383 ฉินอ๋องฝูเจียนได้ทรงมีพระบัญชาให้ระดมทัพใหญ่จากทุกชนเผ่า ได้ไพร่พลรวมทั้งสิ้นเก้าแสนนายเคลื่อนทัพลงสู่ภาคใต้ โดยทรงให้ พระอนุชานามว่า ฝูหยง ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่และราชเลาขานุการของพระองค์คุมทัพหน้า

ข่าวทัพเฉียนฉินพร้อมรี้พลมหาศาลยกทัพลงใต้ สร้างความตื่นตระหนกให้แคว้นจิ้นเป็นอันมาก จิ้นเสี้ยวอู่ตี้ฮ่องเต้แห่งแคว้นจิ้นทรงให้มหาเสนาบดีเซี่ยอันเป็นผู้บัญชาการใหญ่เพื่อรับศึกในครั้งนี้


(ภาพวาดโบราณยุคราชวงศ์จิ้นตะวันออก)

เซี่ยอันได้เสริมแนวป้องกันของราชธานีเจี้ยนคังอย่างรัดกุม ทั้งยังส่งทหารห้าพันนายไปช่วยรักษาเมืองโสว้หยาง ชัยภูมิสำคัญ และให้เซี่ยสือกับเซี่ยเสวียน น้องชายทั้งสองของตนนำทหารแปดหมื่นตั้งรับทัพใหญ่ของเฉียนฉิน ทว่าก่อนกำลังหนุนของแคว้นจิ้นจะไปถึง ฝูหยง แม่ทัพหน้าของเฉียนฉินก็ยึดเมืองโส้วหยางได้ ทัพจิ้นจึงล่าถอยไปยังอำเภอเสียสือ ฉินอ๋องฝูเจียนทรงให้แม่ทัพเหลียงเฉิงนำกำลังติดตามไปล้อมเอาไว้ ทว่าทัพของเหลียงเฉิงกลับต้องกลศึกกระหนาบของฝ่ายจิ้น จนแตกพ่าย เหลียงเฉิงพร้อมทหาร 15,000 นาย เสียชีวิตในที่รบ

แม้จะพ่ายแพ้ในการรบที่เสียสือ กระนั้นฉินอ๋องฝูเจียนยังมั่นพระทัยว่าจะเอาชนะศึกได้ ด้วยทรงมีรี้พลมากกว่าอีกฝ่ายนับสิบเท่า จึงทรงให้ยกพลทั้งหมดเข้าสู่แม่น้ำเฝยสุ่ยเพื่อเตรียมทำศึกแตกหัก

เซี่ยสือเห็นว่า แม้ว่าทัพเฉียนฉินจะมีรี้พลมหาศาล แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชนกลุ่มน้อยจากแคว้นที่ล่มสลายและถูกบังคับเกณฑ์เอามาโดยไม่เต็มใจ ทั้งฝูเจียนประมุขเฉียนฉินเองก็ยังทะนงตน ด้วยเชื่อว่ามีกำลังรบมากกว่าหลายเท่า เซี่ยสือจึงคิดใช้แผนลวงโดยลอบส่งคนติดต่อกับ จูซวี่ไส้ศึกฝ่ายตนที่แฝงอยู่ในกองทัพเฉียนฉิน จากนั้นจึงนำทัพเข้าประชิดริมน้ำฝั่งทางตะวันออกและส่งสาสน์ท้ารบไปยังฝูเจียน โดยขอให้ฝูเจียนถอยทัพห่างจากแม่น้ำพอให้กองทัพจิ้นยกพลขึ้นฝั่งได้ จากนั้นจึงค่อยรบกันให้เห็นฝีมือ

ฝูเจียนเมื่อได้รับสาส์นก็หารือกับฝูหยงผู้อนุชา และลงความเห็นต้องกันว่าจะแกล้งยอมถอยทัพตามที่ฝ่ายจิ้นเสนอมา จากนั้นในระหว่างที่ทัพจิ้นเคลื่อนพลมาถึงกลางแม่น้ำ ก็จะระดมกำลังเข้าโจมตีให้แตกพ่าย จึงตอบตกลงไปที่ฝ่ายจิ้นร้องขอ


(ยุทธการที่เฝยสุ่ย)

ทว่าในขณะที่ทัพใหญ่ของเฉียนฉินล่าถอยจากริมแม่น้ำเฝยนั้นเอง จูซวี่ไส้ศึกของฝ่ายจิ้นที่แฝงตัวอยู่ในแนวหลังของกองทัพก็ให้คนของตนพากันร้องตะโกนว่า “พวกเราแพ้แล้ว ทหารจิ้นกำลังบุกมาแล้ว”

ทหารที่อยู่ในแนวหลังได้ยินดังนั้นก็สำคัญว่าจริง และเนื่องด้วยส่วนใหญ่ก็ไม่มีแก่ใจจะรบอยู่แล้วจึงพากันแตกตื่นถอยหนี เมื่อเห็นดังนั้น ฝูหยง แม่ทัพหน้าของเฉียนฉินจึงชักม้านำไพร่พลไปสกัดพวกทหารที่ล่าถอย ทว่ายามนั้นไพร่พลวุ่นวายแตกตื่นจนคุมไม่ติด ทำให้เกิดอลหม่านไปทั้งกองทัพ

เมื่อเซี่ยสือเห็นข้าศึกกำลังปั่นป่วนแล้ว ก็ให้เซี่ยเสียน ผู้เป็นน้องชายนำทหารม้า 8,000 นายบุกขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็วโดยให้ทหารราบทั้งหมดเคลื่อนพลตามมาติดๆ กองทัพจิ้นเข้าโจมตีทัพเฉียนฉินที่กำลังสันสบอลหม่านและสังหารทหารฉินล้มตายนับไม่ถ้วน แม้แต่ฝูหยงแม่ทัพหน้าก็ถูกสังหารในสนามรบด้วย ส่วนฉินอ๋องฝูเจียนนั้นเมื่อทรงเห็นพระอนุชาถูกสังหารก็ทรงตกพระทัยจนถึงกับทิ้งทหาร ขึ้นม้าเสด็จหนีเอาตัวรอด แต่ก็ทรงถูกธนูยิงจนได้รับบาดเจ็บ สุดท้ายกองทัพเฉียนฉินก็แตกพ่ายยับเยิน


(กองทัพจิ้นโจมตีทัพเฉียนฉินแตกพ่าย)

ส่วนฝูเจียนนั้นแม้จะเสด็จหนีรอดกลับไปได้ แต่รี้พลของพระองค์ก็ล้มตายและสูญหายไปเกือบเจ็ดแสนนาย เหลือรอดกลับไปไม่ถึงสองแสน นับเป็นความปราชัยครั้งใหญ่ของเฉียนฉิน จากนั้นใน ปี ค.ศ. 385 ชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ในอาณาจักรก็ก่อกบฏ ทำให้อาณาจักรเฉียนฉินถูกแบ่งแยกอย่างรวดเร็ว ฉินอ๋องฝูเจียนเองก็ถูกปลงพระชนม์ด้วยน้ำมือของแม่ทัพเหยาฉาง ชาวเผ่าเซียง ที่แยกตัวไปตั้งแคว้นซีฉิน จากนั้นใน ปี ค.ศ. 394 อาณาจักรเฉียนฉินก็ล่มสลาย

หลังการล่มสลายของอาณาจักรเฉียนฉิน ประมุขแห่งชนเผ่าเซียนเป่ยกลุ่มหนึ่ง นามว่า โทปากุย ได้รวบรวมไพร่พลเข้าผนวกดินแดนต่าง ๆ ทางเหนือและในปี ค.ศ. 420 ก็ตั้งราชวงศ์เป่ยเว่ยขึ้นปกครองดินแดนทางเหนือของจีนแทนที่อาณาจักรเฉียนฉิน จากนั้นจีนก็เข้าสู่ยุคราชวงศ์เหนือใต้

ที่มาจาก komodo.com

http://www.komkid.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94-%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%AB/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่