เพื่อนๆเรามีเรื่องมาเล่าให้ฟังเป็นเรื่องของเราเอง เป็นเรื่องราวที่เราอยากจดจำมันไว้ หากใครมีเรื่องเล่าให้เราฟังเม้นทิ้งไว้ได้นะ เราตามอ่านทุกอัน_
>เรื่องมีอยู๋ว่า<
“เจ้ๆ เพื่อนผมเขาอยากได้ facebook เจ้น่ะ” เสียงน้องชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับฉัน แต่เราค่อยข้างสนิทกันมาก ฉันทำหน้างงเล็กน้อยแล้วหันไปทางคนที่น้องชายฉันบอก
“อยากได้หรอ” ฉันถามเด็กคนนั้น เด็กคนนั้นไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มให้ฉันเท่านั้น
“sobad” ฉันบอกชื่อเฟสของฉันไป (sobad เป็นชื่อสมมติขึ้นนะคะ)
หลายวันต่อมาก็มีชื่อน้องคนหนึ่งแอดเข้ามาเป็นเพื่อนใน facebook ของฉัน ซึ่งฉันก็รู้ดีว่าเป็นเด็กคนนั้นแน่นอนเพราะมีรูปโปรไฟล์เป็นเครื่องยืนยัน ฉันรับแอดทันที แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรก็แค่น้อง
“เจ้ๆ เพื่อนผมมันแอดเจ้เป็นเพื่อนแล้วใช่ป่ะ” น้องชายคนเดิมของฉันถาม ว่าแต่มันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ะเนี่ย
“อืม ทำไมหรอ” ฉันตอบสั้นๆพร้อมกับถามกลับไปด้วยความสงสัยว่าทำไมมันสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ
“นี้เจ้ รู้ไหมว่ากว่ามันจะหาเฟสเจ้เจอมันเล่นนั่งหาทั้งวันเลยนะ กว่าจะเจอน่ะ” ก็น่าจะหาไม่เจออยู่หรอกก็วันที่ฉันบอกชื่อเฟส น้องเขาเอาแต่ยิ้มไม่ได้ใช้อะไรจดในสิ่งที่ฉันบอกเลย หาเจอสิแปลก
“แล้วจะตั้งใจหาอะไรขนาดนั้น” ฉันถามด้วยความสงสัยเพิ่มขึ้น แต่น้องตัวดีกลับไม่ตอบอะไรแล้วก็เดินจากไปเฉยๆซะงั้น แล้วอย่างงี้ฉันจะรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าทำไม
ขณะที่ฉันกำลังนั่งเล่นเฟส หาข้อมูลทำงานไปด้วยแล้วก็ฟังเพลง แหม! คิดล่ะสิว่าฉันโกหกหรือเปล่า บอกเลยนี่เรื่องจริงล้วนๆไม่นานนักเด็กคนนั้นก็ทักเฟสมาหาฉัน
“ทักๆๆ ครับ” ประโยคแรกที่ทักเข้ามา
“ทำไรยุหรอครับ” ไม่กี่วินาทีประโยคที่สองก็ตามมา
“จร้า พี่ทำงาน เรามีไรเปล่า” ฉันตอบกลับไป
“เปล่าครับ แค่อยากทักไปคุยด้วยเฉยๆ” ประโยคที่สาม ทำฉันสงสัยเล็กน้อย ก็จะไม่ให้สงสัยได้ไงล่ะค่ะ ตั้งแต่มอหนึ่งถึงมอสามน้องเค้าไม่เคยคิดแม้จะทักทายฉันด้วยซ้ำฉันรู้เพียงว่าน้องคนนี้เป็นเพื่อนกับน้องชายของฉันน้องเค้าชื่อ ต้น ที่จริงน้องเขาเป็นหนุ่มฮอตของโรงเรียนเลยล่ะ ส่วนฉันก็เป็นนักเรียนเรียนดีที่มีคนรู้จักในนามของเด็กเรียน
“แล้วเราทำไรอยู่ล่ะ” ฉันถามน้องเขากลับบ้าง
“นั่งเล่นครับ” น้องเขาตอบกลับมาสั้นๆ
“ออ จร้างั้นพี่ทำงานก่อนนะ” ฉันรีบตัดบทสนทนา เนื่องจากว่าต้องรีบหาข้อมูลและกลับบ้าน
“ครับ”
หลังจากวันนั้นเราก็แชทคุยกันบ่อยมากขึ้น มีมาคอมเม้นกันบ้างบางที จน.....สุดท้ายเขาก็ขอเบอร์โทรศัพท์ฉัน ตื่นเต้นมากๆเลยล่ะค่ะ ก็แหม! หนุ่มฮอตของโรงเรียนขอเบอร์ก็ต้องมีบ้างจริงไหมล่ะ
“ทักครับ พี่ทำไรอยู่อ่ะ”
“นั่งทำงาน ฟังเพลงเหมือนเดิมแหละ” ฉันตอบกลับเหมือนอย่างที่เคยตอบเป็นประจำเวลาที่อยู่โรงเรียนหลังเลิกเรียนแล้ว
“อยู่ตรงไหนเดียวไปหา”
“ใต้อาคาร 1 จะมาหรอฝากซื้อน้ำหน่อยดิ หิวน้ำมากเลย” ฉันถือโอกาสนี้ใช้น้องเค้าซื้อน้ำเข้ามาให้ ที่จริงออกไปซื้อเองก็ได้ แต่ด้วยความขี้เกียจไงเลยใช้คนอื่น
“ได้ครับ รอแป๊บนะ” อั๊ยย่ะ น้องเค้าใจดีมากอ่ะ สบายแล้วเราไม่ต้องออกไปซื้อ โฮะๆๆ
ไม่นานนักเด็กผู้ชายคนนั้นก็ขี่รถเข้ามาพร้อมกับน้ำโคกสองขวด ขวดหนึ่งเขายื่นให้ฉัน ฉันถามเขาไปว่า ‘เท่าไหร่’ น้องเค้าบอกว่า ‘ไม่เป็นไรครับซื้อมาให้’ เป็นไงล่ะไม่ต้องออกไปซื้อเองแถมได้กินของฟรีโชคดีจริงๆเลยฉัน
..........................
หลังจากนั้นน้องเค้าก็โทรมาหาฉันบ่อยๆ เติมตังค์โทรศัพท์ให้ด้วย บางวันฉันก็ได้น้ำโคกกลับบ้านไปด้วย เราสนิทกันมากขึ้น จนคนที่บ้านฉันเริ่มจะไม่ปลื้มล่ะ ก็ฉันคุยกับน้องเค้ามาจะสองเดือนแล้วนี้เนอะ
“ช่วงนี้ใครโทรมาหา” แม่ถามฉัน
“รุ่นน้องที่โรงเรียนค่ะ”
“ถ้าคิดจะคบกับเด็กคิดดีดีก่อนะลูก คบกับเด็กเราต้องเอาใจเขา คบกับผู้ใหญ่กว่าเขาจะคอยเอาใจเรา แม่ว่าอย่าให้ความหวังน้องเค้าเลย บอกเขาไม่ต้องเติมตังค์โทรศัพท์ให้หรอก เปลืองตังค์พ่อแม่ แม่ไม่อยากให้เขาคิดว่าเราไปหรอกให้เขาเติมตังค์ให้ และที่สำคัญตั้งใจเรียนก่อนดีไหม อย่าพึ่งคิดเรื่องความรักเลย” ฉันนั่งฟังที่แม่บอกอย่างตั้งใจ ถามว่าทำไมแม่รู้เรื่องเติมตังค์น่ะหรอที่จริงแม่รู้เกือบทุกอย่างแหละเพราะฉันชอบเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี่ให้ท่านฟังบ่อยๆ มันคงถึงเวลาที่ฉันต้องตัดสินใจแล้วสินะ เฮ้ออ!!!
ตู๊ดดด ตู๊ดดด ตู๊ดดด
“ฮะโหล”
“ฮะโหลครับ ว่าไงครับพี่”
“คือพี่มีไรจะคุยด้วยหน่อย อยู่กะใครเปล่า” ฉันถามเพื่อความแน่ใจว่าเขาอยู่คนเดียว เรื่องนี้ฉันไม่อยากให้รู้กว่าว่าน้องเค้าจะดูไม่ดีในนามของหนุ่มฮอตที่กำลังจะถูกปฏิเสธความรัก
“ผมอยู่คนเดียวครับ พูดมาได้เลย”
“เออ...คือ...คือว่า เราคิดยังไงกับพี่หรอ” ฉันตัดสินใจถามไปตรงๆ
“ก็...รักแล้วอ่ะพี่” เป็นคำตอบที่ทำให้รู้สึกใจสั่นๆเล็กน้อย ฉันจะทำร้ายน้องเค้าเกินไปหรือเปล่านะ
“รักเลยหรอ ไวไปเปล่า” ฉันถามกลับด้วยเสียงเบาๆ
“ไม่รู้ดิ แต่ผมว่าผมรักไปแล้วอ่ะ” ทำไงดีฉัน น้องรักแต่พี่กำลังจะบอกให้น้องหยุด ตายๆ ตายแน่ ทำร้ายน้องแน่ๆเลย
“คือ..ว่า..แม่พี่เค้ายังไม่อยากให้มีแฟนตอนนี้น่ะ” เอาแล้วไง พูดไปแล้ว ทำไงดี น้องเค้าจะรู้สึกยังไงเนี่ย
“......” น้องเขาเงียบไปสักพัก แล้วพูดขึ้นมาว่า
“ไม่เป็นไรพี่ ผมรอได้ รอวันที่พี่พร้อมจะเป็นแฟนกับผมอะ” โห นี่น้องเอาจริงหรอ พี่

โครตรู้สึกดีเลยว่ะมีคนรอด้วย แต่ก็รู้สึกแย่เหมือนกันนะที่ต้องทำร้ายน้อง
“แต่พี่ว่า ถ้าเราเจอคนที่ใช่กว่าพี่ เราก็ควรที่จะลองคบกับเขาดูก่อนได้นะ เผื่อว่าเขาจะดีกว่าและใช่กว่าพี่ไง พี่ไม่อยากรั้งเราไว้กับพี่หรอก มันเป็นการทำร้ายเราเกินไป” นางเอกไหมล่ะ ไม่อยากรั้งเธอไว้ ใจจริงๆก็อยากให้เขารอเรานั้นแหละ ^_^
“ผมจะรอพี่ จบมอหกแล้วแม่พี่คงไม่ห้ามหรอกใช่ไหม” โอ๊ยน้องเอ้ย ใจพี่เต้นรัวๆแล้วเนี่ย
“คงไม่แล้วมั้ง จบมอหกแล้วคงห้ามพี่ไม่ได้หรอก” นั่นไงฉัน ได้โอกาสแล้ว โฮะๆๆๆ ฉันคิดว่าตอนนี้น้องเขาก็คงยิ้มอยู่ล่ะมั้งไม่เห็นพูดอะไรกลับมาเลย ตัวฉันเองก็ยิ้มหยาดเยิ้มอยู่เหมือนกัน
“งั้นแค่นี้นะ บายจ๊ะ” ฉันตัดบทแล้วรีบวางสายไปทันที
..................................
วันนี้คุณครูนัดพวกเราทุกคนให้มาที่ภูเขาแห่งหนึ่งใกล้ๆกับโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนทุกคนไปช่วยชาวบ้านทำทางกันไฟ (ทางกันไฟ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แนวทางป้องกันไฟป่า นิยมทำกันเพื่อไม่ให้ไฟป่ามันลุกลามได้ไว) และว่านเมล็ดพันธุ์พืชให้ทั่วทั้งภูเขา บางห้องก็ไปปลูกต้นไม้ เราปลูกกันบนภูเขาให้ต้นไม้เจริญเติบโตด้วยตัวมันเอง ครูก็จะเลือกต้นไม้มาให้ เลือกแบบที่โตง่ายและทนต่อสภาพแวดล้อม เดินกันทั้งหมดภูเขาสามลูกต่อกัน ภูเขาลูกสุดท้ายที่ไปเป็นภูเขาที่สูงที่สุดของจังหวัด ทางที่ขึ้นไปของภูเขาลูกนี้มีความสูงและชันเป็นอย่างมาก แต่ครูบอกเราทุกคนว่าพอขึ้นไปแล้วรับรองไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนดังนั้นนักเรียนที่ไปจึงเป็นทุกระดับชั้น ยกเว้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพราะว่าเด็กเกินไป กว่าจะเดินไม่ไหว ทุกคนที่ไปจะต้องมีน้ำดื่มคนละขวดแต่รุ่นพี่อย่างฉันซึ่งอยู่มอสี่ จะต้องถือน้ำเผื่อคุณครูและรุ่นน้องด้วย รุ่นพี่มอห้าถือพร้าไว้ตัดเถาวัลย์ที่ไม่เป็นประโยชน์ทิ้ง มอหกถือไม้กวาดทำแนวป้องกันไฟป่า ส่วนเด็กๆมอสามและมอสองปลูกต้นไม้ระว่างทาง ระยะทางที่เดินค่อยข้างไกลเราทุกคนก็เลยช่วยกันไม่เป็นระบบอย่างที่ครูวางไว้ แต่เราก็ได้ช่วยเหลือกันรุ่นน้องช่วยรุ่นพี่รุ่นพี่ช่วยรุ่นน้อง มันช่างเป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจมาก
ฉันนี่สิเจอปัญหาตอนขึ้นไปบนภูเขาลูกสุดท้ายที่ว่าสูงที่สุดในจังหวัด เพื่อนที่มาด้วยกันทิ้งให้ฉันถือน้ำอยู่คนเดียวตั้งหกขวด แถมในกระเป๋าฉันอีกสองขวด ส่วนตัวขอพวกมันขึ้นไปก่อน ทิ้งให้ฉันอยู่แค่คนเดียวทั้งเหนื่อยและหนักมากฉันตัดสินใจนั่งพักระหว่างทางที่ขึ้นไป บอกเลยว่าทางชันสุดๆ ฉันพึ่งมาถึงครึ่งทางเอง ไม่รู้จะขึ้นไปไหวไหม
“อ้าวเจ้ มานั่งไรตรงนี้ ไม่เดินต่อล่ะ” ไอ้น้องคนเดิมนั้นแหละค่ะที่กำลังถามฉันตอนนี้ แต่ที่เพิ่มเติมคงเป็นเด็กผู้ชายคนที่บอกว่ารักฉันคนนั้นที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่ข้างๆน้องชายของฉัน ฉันแทบจะไม่ได้คุยกับเขาเลยตั้งแต่วันที่ฉันบอกเขาไปวันนั้น เขาปฏิบัติตามที่ฉันบอกอย่างเคร่งขัดมากจนฉันใจหาย เขาไม่โทรหา ไม่เติมตังค์ให้ ฉันไม่มีน้ำโคกกลับบ้านเหมือนอย่างเคย เราคุยกันแค่ใน facebook เท่านั้น ถึงฉันจะรู้สึกดีมากๆแต่ฉันก็ไม่ให้ความหวังน้องเค้าต่อหรอกนะคะ บอกเลย นางเอกป่ะล่ะ ฮ่าๆ ภูมิใจเล็กน้อย
“เหนื่อยอ่ะ ขึ้นไปก่อนเลย” ฉันตอบกลับน้องชายของฉันตามความจริงพร้อมกับบอกว่าให้ไปก่อน
“งั้นไปก่อนนะเจ้ รีบตามมาล่ะ” พอพูดจบมันก็รีบวิ่งขึ้นไป มันไม่เหนื่อยมากเลยหรอ โห น้องฉันแข็งแรงจริงๆ แต่อีกคนกลับไม่ไปด้วย เดินเข้ามานั่งข้างข้างแล้วพูดว่า
“เดียวผมนั่งเป็นเพื่อนนะพี่” ฉันมองไปทางคนพูดเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า
“อืม”
เวลาผ่านไปไม่ถึง 5 นาที เขาลุกขึ้นแล้วบอกว่า
“ป่ะพี่ ไปได้แล้ว เดียวไม่ทันคนอื่นนะ” เขาพูดพร้อมกับยิ้มให้ฉัน
“ไม่ไหวหรอก ขึ้นไปก่อนเลย” ฉันตอบเขาไปเพราะว่าคิดว่าคงเดินขึ้นไปพร้อมเขาในเส้นทางชันแบบนั้นไม่ไหวแน่ๆ ก็ทั้งน้ำที่อยู่ในกระเป๋า ทั้งน้ำที่อยู่ในมือ ไม่ไหวหรอก ที่สำคัญเด็กคนนี้เป็นถึงนักกีฬากีฑาของโรงเรียนเชียวนะฉันเดินไม่ทันเขาแน่ๆ (เขาไม่ใช่แค่หนุ่มฮอตธรรมดาแต่เป็นนักกีฬาด้วยนะคะ ไม่ได้หล่ออย่างเดียวแต่มีความสามารถด้วย)
“ไหวสิ ลองดู” เขาก็ยังพยายามพูดให้ฉันเดินขึ้นไปพร้อมเขาอยู่ดี
“ไม่ไหวจริงๆ จะลากขึ้นไปรึไง” ฉันพูดประชดเขาไปนิดหน่อยพร้อมกับทำหน้าตากวนๆ
“อืม” เป็นคำตอบสั้นๆที่ฉันเองแทบไม่เชื่อหูของตัวเองว่าจะได้ยินคำนี้ นี่เด็กคนนี้บอกว่าจะลากฉันไปด้วยหรอ เขาพูดเล่นหรือเปล่านะ ในขณะที่ฉันกำลังอึ่งในคำตอบ สมองมันก็คิดอะไรแผงๆออกมา เอาสิจะลากฉันไปด้วยจริงหรอ ฉันยื่นมือไปหาเขาแล้วบอกว่า
“อืม...” เป็นเชิงบอกว่าถ้ากล้าจับมือลากฉันขึ้นไปก็เอาดิ เขาจับมือฉันแล้วดึงขึ้นไปเคียงข้างเขา เราจับมือกันเดินขึ้นไปบนทางอันลาดชัน ฉันทั้งตกใจและเหนื่อย ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะกล้าจับมือฉันให้เดินไปพร้อมกับเขาฉันหยุดเดินเขาก็จะดึงฉันขึ้นไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจับมือฉันไว้แน่นไม่ยอมปล่อยจนถึงยอดเขา ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่ไม่ทิ้งฉันเหมือนกับคนอื่นๆในตอนนั้น
“ขอบคุณนะ” ฉันปล่อยมือจากเขาหลังจากที่พูดขอบคุณจบและเดินไปหากลุ่มเพื่อนๆมอเดียวกัน เพื่อที่คนอื่นจะไม่สงสัย มีเพียงเพื่อนของเขาเท่านั้นที่เห็นเราขึ้นมาถึงพร้อมกัน
ในตอนนั้นฉันคิดว่าถึงแม้ว่าแม่จะห้ามให้เราคบกัน แต่ฉันจะขอขัดคำสั่งแอบคบกับรุ่นน้องคนนี้ น้องคนนี้ทำให้ฉันประทับใจในตัวเขามาก รู้สึกดีมาก ชอบมาก แต่ความผิดหวังก็มาเยือนเมื่อฉันรู้ว่าเขามีแฟนแล้วหลังจากวันนั้นมาสามวัน (ฉันใช้เวลาคิดตั้งสามวันที่จะขัดคำสั่งของแม่) น้องชายของฉันบอกว่า
‘มันมีแฟนแล้วเจ้ ตอนที่มันจีบเจ้มันก็คุยกับเขาอยู่ พึ่งมาเป็นแฟนกันเมื่อไม่นานนี่เอง’ ฉันได้แต่คิดในใจว่า คงเป็นแฟนกันตอนที่ฉันบอกเขาว่าให้ลองคบหาคนอื่นดูเผื่อว่าจะใช่กว่าล่ะมั้ง แต่ฉันก็ไม่เสียใจหรอกนะที่ฉันอาจจะรู้สึกช้าไป เพราะถ้าเขารักฉันอย่างที่เขาบอกจริงๆ เขาคงเลือกที่จะรออย่างที่เขาพูดแต่เขาเลือกที่จะเปิดใจรับคนใหม่นั้นก็แสดงว่า เขาอาจไม่ได้รักฉันเลยแค่อยากหาใครสักคนมาเป็นแฟนของเขาก็แค่นั้นเอง
_จบ_
คำว่ารักยิ่งออกจากปากเร็วแค่ไหนค่าของความน่าเชื่อถือก็จะมีน้อย
#อะไรที่ได้มายากๆมักมีค่าเสมอ
ประสบการณ์ที่ได้จากทางที่เดินมาถึงปัจจุบัน นับเป็นเรื่องราวระหว่างทางที่น่าจดจำ
ใครมีเรื่องราวที่น่าจดจำมาแชร์กันหน่อย นี่คือ "เรื่องราวระหว่างทาง" ของเรา
>เรื่องมีอยู๋ว่า<
“เจ้ๆ เพื่อนผมเขาอยากได้ facebook เจ้น่ะ” เสียงน้องชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับฉัน แต่เราค่อยข้างสนิทกันมาก ฉันทำหน้างงเล็กน้อยแล้วหันไปทางคนที่น้องชายฉันบอก
“อยากได้หรอ” ฉันถามเด็กคนนั้น เด็กคนนั้นไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มให้ฉันเท่านั้น
“sobad” ฉันบอกชื่อเฟสของฉันไป (sobad เป็นชื่อสมมติขึ้นนะคะ)
หลายวันต่อมาก็มีชื่อน้องคนหนึ่งแอดเข้ามาเป็นเพื่อนใน facebook ของฉัน ซึ่งฉันก็รู้ดีว่าเป็นเด็กคนนั้นแน่นอนเพราะมีรูปโปรไฟล์เป็นเครื่องยืนยัน ฉันรับแอดทันที แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรก็แค่น้อง
“เจ้ๆ เพื่อนผมมันแอดเจ้เป็นเพื่อนแล้วใช่ป่ะ” น้องชายคนเดิมของฉันถาม ว่าแต่มันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ะเนี่ย
“อืม ทำไมหรอ” ฉันตอบสั้นๆพร้อมกับถามกลับไปด้วยความสงสัยว่าทำไมมันสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ
“นี้เจ้ รู้ไหมว่ากว่ามันจะหาเฟสเจ้เจอมันเล่นนั่งหาทั้งวันเลยนะ กว่าจะเจอน่ะ” ก็น่าจะหาไม่เจออยู่หรอกก็วันที่ฉันบอกชื่อเฟส น้องเขาเอาแต่ยิ้มไม่ได้ใช้อะไรจดในสิ่งที่ฉันบอกเลย หาเจอสิแปลก
“แล้วจะตั้งใจหาอะไรขนาดนั้น” ฉันถามด้วยความสงสัยเพิ่มขึ้น แต่น้องตัวดีกลับไม่ตอบอะไรแล้วก็เดินจากไปเฉยๆซะงั้น แล้วอย่างงี้ฉันจะรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าทำไม
ขณะที่ฉันกำลังนั่งเล่นเฟส หาข้อมูลทำงานไปด้วยแล้วก็ฟังเพลง แหม! คิดล่ะสิว่าฉันโกหกหรือเปล่า บอกเลยนี่เรื่องจริงล้วนๆไม่นานนักเด็กคนนั้นก็ทักเฟสมาหาฉัน
“ทักๆๆ ครับ” ประโยคแรกที่ทักเข้ามา
“ทำไรยุหรอครับ” ไม่กี่วินาทีประโยคที่สองก็ตามมา
“จร้า พี่ทำงาน เรามีไรเปล่า” ฉันตอบกลับไป
“เปล่าครับ แค่อยากทักไปคุยด้วยเฉยๆ” ประโยคที่สาม ทำฉันสงสัยเล็กน้อย ก็จะไม่ให้สงสัยได้ไงล่ะค่ะ ตั้งแต่มอหนึ่งถึงมอสามน้องเค้าไม่เคยคิดแม้จะทักทายฉันด้วยซ้ำฉันรู้เพียงว่าน้องคนนี้เป็นเพื่อนกับน้องชายของฉันน้องเค้าชื่อ ต้น ที่จริงน้องเขาเป็นหนุ่มฮอตของโรงเรียนเลยล่ะ ส่วนฉันก็เป็นนักเรียนเรียนดีที่มีคนรู้จักในนามของเด็กเรียน
“แล้วเราทำไรอยู่ล่ะ” ฉันถามน้องเขากลับบ้าง
“นั่งเล่นครับ” น้องเขาตอบกลับมาสั้นๆ
“ออ จร้างั้นพี่ทำงานก่อนนะ” ฉันรีบตัดบทสนทนา เนื่องจากว่าต้องรีบหาข้อมูลและกลับบ้าน
“ครับ”
หลังจากวันนั้นเราก็แชทคุยกันบ่อยมากขึ้น มีมาคอมเม้นกันบ้างบางที จน.....สุดท้ายเขาก็ขอเบอร์โทรศัพท์ฉัน ตื่นเต้นมากๆเลยล่ะค่ะ ก็แหม! หนุ่มฮอตของโรงเรียนขอเบอร์ก็ต้องมีบ้างจริงไหมล่ะ
“ทักครับ พี่ทำไรอยู่อ่ะ”
“นั่งทำงาน ฟังเพลงเหมือนเดิมแหละ” ฉันตอบกลับเหมือนอย่างที่เคยตอบเป็นประจำเวลาที่อยู่โรงเรียนหลังเลิกเรียนแล้ว
“อยู่ตรงไหนเดียวไปหา”
“ใต้อาคาร 1 จะมาหรอฝากซื้อน้ำหน่อยดิ หิวน้ำมากเลย” ฉันถือโอกาสนี้ใช้น้องเค้าซื้อน้ำเข้ามาให้ ที่จริงออกไปซื้อเองก็ได้ แต่ด้วยความขี้เกียจไงเลยใช้คนอื่น
“ได้ครับ รอแป๊บนะ” อั๊ยย่ะ น้องเค้าใจดีมากอ่ะ สบายแล้วเราไม่ต้องออกไปซื้อ โฮะๆๆ
ไม่นานนักเด็กผู้ชายคนนั้นก็ขี่รถเข้ามาพร้อมกับน้ำโคกสองขวด ขวดหนึ่งเขายื่นให้ฉัน ฉันถามเขาไปว่า ‘เท่าไหร่’ น้องเค้าบอกว่า ‘ไม่เป็นไรครับซื้อมาให้’ เป็นไงล่ะไม่ต้องออกไปซื้อเองแถมได้กินของฟรีโชคดีจริงๆเลยฉัน
..........................
หลังจากนั้นน้องเค้าก็โทรมาหาฉันบ่อยๆ เติมตังค์โทรศัพท์ให้ด้วย บางวันฉันก็ได้น้ำโคกกลับบ้านไปด้วย เราสนิทกันมากขึ้น จนคนที่บ้านฉันเริ่มจะไม่ปลื้มล่ะ ก็ฉันคุยกับน้องเค้ามาจะสองเดือนแล้วนี้เนอะ
“ช่วงนี้ใครโทรมาหา” แม่ถามฉัน
“รุ่นน้องที่โรงเรียนค่ะ”
“ถ้าคิดจะคบกับเด็กคิดดีดีก่อนะลูก คบกับเด็กเราต้องเอาใจเขา คบกับผู้ใหญ่กว่าเขาจะคอยเอาใจเรา แม่ว่าอย่าให้ความหวังน้องเค้าเลย บอกเขาไม่ต้องเติมตังค์โทรศัพท์ให้หรอก เปลืองตังค์พ่อแม่ แม่ไม่อยากให้เขาคิดว่าเราไปหรอกให้เขาเติมตังค์ให้ และที่สำคัญตั้งใจเรียนก่อนดีไหม อย่าพึ่งคิดเรื่องความรักเลย” ฉันนั่งฟังที่แม่บอกอย่างตั้งใจ ถามว่าทำไมแม่รู้เรื่องเติมตังค์น่ะหรอที่จริงแม่รู้เกือบทุกอย่างแหละเพราะฉันชอบเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี่ให้ท่านฟังบ่อยๆ มันคงถึงเวลาที่ฉันต้องตัดสินใจแล้วสินะ เฮ้ออ!!!
ตู๊ดดด ตู๊ดดด ตู๊ดดด
“ฮะโหล”
“ฮะโหลครับ ว่าไงครับพี่”
“คือพี่มีไรจะคุยด้วยหน่อย อยู่กะใครเปล่า” ฉันถามเพื่อความแน่ใจว่าเขาอยู่คนเดียว เรื่องนี้ฉันไม่อยากให้รู้กว่าว่าน้องเค้าจะดูไม่ดีในนามของหนุ่มฮอตที่กำลังจะถูกปฏิเสธความรัก
“ผมอยู่คนเดียวครับ พูดมาได้เลย”
“เออ...คือ...คือว่า เราคิดยังไงกับพี่หรอ” ฉันตัดสินใจถามไปตรงๆ
“ก็...รักแล้วอ่ะพี่” เป็นคำตอบที่ทำให้รู้สึกใจสั่นๆเล็กน้อย ฉันจะทำร้ายน้องเค้าเกินไปหรือเปล่านะ
“รักเลยหรอ ไวไปเปล่า” ฉันถามกลับด้วยเสียงเบาๆ
“ไม่รู้ดิ แต่ผมว่าผมรักไปแล้วอ่ะ” ทำไงดีฉัน น้องรักแต่พี่กำลังจะบอกให้น้องหยุด ตายๆ ตายแน่ ทำร้ายน้องแน่ๆเลย
“คือ..ว่า..แม่พี่เค้ายังไม่อยากให้มีแฟนตอนนี้น่ะ” เอาแล้วไง พูดไปแล้ว ทำไงดี น้องเค้าจะรู้สึกยังไงเนี่ย
“......” น้องเขาเงียบไปสักพัก แล้วพูดขึ้นมาว่า
“ไม่เป็นไรพี่ ผมรอได้ รอวันที่พี่พร้อมจะเป็นแฟนกับผมอะ” โห นี่น้องเอาจริงหรอ พี่
“แต่พี่ว่า ถ้าเราเจอคนที่ใช่กว่าพี่ เราก็ควรที่จะลองคบกับเขาดูก่อนได้นะ เผื่อว่าเขาจะดีกว่าและใช่กว่าพี่ไง พี่ไม่อยากรั้งเราไว้กับพี่หรอก มันเป็นการทำร้ายเราเกินไป” นางเอกไหมล่ะ ไม่อยากรั้งเธอไว้ ใจจริงๆก็อยากให้เขารอเรานั้นแหละ ^_^
“ผมจะรอพี่ จบมอหกแล้วแม่พี่คงไม่ห้ามหรอกใช่ไหม” โอ๊ยน้องเอ้ย ใจพี่เต้นรัวๆแล้วเนี่ย
“คงไม่แล้วมั้ง จบมอหกแล้วคงห้ามพี่ไม่ได้หรอก” นั่นไงฉัน ได้โอกาสแล้ว โฮะๆๆๆ ฉันคิดว่าตอนนี้น้องเขาก็คงยิ้มอยู่ล่ะมั้งไม่เห็นพูดอะไรกลับมาเลย ตัวฉันเองก็ยิ้มหยาดเยิ้มอยู่เหมือนกัน
“งั้นแค่นี้นะ บายจ๊ะ” ฉันตัดบทแล้วรีบวางสายไปทันที
..................................
วันนี้คุณครูนัดพวกเราทุกคนให้มาที่ภูเขาแห่งหนึ่งใกล้ๆกับโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนทุกคนไปช่วยชาวบ้านทำทางกันไฟ (ทางกันไฟ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แนวทางป้องกันไฟป่า นิยมทำกันเพื่อไม่ให้ไฟป่ามันลุกลามได้ไว) และว่านเมล็ดพันธุ์พืชให้ทั่วทั้งภูเขา บางห้องก็ไปปลูกต้นไม้ เราปลูกกันบนภูเขาให้ต้นไม้เจริญเติบโตด้วยตัวมันเอง ครูก็จะเลือกต้นไม้มาให้ เลือกแบบที่โตง่ายและทนต่อสภาพแวดล้อม เดินกันทั้งหมดภูเขาสามลูกต่อกัน ภูเขาลูกสุดท้ายที่ไปเป็นภูเขาที่สูงที่สุดของจังหวัด ทางที่ขึ้นไปของภูเขาลูกนี้มีความสูงและชันเป็นอย่างมาก แต่ครูบอกเราทุกคนว่าพอขึ้นไปแล้วรับรองไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนดังนั้นนักเรียนที่ไปจึงเป็นทุกระดับชั้น ยกเว้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพราะว่าเด็กเกินไป กว่าจะเดินไม่ไหว ทุกคนที่ไปจะต้องมีน้ำดื่มคนละขวดแต่รุ่นพี่อย่างฉันซึ่งอยู่มอสี่ จะต้องถือน้ำเผื่อคุณครูและรุ่นน้องด้วย รุ่นพี่มอห้าถือพร้าไว้ตัดเถาวัลย์ที่ไม่เป็นประโยชน์ทิ้ง มอหกถือไม้กวาดทำแนวป้องกันไฟป่า ส่วนเด็กๆมอสามและมอสองปลูกต้นไม้ระว่างทาง ระยะทางที่เดินค่อยข้างไกลเราทุกคนก็เลยช่วยกันไม่เป็นระบบอย่างที่ครูวางไว้ แต่เราก็ได้ช่วยเหลือกันรุ่นน้องช่วยรุ่นพี่รุ่นพี่ช่วยรุ่นน้อง มันช่างเป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจมาก
ฉันนี่สิเจอปัญหาตอนขึ้นไปบนภูเขาลูกสุดท้ายที่ว่าสูงที่สุดในจังหวัด เพื่อนที่มาด้วยกันทิ้งให้ฉันถือน้ำอยู่คนเดียวตั้งหกขวด แถมในกระเป๋าฉันอีกสองขวด ส่วนตัวขอพวกมันขึ้นไปก่อน ทิ้งให้ฉันอยู่แค่คนเดียวทั้งเหนื่อยและหนักมากฉันตัดสินใจนั่งพักระหว่างทางที่ขึ้นไป บอกเลยว่าทางชันสุดๆ ฉันพึ่งมาถึงครึ่งทางเอง ไม่รู้จะขึ้นไปไหวไหม
“อ้าวเจ้ มานั่งไรตรงนี้ ไม่เดินต่อล่ะ” ไอ้น้องคนเดิมนั้นแหละค่ะที่กำลังถามฉันตอนนี้ แต่ที่เพิ่มเติมคงเป็นเด็กผู้ชายคนที่บอกว่ารักฉันคนนั้นที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่ข้างๆน้องชายของฉัน ฉันแทบจะไม่ได้คุยกับเขาเลยตั้งแต่วันที่ฉันบอกเขาไปวันนั้น เขาปฏิบัติตามที่ฉันบอกอย่างเคร่งขัดมากจนฉันใจหาย เขาไม่โทรหา ไม่เติมตังค์ให้ ฉันไม่มีน้ำโคกกลับบ้านเหมือนอย่างเคย เราคุยกันแค่ใน facebook เท่านั้น ถึงฉันจะรู้สึกดีมากๆแต่ฉันก็ไม่ให้ความหวังน้องเค้าต่อหรอกนะคะ บอกเลย นางเอกป่ะล่ะ ฮ่าๆ ภูมิใจเล็กน้อย
“เหนื่อยอ่ะ ขึ้นไปก่อนเลย” ฉันตอบกลับน้องชายของฉันตามความจริงพร้อมกับบอกว่าให้ไปก่อน
“งั้นไปก่อนนะเจ้ รีบตามมาล่ะ” พอพูดจบมันก็รีบวิ่งขึ้นไป มันไม่เหนื่อยมากเลยหรอ โห น้องฉันแข็งแรงจริงๆ แต่อีกคนกลับไม่ไปด้วย เดินเข้ามานั่งข้างข้างแล้วพูดว่า
“เดียวผมนั่งเป็นเพื่อนนะพี่” ฉันมองไปทางคนพูดเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า
“อืม”
เวลาผ่านไปไม่ถึง 5 นาที เขาลุกขึ้นแล้วบอกว่า
“ป่ะพี่ ไปได้แล้ว เดียวไม่ทันคนอื่นนะ” เขาพูดพร้อมกับยิ้มให้ฉัน
“ไม่ไหวหรอก ขึ้นไปก่อนเลย” ฉันตอบเขาไปเพราะว่าคิดว่าคงเดินขึ้นไปพร้อมเขาในเส้นทางชันแบบนั้นไม่ไหวแน่ๆ ก็ทั้งน้ำที่อยู่ในกระเป๋า ทั้งน้ำที่อยู่ในมือ ไม่ไหวหรอก ที่สำคัญเด็กคนนี้เป็นถึงนักกีฬากีฑาของโรงเรียนเชียวนะฉันเดินไม่ทันเขาแน่ๆ (เขาไม่ใช่แค่หนุ่มฮอตธรรมดาแต่เป็นนักกีฬาด้วยนะคะ ไม่ได้หล่ออย่างเดียวแต่มีความสามารถด้วย)
“ไหวสิ ลองดู” เขาก็ยังพยายามพูดให้ฉันเดินขึ้นไปพร้อมเขาอยู่ดี
“ไม่ไหวจริงๆ จะลากขึ้นไปรึไง” ฉันพูดประชดเขาไปนิดหน่อยพร้อมกับทำหน้าตากวนๆ
“อืม” เป็นคำตอบสั้นๆที่ฉันเองแทบไม่เชื่อหูของตัวเองว่าจะได้ยินคำนี้ นี่เด็กคนนี้บอกว่าจะลากฉันไปด้วยหรอ เขาพูดเล่นหรือเปล่านะ ในขณะที่ฉันกำลังอึ่งในคำตอบ สมองมันก็คิดอะไรแผงๆออกมา เอาสิจะลากฉันไปด้วยจริงหรอ ฉันยื่นมือไปหาเขาแล้วบอกว่า
“อืม...” เป็นเชิงบอกว่าถ้ากล้าจับมือลากฉันขึ้นไปก็เอาดิ เขาจับมือฉันแล้วดึงขึ้นไปเคียงข้างเขา เราจับมือกันเดินขึ้นไปบนทางอันลาดชัน ฉันทั้งตกใจและเหนื่อย ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะกล้าจับมือฉันให้เดินไปพร้อมกับเขาฉันหยุดเดินเขาก็จะดึงฉันขึ้นไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจับมือฉันไว้แน่นไม่ยอมปล่อยจนถึงยอดเขา ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่ไม่ทิ้งฉันเหมือนกับคนอื่นๆในตอนนั้น
“ขอบคุณนะ” ฉันปล่อยมือจากเขาหลังจากที่พูดขอบคุณจบและเดินไปหากลุ่มเพื่อนๆมอเดียวกัน เพื่อที่คนอื่นจะไม่สงสัย มีเพียงเพื่อนของเขาเท่านั้นที่เห็นเราขึ้นมาถึงพร้อมกัน
ในตอนนั้นฉันคิดว่าถึงแม้ว่าแม่จะห้ามให้เราคบกัน แต่ฉันจะขอขัดคำสั่งแอบคบกับรุ่นน้องคนนี้ น้องคนนี้ทำให้ฉันประทับใจในตัวเขามาก รู้สึกดีมาก ชอบมาก แต่ความผิดหวังก็มาเยือนเมื่อฉันรู้ว่าเขามีแฟนแล้วหลังจากวันนั้นมาสามวัน (ฉันใช้เวลาคิดตั้งสามวันที่จะขัดคำสั่งของแม่) น้องชายของฉันบอกว่า
‘มันมีแฟนแล้วเจ้ ตอนที่มันจีบเจ้มันก็คุยกับเขาอยู่ พึ่งมาเป็นแฟนกันเมื่อไม่นานนี่เอง’ ฉันได้แต่คิดในใจว่า คงเป็นแฟนกันตอนที่ฉันบอกเขาว่าให้ลองคบหาคนอื่นดูเผื่อว่าจะใช่กว่าล่ะมั้ง แต่ฉันก็ไม่เสียใจหรอกนะที่ฉันอาจจะรู้สึกช้าไป เพราะถ้าเขารักฉันอย่างที่เขาบอกจริงๆ เขาคงเลือกที่จะรออย่างที่เขาพูดแต่เขาเลือกที่จะเปิดใจรับคนใหม่นั้นก็แสดงว่า เขาอาจไม่ได้รักฉันเลยแค่อยากหาใครสักคนมาเป็นแฟนของเขาก็แค่นั้นเอง
_จบ_
คำว่ารักยิ่งออกจากปากเร็วแค่ไหนค่าของความน่าเชื่อถือก็จะมีน้อย
#อะไรที่ได้มายากๆมักมีค่าเสมอ
ประสบการณ์ที่ได้จากทางที่เดินมาถึงปัจจุบัน นับเป็นเรื่องราวระหว่างทางที่น่าจดจำ