สวัสดีค่ะ
นี่เป็นกระทู้แรก ถ้ามีข้อผิดพลาดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ

ติชมกันได้นะคะ
ขอเกริ่นก่อนว่ากระทู้นี้เกี่ยวข้องกับประสบการณ์การไปวูฟที่ประเทศญี่ปุ่นค่ะ
สำหรับคนที่ไม่รู้จักวูฟ อธิบายง่ายๆ วูฟคือโครงการที่เปิดโอกาสให้เราได้ไปสัมผัสวิถีชีวิตของคน ณ ประเทศนั้นๆ ใช้ชีวิตอยู่กับโฮส โดยจะเป็นการทำงานแลกที่พักและอาหาร ส่วนงานที่ทำนั้นส่วนใหญ่จะเป็นฟาร์ม แต่บางโฮสก็จะมีทำโรงแรม เรียวกัง คาเฟ่ หรือโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเด็ก
ใครที่สนใจสามารถเข้าไปดูในเว็บไซต์
https://www.wwoofjapan.com/main/index.php?lang=en
ส่วนค่าใช้จ่ายในการสมัครโครงการคือ 5,500 yen หรือ ประมาณ 1,697.03 THB (5/5/2017) มีอายุ1ปี
หลังจากสมัคร กรอกนู่นนี่จ่ายตังเสร็จก็เลือกโฮสจากในลิสต์ แนะนำให้เลือกจากภูมิภาคหรือจังหวัดที่เราสนใจก่อน แล้วค่อยเข้าไปดูในลิสต์โปรไฟล์โฮสว่าเราอยากทำงานอะไร ในโปรไฟล์ของแต่ละโฮสก็จะบอกข้อมูลต่างๆเช่น ชื่อ ที่อยู่ ลักษณะงานที่ทำ ลักษณะวูฟเฟอร์(คนที่ไปวูฟ)ที่เขาต้องการ ระดับภาษาอังกฤษของโฮส รูปภาพ และรีวิวจากวูฟเฟอร์

อย่างเช่นของโฮสที่เราไป อยู่ Azumino city, Nagano ห่างจากโตเกียวประมาณ 3 ชม. โฮสมีฟาร์มและทำเกสเฮ้าส์เล็กๆ
เราติดต่อโฮสไป แนะนำตัวและบอกจำนวนวัน และวันที่จะไป เราไปวูฟ 10 วัน และอยู่ที่โตเกียวต่ออีก 4 วัน รวมคืออยู่ญี่ปุ่นทั้งหมด 14 วัน (จริงๆอยากอยู่เป็นเดือนแต่ขี้เกียจขอวีซ่าค่ะ5555)

หลังจากเคลียร์เรื่องโฮสเรียบร้อยก็มาดูเรื่อง ตั๋วเครื่องบินและการเดินทางค่ะ
ครั้งนี้เราใช้บริการของสายการบินสีแดง ขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองค่ะ จองได้ราคาประมาณ 14,000 บาท ไป-กลับ
ทางวันที่ 16 เมษายน 2560 ไฟลต์เวลา 23:45 น. ถึงสนามบินนาริตะเทอมินอล 2 เวลา 8:15 น. วันรุ่งขึ้น


หลังจากผ่าน ตม. เอากระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็มาซื้อตั๋วรถบัสเข้าเมืองโตเกียวราคา 1,000 yen ใช้เวลาประมาณ 1ชม.นิดๆก็มาถึงหน้าสถานีโตเกียว
ต่อรถไฟจากสถานีโตเกียวไปลงสถานีชินจูกุ
*สำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อบัตร pass แนะนำให้ซื้อบัตร suica หรือ pasmo (อารมณ์คล้ายๆบัตรแรบบิทของบีทีเอสบ้านเรา) ซื้อได้ที่ตู้หน้าสถานีรถไฟ เมื่อซื้อจะมีค่ามัดจำบัตร 500 yen บัตรนี้ช่วยเราได้เยอะเพราะใช้ได้กับรถไฟทุกสาย ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องซื้อตั๋วทุกครั้งที่ขึ้นรถไฟ แถมบัตรนี้ยังใช้ซื้อของในร้านสะดวกซื้อเช่น 7-11 และขึ้นรถเมย์ได้

เมื่อถึงสถานีชินจูกุเราก็เดินไปสถานีรถบัส Shinjuku Express Bus Terminal ซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟ ซื้อตั๋วรถบัสไปเมือง Matsumoto ราคา 3,050 yen ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม.ครึ่ง เนื่องจากสถานีที่ใกล้บ้านโฮสที่สุดคือสถานี Hitoichiba เราเลยต้องต่อรถไฟจากสถานี Matsumoto ไปสถานี Hitoichiba ใช้เวลาประมาน 15 นาที


โบซัง ซึ่งเป็นโฮสของเราขับรถมารอรับเราที่สถานี Hitoichiba ราทักทายและแนะนำตัวกันเล็กน้อย จากนั้นก็ขึ้นรถ จากสถานีถึงบ้านโบซังขับรถไปอีกประมาณ 10 นาที วิวรอบๆข้างทางจะเป็นภูเขาและฟาร์ม คนที่นี่เขาปลูกฟาร์มส่วนใหญ่เป็นออร์แกนิค เน้นปลูกกินเอง



บ้านที่เราอยู่เป็นบ้านเก่าๆสไตล์ญี่ปุ่นขนาดไม่ใหญ่มาก มี 2 ชั้น ชั้นล่างมีห้องสำหรับแขก 3 ห้อง ห้องทำงานโบซัง 1 ห้อง โต๊ะอุ่น หรือโคะตะทสึ สำหรับนั่งเล่นและกินข้าว เตาผิง มีส่วนพื้นที่ทำอาหาร ถัดไปข้างหลังเป็นห้องน้ำ และห้องอาบน้ำ ส่วนชั้นบนมีห้องนอน 2 ห้อง ซึ่งพวกเราได้นอนข้างบน บ้านนี้เวลาพูดหรือคุยจะได้ยินชัดมากๆ ขนาดกระซิบเบาๆยังได้ยินกันหมด5555


พวกเรามาถึง โบซังก็แนะนำตัวพวกเราให้แขกรู้จัก ซึ่งวันนั้นมีแขกมาพักอยู่ 2 ครอบครัว ครอบครัวแรกเป็นครอบครัวที่มาอยู่ยาว อยู่เกือบเดือน มีพ่อคือ โอซามุซัง เป็นชาวญี่ปุ่น แม่คือโอลิเวียซัง เป็นชาวอเมริกัน มีลูกสาวตัวน้อย 2 คน ส่วนอีกครอบครัว เป็นชาวญี่ปุ่นมีพ่อแม่และลูกสาวตัวน้อย 1 คน ครอบครัวนี้มาพักแค่ 2 คืน นอกจากแขกก็มีสตาฟที่ดูแลที่นี่ 1 คน ชื่อ ไทสุเกะซัง

ในวันแรกเรายังไม่ได้ทำอะไรมาก มีกินข้าวเย็นกันและช่วยล้างจาน
พูดถึงการล้านจาน ส่วนตัวเราเป็นคนชอบล้างจานนะ555 แต่ล้างจานที่นี่คือเขากินกันมื้อนึงใช้จานเยอะมากกกกก อย่างต่ำคนนึงมีจาน 1 ถ้วยซุป 1 ถ้วยข้าว 1 และยิ่งทำให้การล้างจานทรมานขึ้นไปอีกขั้นคือ น้ำ น้ำที่นี่ไม่ร้อนไปเลยก็เย็นเจี้ยบไปเลย น้ำในที่นี้ไม่ใช่อุ่นๆแต่เป็นร้อนแบบควันขึ้น

เราเลยเลือกที่จะล้างน้ำเย็นแทน กว่าจะล้างหมดมือชามือแดงกันเลยทีเดียว ล้างจานเสร็จก็ต้องเช็ดแห้ง แล้วเอาไปเก็บตามตู้ให้ถูกชนิดจานชามนั้นๆ
ล้างจานเสร็จก็มาอาบน้ำ นี่ก็เตรียมตัวเรียบร้อย เข้าห้องอาบน้ำปุ้ป จะล็อกประตู ไม่มีที่ล็อกกกก โอ้ววววว อาบน้ำไปหวาดระแวงไป เสียงคนเดินทีนี่รีบเดินไปดันประตู


ชีวิตประจำวันและการทำงาน
ทุกๆเช้าจะตื่นมากินข้าวเช้าเวลา 8:00 น. ที่ไทสุเกะซังทำ เราก็ช่วยเตรียมจาน จัดโต๊ะล้างจาน อาหารที่กินส่วนใหญ่จะเป็นข้าว ซุบ แล้วกับจะเป็นผักและเต้าหู้ ที่นี่ไม่ค่อยกินเนื้อสัตว์เท่าไหร่ งานช่วงเช้าและบ่ายจะไปที่ฟาร์ม ซึ่งต้องเดินจากบ้านไปประมาณ 5 นาที เราปลูกต้นอ่อนบลูเบอร์รี่ มีผสมปุ๋ยกับดิน แล้วก็ขุดหลุม ช่วงนี้คือช่วงปลูก ส่วนช่วงเก็บเกี่ยวจะเป็นช่วงมิถุนายน เสียดายมากๆที่เป็นคนปลูกเองแต่ไม่มีโอกาศได้กิน โบซังบอกให้กลับมาอีกรอบแล้วจะให้กินฟรี5555

ใน 10 วันที่ไปวูฟนั้น บางวันหลังจากทำงานเสร็จโบซังหรือไทสุเกะซังก็จะพาไปเที่ยวบ้างพาไปซุปเปอร์มาเก็ตบ้าง



ในวันที่ 3 ของการวูฟ โบซังพาขับรถไปปราสาทมัตสึโมโต้ ตอนที่ไปนั้นเป็นช่วงซากุระบาน เราสองสาวไทยนี่ดี๊ด๊าถ่ายรูปกันใหญ่จนโบซังหันมาขำและเรียกให้เดินไวๆหน่อย


จากที่เราบ่นๆกันว่าอยากไปลองเข้าออนเซ็น ไทสุเกะเลยพาเราไปออนเซ็นใกล้ๆบ้าน ออนเซ็นนี้ไม่มีชาวต่างชาติเลยค่ะ คนญี่ปุ่นล้วนๆ แต่แยกชายหญิงนะคะ นี่เข้าไปครั้งแรกก็เขิลมากกกก แทบไม่กล้าสบตาใคร รีบวิ่งลงน้ำ5555



ในเมืองนี้ส่วนใหญ่เขาจะรู้จักกันหมด บางวันเพื่อนบ้านก็มาฝากลูกๆหลานๆตัวน้อยๆไว้ที่บ้าน ไอเราสองคนจากเป็นชาวสวนก็เปลี่ยนกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กกันซะงั้น555 แต่สนุกมากๆเด็กซนมากกก น่ารักแก้มแดงทุกคนเลย


อีกหนึ่งกิจกรรมที่รู้สึกชอบมากๆคือเราได้มีโอกาสไปทำเกี๊ยวซ่า เหมือนเป็นกิจกรรมชุมชน แม่ๆก็พาลูกๆเด็กๆมาทำเกี๊ยวซ่าและแฮมเบอร์ เมื่อทำเสร็จเราก็มานั่งกินข้าวด้วยกัน กินเสร็จก็ช่วยกันล้างจานเช็ดโต๊ะ เป็นกิจกรรมชุมชนที่น่ารักและอบอุ่นมากๆ


ส่วนในวันอาทิตย์ โบซังให้เป็นวัน free day
เราสองคนตัดสินใจจะกลับไปเดินเล่นที่เมือง Mastumoto
เมือง Mastumoto จะมีสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆคือ ปราสาทมัตสึโมโต้ แต่โบซังพาเรามาแล้วคราวก่อน ครั้งนี้เราเลยเลือกไปเดินเล่นรอบๆเมือง
เมืองนี้เป็นเมืองที่สะอาด บรรยากาศชิวมาก คนไม่พลุกพล่านขนาดว่าเป็นวันอาทิตย์ เอาจริงๆเราแทบไม่เห็นนักท่องเที่ยวเดินในเมืองเลย ส่วนใหญ่เขาจะไปปราสาทกัน


เราเแวะไปเดินเล่นที่ถนนโบราณ Nawate Street จะมีรูปปั้นกบอยู่หัวมุม และอยู่ใกล้ๆศาลเจ้า

เป็นเมืองที่เดินลัดเลาะตามซอยได้ เพราะจะมีร้านค้าเล็กๆ ตึกสวยๆให้ดูตลอดทาง ถ้าใครเบื่อหรือเมื่อย เมืองนี้ก็มีพิพิธภัณฑ์ให้เลือกเข้าชม


10 วันที่ได้มาอยู่ที่นี่ ได้มาวูฟ เราได้มีโอกาสทำอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยทำ ได้เรียนรู้วิถึชีวิตแบบคนญี่ปุ่น ได้เรียนรู้ภาษา แม้จะยังพูดสนทนาไม่ได้แต่ก็ได้คำศัพท์เล็กๆน้อยๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าถามว่าคุ้มค่ามั้ยกับการเดินทางมาที่นี่ เราว่าสำหรับเรามันคุ้มค่ามาก ทั้งประสบการณ์ ความรู้ใหม่ๆ แต่สิ่งที่เราว่าเราได้มากที่สุดคือ มิตรภาพ อาจจะฟังดูน้ำเน่าแต่จากที่อยู่ที่นี่มา แม้จะไม่กี่วัน ทำให้เราเห็นว่าคนญี่ปุ่นเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือและแบ่งปัน เขาจะถามเราตลอดว่าโอเคมั้ย เหนื่อยมั้ย หิวมั้ย ไหวมั้ย คำที่เราพูดบ่อยที่สุดคือคำว่า ขอบคุณ ถึงเขาจะพูดอังกฤษไม่ได้แต่เขาก็พยายามที่จะสื่อสารกับเรา เราพึ่งอายุ 18 ปี การที่เราตัดสินใจเลือกมาที่นี่มันเปิดโลกของเรามากๆ มันสอนอะไรหลายๆอย่าง ทั้งการรับผิดชอบตัวเอง ความอดทน ความทุ่มเทในการทำงาน การรู้จักเสียสละช่วยเหลือคนอื่น และการเรียนรู้ที่จะอยู่กับคนอื่น แม้จะมีความแตกต่างกัน
หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับทั้งคนที่สนใจจะไปวูฟและคนอื่นๆไม่มากก็น้อยนะคะ
กระทู้หน้าจะเป็นเรื่อง 4 วันที่เหลือในโตเกียวค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
**ขอเพิ่มเติมเรื่องค่าใช้จ่ายนะคะ เนื่องจากมีบางท่านสงสัย
สรุปค่าใช้จ่ายที่เราจ่ายคือ
1. ค่าสมัครwwoof 5,500 yen
2. ค่าตั๋ว ค่าเดินทาง
3. pocket money อื่นๆเช่น ช้อปปิ้ง
ในระยะเวลาที่เราวูฟนั้น ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆค่ะ อาหารก็กินกับโฮส ไม่เสียค่าที่พักค่ะ เพราะเราทำงานช่วยเขาแลกอาหาร และที่พัก
ส่วนเรื่องอายุนั้น ในการไปวูฟต้องอายุ 16 ปีขึ้นไปค่ะ ถ้าต่ำกว่าต้องมีผู้ใหญ่ไปด้วยค่ะ
[CR] ไปญี่ปุ่นแบบวูฟวูฟ (Wwoofing in Japan)
นี่เป็นกระทู้แรก ถ้ามีข้อผิดพลาดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ
ขอเกริ่นก่อนว่ากระทู้นี้เกี่ยวข้องกับประสบการณ์การไปวูฟที่ประเทศญี่ปุ่นค่ะ
สำหรับคนที่ไม่รู้จักวูฟ อธิบายง่ายๆ วูฟคือโครงการที่เปิดโอกาสให้เราได้ไปสัมผัสวิถีชีวิตของคน ณ ประเทศนั้นๆ ใช้ชีวิตอยู่กับโฮส โดยจะเป็นการทำงานแลกที่พักและอาหาร ส่วนงานที่ทำนั้นส่วนใหญ่จะเป็นฟาร์ม แต่บางโฮสก็จะมีทำโรงแรม เรียวกัง คาเฟ่ หรือโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเด็ก
ใครที่สนใจสามารถเข้าไปดูในเว็บไซต์ https://www.wwoofjapan.com/main/index.php?lang=en
ส่วนค่าใช้จ่ายในการสมัครโครงการคือ 5,500 yen หรือ ประมาณ 1,697.03 THB (5/5/2017) มีอายุ1ปี
หลังจากสมัคร กรอกนู่นนี่จ่ายตังเสร็จก็เลือกโฮสจากในลิสต์ แนะนำให้เลือกจากภูมิภาคหรือจังหวัดที่เราสนใจก่อน แล้วค่อยเข้าไปดูในลิสต์โปรไฟล์โฮสว่าเราอยากทำงานอะไร ในโปรไฟล์ของแต่ละโฮสก็จะบอกข้อมูลต่างๆเช่น ชื่อ ที่อยู่ ลักษณะงานที่ทำ ลักษณะวูฟเฟอร์(คนที่ไปวูฟ)ที่เขาต้องการ ระดับภาษาอังกฤษของโฮส รูปภาพ และรีวิวจากวูฟเฟอร์
อย่างเช่นของโฮสที่เราไป อยู่ Azumino city, Nagano ห่างจากโตเกียวประมาณ 3 ชม. โฮสมีฟาร์มและทำเกสเฮ้าส์เล็กๆ
เราติดต่อโฮสไป แนะนำตัวและบอกจำนวนวัน และวันที่จะไป เราไปวูฟ 10 วัน และอยู่ที่โตเกียวต่ออีก 4 วัน รวมคืออยู่ญี่ปุ่นทั้งหมด 14 วัน (จริงๆอยากอยู่เป็นเดือนแต่ขี้เกียจขอวีซ่าค่ะ5555)
หลังจากเคลียร์เรื่องโฮสเรียบร้อยก็มาดูเรื่อง ตั๋วเครื่องบินและการเดินทางค่ะ
ครั้งนี้เราใช้บริการของสายการบินสีแดง ขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองค่ะ จองได้ราคาประมาณ 14,000 บาท ไป-กลับ
ทางวันที่ 16 เมษายน 2560 ไฟลต์เวลา 23:45 น. ถึงสนามบินนาริตะเทอมินอล 2 เวลา 8:15 น. วันรุ่งขึ้น
หลังจากผ่าน ตม. เอากระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็มาซื้อตั๋วรถบัสเข้าเมืองโตเกียวราคา 1,000 yen ใช้เวลาประมาณ 1ชม.นิดๆก็มาถึงหน้าสถานีโตเกียว
ต่อรถไฟจากสถานีโตเกียวไปลงสถานีชินจูกุ
*สำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อบัตร pass แนะนำให้ซื้อบัตร suica หรือ pasmo (อารมณ์คล้ายๆบัตรแรบบิทของบีทีเอสบ้านเรา) ซื้อได้ที่ตู้หน้าสถานีรถไฟ เมื่อซื้อจะมีค่ามัดจำบัตร 500 yen บัตรนี้ช่วยเราได้เยอะเพราะใช้ได้กับรถไฟทุกสาย ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องซื้อตั๋วทุกครั้งที่ขึ้นรถไฟ แถมบัตรนี้ยังใช้ซื้อของในร้านสะดวกซื้อเช่น 7-11 และขึ้นรถเมย์ได้
เมื่อถึงสถานีชินจูกุเราก็เดินไปสถานีรถบัส Shinjuku Express Bus Terminal ซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟ ซื้อตั๋วรถบัสไปเมือง Matsumoto ราคา 3,050 yen ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม.ครึ่ง เนื่องจากสถานีที่ใกล้บ้านโฮสที่สุดคือสถานี Hitoichiba เราเลยต้องต่อรถไฟจากสถานี Matsumoto ไปสถานี Hitoichiba ใช้เวลาประมาน 15 นาที
โบซัง ซึ่งเป็นโฮสของเราขับรถมารอรับเราที่สถานี Hitoichiba ราทักทายและแนะนำตัวกันเล็กน้อย จากนั้นก็ขึ้นรถ จากสถานีถึงบ้านโบซังขับรถไปอีกประมาณ 10 นาที วิวรอบๆข้างทางจะเป็นภูเขาและฟาร์ม คนที่นี่เขาปลูกฟาร์มส่วนใหญ่เป็นออร์แกนิค เน้นปลูกกินเอง
บ้านที่เราอยู่เป็นบ้านเก่าๆสไตล์ญี่ปุ่นขนาดไม่ใหญ่มาก มี 2 ชั้น ชั้นล่างมีห้องสำหรับแขก 3 ห้อง ห้องทำงานโบซัง 1 ห้อง โต๊ะอุ่น หรือโคะตะทสึ สำหรับนั่งเล่นและกินข้าว เตาผิง มีส่วนพื้นที่ทำอาหาร ถัดไปข้างหลังเป็นห้องน้ำ และห้องอาบน้ำ ส่วนชั้นบนมีห้องนอน 2 ห้อง ซึ่งพวกเราได้นอนข้างบน บ้านนี้เวลาพูดหรือคุยจะได้ยินชัดมากๆ ขนาดกระซิบเบาๆยังได้ยินกันหมด5555
พวกเรามาถึง โบซังก็แนะนำตัวพวกเราให้แขกรู้จัก ซึ่งวันนั้นมีแขกมาพักอยู่ 2 ครอบครัว ครอบครัวแรกเป็นครอบครัวที่มาอยู่ยาว อยู่เกือบเดือน มีพ่อคือ โอซามุซัง เป็นชาวญี่ปุ่น แม่คือโอลิเวียซัง เป็นชาวอเมริกัน มีลูกสาวตัวน้อย 2 คน ส่วนอีกครอบครัว เป็นชาวญี่ปุ่นมีพ่อแม่และลูกสาวตัวน้อย 1 คน ครอบครัวนี้มาพักแค่ 2 คืน นอกจากแขกก็มีสตาฟที่ดูแลที่นี่ 1 คน ชื่อ ไทสุเกะซัง
ในวันแรกเรายังไม่ได้ทำอะไรมาก มีกินข้าวเย็นกันและช่วยล้างจาน
พูดถึงการล้านจาน ส่วนตัวเราเป็นคนชอบล้างจานนะ555 แต่ล้างจานที่นี่คือเขากินกันมื้อนึงใช้จานเยอะมากกกกก อย่างต่ำคนนึงมีจาน 1 ถ้วยซุป 1 ถ้วยข้าว 1 และยิ่งทำให้การล้างจานทรมานขึ้นไปอีกขั้นคือ น้ำ น้ำที่นี่ไม่ร้อนไปเลยก็เย็นเจี้ยบไปเลย น้ำในที่นี้ไม่ใช่อุ่นๆแต่เป็นร้อนแบบควันขึ้น
เราเลยเลือกที่จะล้างน้ำเย็นแทน กว่าจะล้างหมดมือชามือแดงกันเลยทีเดียว ล้างจานเสร็จก็ต้องเช็ดแห้ง แล้วเอาไปเก็บตามตู้ให้ถูกชนิดจานชามนั้นๆ
ล้างจานเสร็จก็มาอาบน้ำ นี่ก็เตรียมตัวเรียบร้อย เข้าห้องอาบน้ำปุ้ป จะล็อกประตู ไม่มีที่ล็อกกกก โอ้ววววว อาบน้ำไปหวาดระแวงไป เสียงคนเดินทีนี่รีบเดินไปดันประตู
ชีวิตประจำวันและการทำงาน
ทุกๆเช้าจะตื่นมากินข้าวเช้าเวลา 8:00 น. ที่ไทสุเกะซังทำ เราก็ช่วยเตรียมจาน จัดโต๊ะล้างจาน อาหารที่กินส่วนใหญ่จะเป็นข้าว ซุบ แล้วกับจะเป็นผักและเต้าหู้ ที่นี่ไม่ค่อยกินเนื้อสัตว์เท่าไหร่ งานช่วงเช้าและบ่ายจะไปที่ฟาร์ม ซึ่งต้องเดินจากบ้านไปประมาณ 5 นาที เราปลูกต้นอ่อนบลูเบอร์รี่ มีผสมปุ๋ยกับดิน แล้วก็ขุดหลุม ช่วงนี้คือช่วงปลูก ส่วนช่วงเก็บเกี่ยวจะเป็นช่วงมิถุนายน เสียดายมากๆที่เป็นคนปลูกเองแต่ไม่มีโอกาศได้กิน โบซังบอกให้กลับมาอีกรอบแล้วจะให้กินฟรี5555
ใน 10 วันที่ไปวูฟนั้น บางวันหลังจากทำงานเสร็จโบซังหรือไทสุเกะซังก็จะพาไปเที่ยวบ้างพาไปซุปเปอร์มาเก็ตบ้าง
ในวันที่ 3 ของการวูฟ โบซังพาขับรถไปปราสาทมัตสึโมโต้ ตอนที่ไปนั้นเป็นช่วงซากุระบาน เราสองสาวไทยนี่ดี๊ด๊าถ่ายรูปกันใหญ่จนโบซังหันมาขำและเรียกให้เดินไวๆหน่อย
จากที่เราบ่นๆกันว่าอยากไปลองเข้าออนเซ็น ไทสุเกะเลยพาเราไปออนเซ็นใกล้ๆบ้าน ออนเซ็นนี้ไม่มีชาวต่างชาติเลยค่ะ คนญี่ปุ่นล้วนๆ แต่แยกชายหญิงนะคะ นี่เข้าไปครั้งแรกก็เขิลมากกกก แทบไม่กล้าสบตาใคร รีบวิ่งลงน้ำ5555
ในเมืองนี้ส่วนใหญ่เขาจะรู้จักกันหมด บางวันเพื่อนบ้านก็มาฝากลูกๆหลานๆตัวน้อยๆไว้ที่บ้าน ไอเราสองคนจากเป็นชาวสวนก็เปลี่ยนกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กกันซะงั้น555 แต่สนุกมากๆเด็กซนมากกก น่ารักแก้มแดงทุกคนเลย
อีกหนึ่งกิจกรรมที่รู้สึกชอบมากๆคือเราได้มีโอกาสไปทำเกี๊ยวซ่า เหมือนเป็นกิจกรรมชุมชน แม่ๆก็พาลูกๆเด็กๆมาทำเกี๊ยวซ่าและแฮมเบอร์ เมื่อทำเสร็จเราก็มานั่งกินข้าวด้วยกัน กินเสร็จก็ช่วยกันล้างจานเช็ดโต๊ะ เป็นกิจกรรมชุมชนที่น่ารักและอบอุ่นมากๆ
ส่วนในวันอาทิตย์ โบซังให้เป็นวัน free day
เราสองคนตัดสินใจจะกลับไปเดินเล่นที่เมือง Mastumoto
เมือง Mastumoto จะมีสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆคือ ปราสาทมัตสึโมโต้ แต่โบซังพาเรามาแล้วคราวก่อน ครั้งนี้เราเลยเลือกไปเดินเล่นรอบๆเมือง
เมืองนี้เป็นเมืองที่สะอาด บรรยากาศชิวมาก คนไม่พลุกพล่านขนาดว่าเป็นวันอาทิตย์ เอาจริงๆเราแทบไม่เห็นนักท่องเที่ยวเดินในเมืองเลย ส่วนใหญ่เขาจะไปปราสาทกัน
เราเแวะไปเดินเล่นที่ถนนโบราณ Nawate Street จะมีรูปปั้นกบอยู่หัวมุม และอยู่ใกล้ๆศาลเจ้า
เป็นเมืองที่เดินลัดเลาะตามซอยได้ เพราะจะมีร้านค้าเล็กๆ ตึกสวยๆให้ดูตลอดทาง ถ้าใครเบื่อหรือเมื่อย เมืองนี้ก็มีพิพิธภัณฑ์ให้เลือกเข้าชม
10 วันที่ได้มาอยู่ที่นี่ ได้มาวูฟ เราได้มีโอกาสทำอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยทำ ได้เรียนรู้วิถึชีวิตแบบคนญี่ปุ่น ได้เรียนรู้ภาษา แม้จะยังพูดสนทนาไม่ได้แต่ก็ได้คำศัพท์เล็กๆน้อยๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าถามว่าคุ้มค่ามั้ยกับการเดินทางมาที่นี่ เราว่าสำหรับเรามันคุ้มค่ามาก ทั้งประสบการณ์ ความรู้ใหม่ๆ แต่สิ่งที่เราว่าเราได้มากที่สุดคือ มิตรภาพ อาจจะฟังดูน้ำเน่าแต่จากที่อยู่ที่นี่มา แม้จะไม่กี่วัน ทำให้เราเห็นว่าคนญี่ปุ่นเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือและแบ่งปัน เขาจะถามเราตลอดว่าโอเคมั้ย เหนื่อยมั้ย หิวมั้ย ไหวมั้ย คำที่เราพูดบ่อยที่สุดคือคำว่า ขอบคุณ ถึงเขาจะพูดอังกฤษไม่ได้แต่เขาก็พยายามที่จะสื่อสารกับเรา เราพึ่งอายุ 18 ปี การที่เราตัดสินใจเลือกมาที่นี่มันเปิดโลกของเรามากๆ มันสอนอะไรหลายๆอย่าง ทั้งการรับผิดชอบตัวเอง ความอดทน ความทุ่มเทในการทำงาน การรู้จักเสียสละช่วยเหลือคนอื่น และการเรียนรู้ที่จะอยู่กับคนอื่น แม้จะมีความแตกต่างกัน
หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับทั้งคนที่สนใจจะไปวูฟและคนอื่นๆไม่มากก็น้อยนะคะ
กระทู้หน้าจะเป็นเรื่อง 4 วันที่เหลือในโตเกียวค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
**ขอเพิ่มเติมเรื่องค่าใช้จ่ายนะคะ เนื่องจากมีบางท่านสงสัย
สรุปค่าใช้จ่ายที่เราจ่ายคือ
1. ค่าสมัครwwoof 5,500 yen
2. ค่าตั๋ว ค่าเดินทาง
3. pocket money อื่นๆเช่น ช้อปปิ้ง
ในระยะเวลาที่เราวูฟนั้น ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆค่ะ อาหารก็กินกับโฮส ไม่เสียค่าที่พักค่ะ เพราะเราทำงานช่วยเขาแลกอาหาร และที่พัก
ส่วนเรื่องอายุนั้น ในการไปวูฟต้องอายุ 16 ปีขึ้นไปค่ะ ถ้าต่ำกว่าต้องมีผู้ใหญ่ไปด้วยค่ะ