ผมสะท้อนใจมาก กรณีดีเจเชาชา ที่กำลังเป็นข่าวดัง
เด็กทุกคนเกิดมาเหมือนผ้าขาว ดีหรือไม่ดีอยู่ที่คนเลี้ยงดู การที่มีเด็กคนนึงโตมาเป็นเด็กแว๊น สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม แม้ตอนหมดลมหายใจไปก็ยังไม่วายทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีก พ่อแม่คนที่มีส่วนต้องรับผิดชอบไม่น้อยไปกว่าเด็กเลยในความคิดของผม
บางคนอาจคิดว่าคนเราเกิดมาต้นทุนไม่เท่ากัน การเป็นคนจน พ่อแม่ทำงานหาเช้ากินค่ำทำให้ไม่มีเวลาสอนลูก จนออกมาแบบนี้
แต่ผมว่าไม่จริง ผมเห็นครอบครัวชาวบ้านชนบทที่ยากจน อยู่สลัม เก็บผักขาย เจ็บป่วย ฯลฯ แต่เด็กโตขึ้นมาเป็นเด็กดี กตัญญู แม้ไม่มีเงินเรียนหนังสือก็ทำงานหาเก็บ ทำให้พ่อแม่ภูมิใจ ก็มีตั้งมากมาย
เพราะฉะนั้นผมสรุปเอาเองว่า สถานภาพทางสังคมหรือสภาพแวดล้อมไม่น่าจะมีส่วนในการอบรมเด็กคนนึงให้ดีหรือเลว แต่ตัวคนที่เลี้ยงดูนี่แหละมีส่วนอย่างมาก สอนอย่างไร อบรมอย่างไร โตมาก็จะเป็นแบบนั้น
ยิ่งในหน้าหนังสือพิมพ์ หลายคดีเราเห็นพ่อหรือแม่เด็กในสื่อ แล้วมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า.. รู้แล้วทำไมลูกมันถึงเป็นแบบนี้
บ่อยมากเข้าๆ จนผมต้องตั้งคำถาม ผู้ปกครองของเด็กที่มีปัญหาสมควรไหมที่ต้องมีส่วนรับโทษ หากเด็กก่อความเดือดร้อนแก่สังคม
จะเป็นโทษปรับเงินก็ได้ แต่ขอให้ต้องมีส่วนรับผิดชอบบ้าง
อย่างข่าวดีเจเชาเชา ล่าสุดนี่ผมปวดหัวเลย คนเป็นแม่ไม่มีแม้แต่ความสลดหรือสำนึกหรือสมเพชตัวเองที่ผลิตลูกขึ้นมาเป็นคนแบบนี้ แต่กลับลอยหน้าลอยตาเหมือนถือไพ่เหนือกว่า เรียกร้องไม่จบสิ้นทั้งๆที่ความจริง และหลักฐานก็ปรากฏกับสังคมแล้ว เงินที่เชาเชาช่วยค่าทำศพก็เอาไปใช้หนี้ แล้วยังมีหน้ามาบอกอีกว่าจะเก็บบิลค่าทำศพไว้เบิกกับเชาเชา
ถ้าเป็นพ่อแม่ปกติ ย้ำว่าปกตินะครับ ผมว่าอย่างน้อยๆคือต้องรู้สึกผิดแหละ ภาพจากกล้องขนาดนั้น พยานขนาดนั้น รู้แก่ใจว่าลูกเป็นคนขับไปตัดหน้าเขา แต่ทำไมยังทำหน้าเหนือชั้นไปอีก ไม่รู้ทนายแนะนำยังไงนะครับ หรือว่าป้าเขาเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว
คดีนี้ผมกลัวนะบอกตามตรง ถ้าวันดีคืนดีเจอกับตัวเอง ผมก็ได้แต่หวังว่าผมจะไม่เจอแบบป้าคนนี้
เด็กที่โตขึ้นมาแล้วสร้างความเดือดร้อนกับสังคม พ่อแม่ควรรับโทษทางกฏหมายได้แล้วนะครับ
เด็กทุกคนเกิดมาเหมือนผ้าขาว ดีหรือไม่ดีอยู่ที่คนเลี้ยงดู การที่มีเด็กคนนึงโตมาเป็นเด็กแว๊น สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม แม้ตอนหมดลมหายใจไปก็ยังไม่วายทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีก พ่อแม่คนที่มีส่วนต้องรับผิดชอบไม่น้อยไปกว่าเด็กเลยในความคิดของผม
บางคนอาจคิดว่าคนเราเกิดมาต้นทุนไม่เท่ากัน การเป็นคนจน พ่อแม่ทำงานหาเช้ากินค่ำทำให้ไม่มีเวลาสอนลูก จนออกมาแบบนี้
แต่ผมว่าไม่จริง ผมเห็นครอบครัวชาวบ้านชนบทที่ยากจน อยู่สลัม เก็บผักขาย เจ็บป่วย ฯลฯ แต่เด็กโตขึ้นมาเป็นเด็กดี กตัญญู แม้ไม่มีเงินเรียนหนังสือก็ทำงานหาเก็บ ทำให้พ่อแม่ภูมิใจ ก็มีตั้งมากมาย
เพราะฉะนั้นผมสรุปเอาเองว่า สถานภาพทางสังคมหรือสภาพแวดล้อมไม่น่าจะมีส่วนในการอบรมเด็กคนนึงให้ดีหรือเลว แต่ตัวคนที่เลี้ยงดูนี่แหละมีส่วนอย่างมาก สอนอย่างไร อบรมอย่างไร โตมาก็จะเป็นแบบนั้น
ยิ่งในหน้าหนังสือพิมพ์ หลายคดีเราเห็นพ่อหรือแม่เด็กในสื่อ แล้วมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า.. รู้แล้วทำไมลูกมันถึงเป็นแบบนี้
บ่อยมากเข้าๆ จนผมต้องตั้งคำถาม ผู้ปกครองของเด็กที่มีปัญหาสมควรไหมที่ต้องมีส่วนรับโทษ หากเด็กก่อความเดือดร้อนแก่สังคม
จะเป็นโทษปรับเงินก็ได้ แต่ขอให้ต้องมีส่วนรับผิดชอบบ้าง
อย่างข่าวดีเจเชาเชา ล่าสุดนี่ผมปวดหัวเลย คนเป็นแม่ไม่มีแม้แต่ความสลดหรือสำนึกหรือสมเพชตัวเองที่ผลิตลูกขึ้นมาเป็นคนแบบนี้ แต่กลับลอยหน้าลอยตาเหมือนถือไพ่เหนือกว่า เรียกร้องไม่จบสิ้นทั้งๆที่ความจริง และหลักฐานก็ปรากฏกับสังคมแล้ว เงินที่เชาเชาช่วยค่าทำศพก็เอาไปใช้หนี้ แล้วยังมีหน้ามาบอกอีกว่าจะเก็บบิลค่าทำศพไว้เบิกกับเชาเชา
ถ้าเป็นพ่อแม่ปกติ ย้ำว่าปกตินะครับ ผมว่าอย่างน้อยๆคือต้องรู้สึกผิดแหละ ภาพจากกล้องขนาดนั้น พยานขนาดนั้น รู้แก่ใจว่าลูกเป็นคนขับไปตัดหน้าเขา แต่ทำไมยังทำหน้าเหนือชั้นไปอีก ไม่รู้ทนายแนะนำยังไงนะครับ หรือว่าป้าเขาเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว
คดีนี้ผมกลัวนะบอกตามตรง ถ้าวันดีคืนดีเจอกับตัวเอง ผมก็ได้แต่หวังว่าผมจะไม่เจอแบบป้าคนนี้