อยากถามเกี่ยวกับ หลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ ครับ

1. ของหลวงตาเป็นสายอะไรครับ
2.ปฏิบัติอะไรบ้างครับ
3.และอื่นๆแนะนำเกี่ยวกับหลวงตาม้า ขอเพิ่มเติมนะครับแบบละเอียด
4.ขอประสบการณ์ที่ฝึกกับสายหลวงตาม้าครับ
ที่อยากถามคือ ผมจะบวช 2 พรรษา
อย่างแรกคือ บวชวัดในแถวบ้านก่อน แล้วไปวัดท่านหลวงตาครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
ประวัติหลวงตาม้า วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) จ.เชียงใหม่

กำเนิดหน่อพุทธภูมิ
พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า) ถือกำเนิดที่ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร ในสกุล สุวรรณคุณ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๗ โยมบิดาชื่อวันดี โยมมารดาชื่อโสภา เป็นบุตรคนที่ ๒ ในพี่น้องทั้งหมด ๓ คน โดยเมื่อหลวงตาเกิดมานั้น คุณแม่ได้นำท่านไปฝากให้คุณยายเลี้ยง ทำให้ท่านได้มีโอกาสคุ้นเคยกับการเข้าวัดอยู่เสมอมาตั้งแต่เล็ก โดยหลวงตาเล่าว่า ในสมัยยังเด็กนั้น ท่านเคยไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พ่อแม่ครูบาอาจารย์ใหญ่แห่งสายพระป่าด้วย ซึ่งในงานนั้นท่านได้มีโอกาสพบเห็นพระธุดงค์สายพระป่าผู้มีปฏิปทาจริยวัตรงดงามเรียบร้อยมาร่วมงานอย่างมากมาย

ร่วมรบในสงครามเวียดนาม
ในช่วงที่เกิดสงครามเวียดนามขึ้นนั้น หลวงตาได้มีโอกาสไปร่วมรบในสงครามเวียดนามด้วย โดยได้ร่วมรบอยู่เป็นเวลานานถึง ๑ ปีเต็ม ซึ่งในตอนที่เป็นทหารอยู่นั้น หลวงตาเล่าว่า ท่านได้เก็บพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านรุ่นแรกปี ๒๔๙๗ ได้โดยบังเอิญในบริเวณสนามรบโดยไม่รู้ว่าเป็นของใคร ท่านจึงนำมาพกติดตัวไว้ในกระเป๋าเรื่อยมา แต่หลังจากสงครามสงบแล้ว พระองค์นั้นก็ไม่รู้ว่าได้ตกหายไปที่ใด
ในขณะที่ร่วมรบอยู่นั้น หลวงตาได้ประสบภัยจากสงครามด้วย โดยท่านโดนสะเก็ดระเบิดกระเด็นฝังเข้าที่หลังของท่านอย่างจัง แต่กลับไม่เป็นอะไรมาก เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์บอกว่าถ้าแผลไม่อักเสบก็ไม่จำเป็นต้องผ่าออก ซึ่งแผลนั้นก็ไม่มีอาการอักเสบแต่อย่างใด กลางแผ่นหลังของหลวงตาจึงมีสะเก็ดระเบิดฝังอยู่เป็นอนุสรณ์จากการร่วมรบนับแต่นั้นเป็นต้นมา โดยหลวงตาได้เล่าให้ฟังว่า ในภายหลังเมื่อท่านได้พบกับหลวงปู่ดู่แล้ว หลวงปู่ได้เมตตาอธิษฐานจิตให้สะเก็ดระเบิดที่ฝังอยู่กลางหลังนั้นกลายเป็นพระไปเรียบร้อยแล้ว

พบหลวงปู่ดู่ ศึกษากระแสพลังเหนือพลัง
ต่อมาหลวงตาได้เข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยเข้ามาเป็นเด็กวัดอยู่ที่วัดเบญจมบพิตรคณะ ๑๑ จากนั้นท่านจึงได้เข้าทำงานอยู่ที่ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่ (บริเวณซอยอารีย์) และในช่วงที่ทำงานอยู่นี้เองเพื่อนคนหนึ่งของท่านได้ไปบวชที่วัดสะแก ท่านจึงได้ตามไปงานบวชของเพื่อนและได้พบกับหลวงปู่ดู่เป็นครั้งแรกเมื่อประมาณพ.ศ. ๒๕๑๙-๒๕๒o
ครั้งแรกที่หลวงตาได้พบหลวงปู่ดู่นั้น หลวงปู่ได้มอบพระให้ท่าน ๑ องค์ เพื่อนำไปใช้กำไว้ขณะทำสมาธิ และสอนให้ภาวนาไตรสรณคมน์“พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ซึ่งในครั้งแรกที่หลวงตานำพระมากำทำสมาธิตามที่หลวงปู่สอนนั้น ท่านก็รู้สึกว่าสามารถทำสมาธิได้นิ่งสงบเบาสบายดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และหลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน หลวงตาไม่เคยไปศึกษากับครูบาอาจารย์ท่านใดอีกเลย มุ่งศึกษากระแสพลังเหนือพลังจากหลวงปู่ดู่เพียงองค์เดียวมาโดยตลอด โดยหลวงตากล่าวว่า “หลวงปู่จะสอนศิษย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน ท่านจะดูจากจริตนิสัยบุญบารมีของแต่ละคน เวลาหลวงปู่อยู่กับหลวงตาเพียงลำพังก็จะสอนอีกแบบหนึ่งไม่เหมือนคนอื่น หลวงปู่ท่านมีความรู้มาก มีบุญบารมีเต็มล้นแล้ว หลวงตาเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของท่านเท่านั้น”
หลวงตาได้เล่าให้ฟังเรื่องบุญบารมีอันมากล้นของหลวงปู่ดู่ว่า “ในสมัยนั้น แม้หลวงปู่จะอายุกว่า๗o ปีแล้ว แต่ท่านยังมีผิวสีชมพูสวยมาก ใครไปแตะโดนตัวท่านไม่ได้ ท่านมีบุญบารมีบริสุทธิ์มาก แต่พวกเรายังมีกิเลสมาก แตะโดนแล้วตัวท่านจะบวมเลย มีครั้งหนึ่งลูกศิษย์ขอปิดทองบูชาที่ขาท่าน ท่านก็เมตตาให้ปิด แต่พอเช้าวันต่อมาขาท่านบวมทั้งสองข้างเลย ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่อนุญาตให้ใครปิดทองตัวท่านอีกเลย” หลวงตาเล่าพลางหัวเราะเบาๆก่อนทิ้งท้ายว่า “ตอนนั้นหลวงตาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไปปิดทองหลวงปู่ด้วย ตอนนั้นเราไม่รู้”
ในสมัยที่หลวงปู่ดู่ยังอยู่นั้น หลวงปู่และลูกศิษย์จะช่วยกันสร้างพระทุกวันเพื่อฝึกให้ใจอยู่กับพระเสมอและนำพระไปใช้กำทำสมาธิภาวนา ซึ่งหลวงปู่ได้กล่าวถึงเรื่องพระเครื่องที่คนมักมองว่าเป็นเรื่องงมงายไว้อย่างน่าคิดว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล” อย่างน้อยดึงให้ใจเขาติดอยู่กับพระเครื่อง ให้เห็นพระทุกวันก็เป็นพุทธานุสติ ใจเขาก็เป็นบุญ ดีกว่าปล่อยให้ใจเขาไปติดอยู่กับเหล้ายากิเลสสิ่งไม่ดีอื่นๆ โดยลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่ศึกษาวิธีการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ไว้อย่างครบถ้วน และช่วยท่านสร้างพระมาตลอดในสมัยนั้นก็คือ “หลวงตาม้า” นั่นเอง

บวชจิตให้เป็นพระ
ในสมัยที่หลวงตาเป็นฆราวาสนั้น ท่านเทียวไปเทียวมากรุงเทพฯ-อยุธยาเพื่อศึกษาแนวทางการปฏิบัติต่างๆกับหลวงปู่ดู่เป็นเวลากว่า ๑o ปี และมีความรู้สึกอยากบวชมาตลอด ต่อมาเมื่อปรึกษาเรื่องการบวชกับหลวงปู่ ท่านได้บอกว่า ผู้ที่จะเป็นพระนั้น ใจต้องเป็นพระ บวชจิตให้เป็นพระ ตัวเราก็เป็นพระ โดยท่านสอนเรื่อง “การบวชจิต” ไว้ว่า ขณะกราบพระ ขณะนั่งสมาธิภาวนา ก็ให้นึกว่า
“พุทธังสรณังคัจฉามิ”- เรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌาย์
“ธัมมังสรณังคัจฉามิ”- เรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์
“สังฆังสรณังคัจฉามิ”- เรามีพระอริยสงฆ์เป็นพระอนุสาวนาจารย์
สำรวมจิตให้ดีมีความยินดีในการบวชชายก็เป็นภิกษุหญิงก็เป็นภิกษุณีพยายามรักษาใจให้เป็นพระอยู่เสมอจะมีอานิสงส์สูงเป็นเนกขัมมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ ตื่นมาก็กราบพระนั่งรถ ทำงานกินข้าว อาบน้ำทำอะไรก็ให้นึกถึงพระทำใจให้อยู่ในบุญเสมอตามองอะไรก็ให้ได้บุญมองพระดูบทสวดมนต์หูฟังอะไรก็ให้ได้บุญได้ยินใครทำบุญก็อนุโมทนาไม่ใช่หูผึ่งฟังแต่เรื่องนินทาว่าร้ายกันใจอยู่กับบุญไปเรื่อยๆมันจะเบาสบายอะไรที่ไม่เป็นบุญมันจะไม่อยากเข้าใกล้ไม่อยากกินเหล้าเมายาสร้างบาปกรรมใดๆพอใจเป็นพระบ่อยๆเข้ากายก็จะค่อยๆเป็นพระไปเองต้องเริ่มจากข้างในไม่ใช่ข้างนอกบางคนข้างนอกห่มจีวรเป็นพระแต่ใจเป็นโจรก็ไม่เรียกว่าเป็นพระ

ตายแล้วเกิดใหม่ก่อนออกบวช
แม้หลวงตาจะเป็นฆราวาสแต่ก็บวชใจเป็นพระเรื่อยมา จนกระทั่งประมาณ ๑ ปีก่อนจะออกบวชจริงๆ ขณะที่ท่านขับมอเตอร์ไซด์อยู่ที่อยุธยา รถของท่านก็โดนรถเฉี่ยวจนตัวท่านลอยสูง แล้วตกลงมาหัวโหม่งกับพื้นถนนอย่างรุนแรงจนสลบไป!! หลังจากนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว หมอบอกว่ากะโหลกของท่านร้าว แต่โชคดีมากที่ไม่มีเลือดคั่งในสมองและไม่มีบาดแผลรุนแรงใดๆเลย เพียง ๓ เดือนกะโหลกก็ประสานกันดีเหมือนเดิม ซึ่งหลวงตาเล่าให้ฟังว่า วันนั้นท่านห้อยเพียงพระและสวมแหวนของหลวงปู่เท่านั้น ต่อมาเมื่ออาการดีขึ้นท่านจึงไปกราบหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ได้บอกว่า “ตายแล้วเกิดใหม่ เอ็งมีชีวิตใหม่แล้ว ชีวิตเก่าตายไปแล้ว นี่คือชีวิตใหม่แล้ว!!”

บวชพร้อมทั้งกายและใจ
หลังผ่านอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ผ่านการบวชจิต การศึกษาแนวทางปฏิบัติต่างๆจากหลวงปู่ดู่มาอย่างเต็มภูมิแล้ว หลวงตาก็พร้อมจะบวชเป็นพระทั้งกายและใจ แต่เนื่องจากหลวงปู่ดู่ไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านได้บอกไว้ว่า “เวลาบวชต้องดูอุปัชฌาย์ ถ้าอุปัชฌาย์ไม่เป็นพระ เราก็เป็นพระไม่ได้” หลวงตาจึงได้ไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๑ ณ วัดพุทไธศวรรย์ จ.อยุธยา โดยมีพระครูภัทรกิจโสภณ (หลวงพ่อหวล) เจ้าอาวาสวัดพุทไธศวรรย์ (สมณศักดิ์ปัจจุบันคือ พระพุทไธศวรรย์วรคุณ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสุนทรธรรมนิเทศ (บุญส่ง) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูพิจิตรกิจจาทร (เสน่ห์) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า “วิริยธโร”
หลังจากบวชแล้ว หลวงตาต้องการจะออกธุดงค์เลย แต่หลวงพ่อหวลได้บอกให้อยู่ให้ครบพรรษาก่อน โดยขณะที่จำพรรษาอยู่วัดพุทไธศวรรย์นั้น หลวงพ่อหวล ผู้สืบวิชาสายหลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช และวิชาเหล็กไหลจากสายหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ยังจะถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆให้กับหลวงตาด้วย ทั้งที่ปกติท่านไม่เคยถ่ายทอดวิชาให้ใคร แต่หลวงตาก็ขอไม่เรียน เพราะท่านรู้สึกว่าเรื่องของคาถาอาคมมีพิธีกรรมมาก ต้องใช้เวลาเรียนและจดจำมาก และตัวท่านเองก็สนใจแต่การปฏิบัติตามแนวทางของหลวงปู่ดู่เพียงองค์เดียวเท่านั้นมาตลอด
หลังออกพรรษา หลวงตาก็มากราบลาหลวงปู่เพื่อออกธุดงค์ หลวงปู่จึงมอบเงินให้หลวงตาไว้ ๕oo บาท รวมทั้งของใช้จำเป็นต่างๆ และได้หันไปหยิบ “รูปหล่อหลวงปู่ดู่เนื้อปูน” มาให้ ๑ องค์ แล้วบอกหลวงตาว่า “เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย... หากสงสัยอะไรในการปฏิบัติให้แกถามเอาจากพระองค์นี้!!” (พระองค์นี้ ปัจจุบันได้มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งมาขอจากหลวงตาไปแล้ว)

พระของหลวงปู่วิ่งได้ พูดได้ พระของหลวงตาก็ดิ้นได้เหมือนมีชีวิต
หลายท่านอาจสงสัยว่า พระที่หลวงปู่ให้มานั้นเป็นพระปูนไม่มีชีวิต จะพูดบอกตอบคำถามของหลวงตาได้อย่างไร แต่ในลูกศิษย์สายหลวงปู่ดู่นั้น ทุกคนจะรู้ดีว่า “พระของหลวงปู่มีชีวิต!” ดังที่หลวงตาเคยเล่าว่า “มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่นำพระมาใส่ในกะละมัง แล้วให้ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นซึ่งมีหลวงตาอยู่ด้วย ช่วยกันหลับตาอธิษฐานจิตปลุกเสกพระ ทุกคนก็หลับตา แล้วสักพักก็ได้ยินเสียงดัง‘โกรกกรากๆ..’ ทุกคนก็นึกว่าหลวงปู่เอามือลงไปกวนในกะละมังเลยไม่ได้สนใจอะไร ต่อมาลูกศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ในตอนนั้นได้มาเล่าให้ฟังว่า ตอนได้ยินเสียงนั้นเขาแอบลืมตาดู ปรากฏว่าหลวงปู่ไม่ได้เอามือลงไปกวน ท่านเพียงเอามือจับกะละมัง แต่พระที่อยู่ข้างในกลับวิ่งวนไปมาจนเกิดเสียงดัง!! พอท่านหันมาเห็นว่าเขาแอบดู ท่านเลยทำมือจุ๊ปากห้ามไม่ให้เล่าให้ใครฟัง จนท่านมรณภาพไปแล้วจึงได้มาเล่าให้ฟังทีหลัง”
เมื่อหลวงตาเล่ามาถึงตรงนี้ ก็ทำให้ผู้เขียนอดนึกถึงเรื่องอัศจรรย์ที่ได้เจอจากพระที่หลวงตาท่านแจกให้ไม่ได้ ตอนได้พระมาใหม่ๆ ด้วยนิสัยไม่เชื่ออะไรง่ายๆจนกว่าจะพิสูจน์ให้เห็นจริง ผู้เขียนจึงเอาพระมาลองกำทำสมาธิดู ก็รู้สึกเหมือนมีกระแสพลังงานที่เบาสบายวิ่งผ่านจากพระเข้ามาในตัว ทำให้นั่งภาวนาได้สงบดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่พอจิตนิ่งสงบดีได้สักพักผู้เขียนก็ต้องตกใจ... เพราะพระที่กำไว้ในมือนั้น เกิดอาการดิ้นไปมาได้!! พอลองลืมตาดูก็หยุดไป ในใจก็สงสัยว่าคงคิดไปเอง แต่พอหลับตากำพระทำสมาธิต่อสักพัก พระก็เริ่มดิ้นอีก คราวนี้ดิ้นแรงกว่าเดิมจนได้ยินเสียงดัง‘ แกร๊กๆ..’ ซึ่งเป็นเสียงพระ ๒ องค์ที่กำไว้กระทบกัน!! หลังจากนั้นพระก็ยังดิ้นๆหยุดๆอยู่อีกหลายครั้งจนผู้เขียนมั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ และเมื่อนำเรื่องพระดิ้นได้มาเล่าให้ลูกศิษย์หลวงตาฟัง กลับไม่มีใครมีท่าทีตื่นเต้นเลย เพราะทุกคนบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีหลายคนเคยนำพระของท่านไปกำทำสมาธิแล้วพระเกิดดิ้นได้เช่นนี้เหมือนกัน เมื่อรู้เช่นนั้นผู้เขียนจึงลองนำพระของหลวงตา ไม่ว่าจะเป็นพระเนื้อผง เหรียญรุ่นต่างๆ (อย่าเพิ่งเชื่อผู้เขียนจนกว่าจะได้ลองปฏิบัติจนเห็นจริงด้วยตนเอง)
เมื่อนำเรื่องพระดิ้นได้มาถามหลวงตา ท่านก็ยิ้มและบอกว่า “พระของหลวงปู่หลวงตา ดิ้นได้ พูดได้ทุกองค์!!” เพราะเวลาอธิษฐานจิตปลุกเสกนั้น ท่านจะอาราธนารวมกำลังบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระโพธิสัตว์ทั้งปวง เทพพรหมทั่วสามแดนโลกธาตุ บุญบารมีของท่านทั้งหมด ให้มารวมกำลังกันเป็นกระแสพลังเหนือพลัง ผ่านพระคาถามหาจักรพรรดิลงไปสู่พระเครื่องทุกองค์ และยังได้อธิษฐานจิตด้วยวิชา “ภูติพระพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นวิชาพิเศษในสายหลวงปู่ดู่ ที่ทำให้วัตถุมงคลของท่านทุกองค์สามารถดิ้นได้ พูดได้ ราวกับมีชีวิต โดยเฉพาะกับผู้ที่หมั่นนำไปกำภาวนาจนจิตเกิดความสงบเบาสบาย และสามารถจูนพลังงานจิตของตนให้เข้ากับพลังเหนือพลังที่หลวงปู่หลวงตาได้อธิษฐานไว้ในพระได้แล้ว

พญานาคที่ถ้ำฮก
หลังจากกราบลาหลวงปู่ดู่แล้ว หลวงตาได้เดินทางโดยรถไฟไปยังเชียงใหม่ แล้วเริ่มออกธุดงค์กำหนดจิตตามหาสถานที่ที่มีกระแสพลังงานเกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ดู่ไปเรื่อยๆ จนไปถึงพระบาทสี่รอย ท่านได้พบกับผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ได้บอกเล่าถึงตำบลเมืองนะว่า มีถ้ำที่มีบรรยากาศสงบสัปปายะเหมาะกับการปฏิบัติธรรม ซึ่งท่านได้ฟังแล้วรู้สึกว่ามีลักษณะคล้ายกับที่ตามหาอยู่ ท่านจึงได้ออกธุดงค์ต่อไปยังเมืองนะ
เมื่อธุดงค์มาถึงเมืองนะ ในช่วงแรกหลวงตาได้ไปพักอยู่ที่ถ้ำฮก ซึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า “ที่ถ้ำฮกจะมีงูอยู่ตัวหนึ่ง ตัวสีเขียวเหลือบแดง แล้วมีหงอนด้วย ก็คือพญานาคนั่นหล่ะ เค้าจะมาขดตัวอยู่ใกล้ๆกับกลดที่เราปฏิบัติธรรมทุกวัน แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ต่างคนต่างอยู่” โดยหลวงตาได้อยู่ปฏิบัติธรรมที่ถ้ำนี้ประมาณ ๑ เดือน แต่เนื่องจาก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่