วิจารณ์ >>ระบบการศึกษาไทยล้มเหลวจริงหรือ? Vs. ระบบการศึกษาเยอรมัน จากมุมมองของเด็ก18 (12th grade/ม.6)<<

พอดีแอบเห็น Reviews เยอะแยะมากมายของ ภาพยนต์ใหม่ล่าสุดของค่ายหนังดังอย่าง GDH "ฉลาด|เกมส์|โกง" ที่พอได้เข้าไปอ่านก็เลยทำให้รู้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ criticize ระบบการศึกษาไทย

เราก็เลยเกิดมี inspiration ในการทำกระทู้นี้ขึ้นมา (เลย Tag ชื่อภาพยนตร์ด้วย คงไม่ว่ากันเนอะ)
เนื่องจากตัวเราเอง ก็เคยผ่านการคัดเกลาจากระบบการศึกษาไทยจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่1
ก่อนที่จะย้ายมาศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมันนีจนถึงปัจจุบัน

วันนี้ก็เลยอยากจะลองมา discuss กับทุกๆคนดูว่า ระบบการศึกษาของไทยเราล้มเหลวจริงเหรอ? แล้วระบบการศึกษาของประเทศเยอรมันไร้ที่ติจริงหรือไม่?

ก่อนที่จะไปถึงคำถามใหญ่ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น
เราอยากจะขอแชร์ความแตกต่างที่ได้ชัดของทั้ง 2 ระบบ ที่ตัวเราเองได้สังเกตมา ให้ทุกๆคนได้พิจารณากันก่อน.....

1.ขอเริ่มตั้งแต่การศึกษาในระดับชั้นอนุบาลเลยก็แล้วกันนะคะ....

สำหรับที่ประเทศเยอรมันคำว่า "Kindergarten"
ยังไม่ใช่ "Schule" นะคะ ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษคือ "Kindergarten" ยังไม่ใช่ "School" นั่นเอง

คำว่า Kindergarten ที่พวกเรารู้จักกันในภาษาอังกฤษ จริงๆแล้วมีรากศัพท์มาจากภาษาเยอรมันนะ โดยแปลตรงตัว Kinder คือ children แล้ว Garten คือ garden ถ้าให้แปลตรงๆห้วนๆเลยก็คือ "สวนสำหรับเด็ก" นั่นเอง

ซึ่งนั่นก็หมายความว่า Kindergarten ของที่ประเทศเยอรมัน พ่อแม่ไม่ได้ถูกบังคับตามกฎหมายให้ "ต้อง" ส่งลูกๆเข้าไป ก่อนที่จะเข้าโรงเรียน

แต่ส่วนใหญ่คนที่นั่นก็จะมักจะส่งลูกๆไปเข้า Kindergarten เนื่องจากปัจจัยต่างๆ
ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่ทำงานนอกบ้านทั้งคู่ แล้วคุณแม่สามารถพักงานมาดูแลลูกได้แค่ 1 ปี
แล้วคุณพ่ออีก 1 ปี (โดยที่ยังได้รับเงินเดือนอยู่)
หรือ บางคนก็เห็นความจำเป็นของการให้ลูกๆ เข้าสังคมภายนอกบ้านบ้าง เช่น เรียนรู้ในการมีเพื่อน หรือ
บางคนที่พ่อแม่เป็นชาวต่างชาติ (เนื่องจากที่ประเทศเยอรมันมีชาวต่างชาติอาศัย ย้ายมาอยู่เป็นจำนวนมาก) ทำให้ต้องส่งลูกมาเรียนภาษาเยอรมันที่ Kindergarten เป็นต้น...

แต่ประเด็นหลักที่จะพูดก็คือ Kindergarten ไม่ใช่ School !! นั่นหมายความว่าเขาจะเน้น
เรื่องการพัฒนาในการเข้าสังคมของเด็ก มากกว่า การเรียนในตำราอย่างจริงจัง เนื่องจาก Kindergarten
จะเป็นสังคมนอกบ้าน สังคมแรกถัดจาก Family สำหรับเด็กๆในวัยนั้น นั่นหมายความว่า
เด็กๆจะได้เรียนรู้การ make friends กับเด็กวัยเดียวกัน หรือ การ handle กับ ผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่ พ่อแม่หรือญาติ นั้นก็คือ บรรดาคุณครู
ได้ "ใช้ชีวิต" นอกบ้าน "ด้วยตัวเอง" เป็นครั้งแรก ทำให้ต้องแก้ไขปัญหา สถานการณ์ต่างๆ ด้วยตัวเอง หรือเรียนรู้ที่จะขอความช่วยเหลือจากคุณครูเมื่อจำเป็น

คือที่เยอรมัน Kindergarten จะเน้น การเล่น การทดลอง ดนตรี ศิลปะ กีฬา และ ทัศนศึกษา (เราจะเห็น group เด็กๆ มาขึ้นรถบัสเพื่อไปทัศนศึกษากับคุณครูค่อนข้างบ่อย) คือ อาจะมีเรียน เขียน อ่าน บ้าง เล็กน้อย แต่จะน้อยมาก และไม่ได้เป็นตำราเรียน แต่จะให้อ่านอะไรที่สนุกๆ อย่าง หนังสือภาพที่อาจจะมีตัวอักษรอยู่บ้าง แต่เด็กๆ จะสามารถเข้าใจเรื่องราวจากภาพได้ หรือการหัดเขียนชื่อตัวเอง เนื่องด้วยจะเป็นสิ่งที่เขาสนใจ หรือ การฝึกคิดเลข ผ่าน เกมส์ต่างๆ
การเล่นเกมส์ เป็นสิ่งที่สำคัญมากใน Kindergarten
ที่ประเทศเยอรมันจะมีเกมส์หลากหลาย สำหรับหลายช่วงอายุ แต่สำหรับเด็กๆวัยอนุบาลผู้ใหญ่จะให้ความสำคัญกับการเล่นเกมส์มากเป็นพิเศษ เนื่องด้วยจะฝึกเด็กๆ ให้มีทั้งระเบียบวินัย ในการเคารพกฎของเกมส์ ฝึกทักษะต่างๆ(อย่างการนับเลข, คำศัพท์ etc.) ที่ซ่อนเอาไว้ในความสนุกสนานของเกมส์ และที่สำคัญ
น้ำใจนักกีฬา ในการรู้แพ้รู้ชนะ

ตอนนี้มาถึง "โรงเรียนอนุบาล" ของไทย
คือก่อนหน้านี้เราลอง google คำว่า "Kindergarten" แล้วคลิ๊กเข้าไปที่ Wikipedia ดู ปรากฏว่าพอเราคลิ๊กเข้าไปที่ ภาษาไทย ทาง Wikipedia ของไทย ได้แปล "Kindergarten" ว่า "โรงเรียนอนุบาล"

ซึ่งเราค่อนข้างจะเห็นด้วยว่า "Kindergarten" ของประเทศไทย มันไม่ใช่ "Kindergarten" แต่มันแทบจะไม่ต่างอะไรกับ "School" มากนัก

ตัวเราเองได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนอนุบาล ในประเทศไทยเป็นเวลา 3 ปี และหลังจาก 3 ปี นั้น เราสามารถอ่านออก เขียนได้อย่างคล่องแคล่วในระดับเบสิค ทั้งภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ แถมยังมีความรู้ด้านคณิตศาสตร์ สามารถ บวก และ ลบ พื้นฐานได้อย่างคล่องแคล่ว

ที่โรงเรียนอนุบาลที่เราเคยเรียน มีตารางเรียน มีสมุด หนังสือแบบฝึกหัดของแต่ละวิชา มีการบ้าน มีสมุดจดการบ้าน และมีการสอบ ไม่ต่างจาก โรงเรียนประถม
และที่สำคัญคือมีเกรดวัดผลออกมาด้วย...
เราเคยต้อง "หยุดเรียน" หลายอาทิตย์ เนื่องจากเป็นอีสุกอีใส ทำให้เกิดการ "เรียนไม่ทัน" เพื่อนๆ และเป็นสาเหตุให้ต้องมีการ "เรียนพิเศษ" เกิดขึ้น

สมัยก่อนที่เราจะย้ายมาอยู่ที่ประเทศเยอรมันนี เราเคยคิดว่า "อนุบาล" ก็คือ "โรงเรียน" นั่นแหละ จนกระทั่ง เคยเกิดเหตุการ์ณที่มีเพื่อนชาวเยอรมันคนหนึ่งถามว่า
"เรียนมาจากเมืองไทยกี่ปี"
แล้วเราตอบว่า "10ปี"
เขาก็เลยถามว่า "ถ้าอย่างนั้นก็จบ 10th grade (ม.4) มาจากที่เมืองไทยใช่ไหม?
เราก็ตอบว่า "ไม่ใช่"
เขาก็ถามว่า "เป็นไปได้ยังไง หรือว่า ซ้ำชั้น"
เราก็ตอบว่า "เปล่า แต่เราเรียนที่ "โรงเรียนอนุบาล" มา 3 ปี"
เขาก็ตอบกลับมาว่า "อนุบาลไม่ใช่โรงเรียนนะ ไม่นับซักหน่อย"

และนี่ก็คือข้อแตกต่างในระบบการศึกษาข้อแรกจากที่เราสังเกตมา และถ้าถามความคิดเห็นเราว่า
"แล้วแบบไหนดีกว่ากันล่ะ?" สำหรับเรา เราก็คิดว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสียคนละแบบ
การศึกษาแบบเขาเป็นการศึกษาที่ทำขึ้นมาได้อย่างเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กในวัยนั้น
โดยคำนึงถึงความสามารถในการพัฒนาของเด็กที่ยังมีขีดจำกัดอยู่มาก เขาไม่พยายามที่จะทำให้เด็กแบบ overextended มากจนเกินไป
ซึ่งถ้าจะมองเป็นข้อดีก็ได้ แต่ข้อเสียก็คือ
เด็กจะไม่ได้รับความรู้สึกถูก "กดดัน" เลย ทำให้ต่อไปเมื่อต้องเข้าระบบ "โรงเรียน" จริงๆ
อาจมีบางคนที่รับ "แรงกดดัน" จากระบบโรงเรียน
ที่ต้องมีทั้ง ความรับผิดชอบสูง และ ต้องมีระบบการจัดการ การวางแผนที่ดี (ในการวางแผนตารางเวลาในการทำการบ้าน, ทบทวนบทเรียน etc.) ไม่ได้
และคนเยอรมันส่วนมากจะสามารถรับแรงกดดันได้น้อยกว่าเราคนไทย มาาาากกกๆๆๆ 5555
ตัวอย่างเช่น เพื่อนเราแบบ บ่นว่า เรียน class 1 ทำไมมันนานจังตั้ง 45 นาที เขาไม่สามารถ concentrate กับการนั่งเรียนได้นานขนาดนั้น เราอยากจะบอกว่า
พี่ไทยเราเรียนคาบละ 60 นาทีจร้าาา แล้วเรียนถึง บ่าย4 โมงเย็นด้วยนะ (ถ้าไม่นับเรียนพิเศษแบบจิปาถะ นอกโรงเรียนอีก) แต่ของเขาตอนนี้เรียนถึงแค่ บ่ายโมงกว่า ยังบ่นกันมากมาย เป็นต้น...

ส่วนด้านเราถูก train มาให้รับรู้ถึงระบบโรงเรียนด้วยวัยที่ค่อนข้างเด็กมาก ทำให้รู้สึกคุ้นเคยอยู่แล้ว รู้จักเรียนรู้ความรับผิดชอบ การทำงานกับระบบการศึกษา จนเคยชิน มีความกดดัน และ การแข่งขันสูง ผ่านเกรดวัดผล ที่ออกมาและถูกจัดเป็นลำดับในห้องหรือในชั้น ด้วยความที่เรา ถูกจับยัดใส่ระบบตั้งแต่เด็ก ทำให้เราสูญเสีย "ความเป็นตัวเอง" และ creativity บางอย่างไป เราถูกสั่ง ถูกกำหนด ให้ทำตามแบบแผนของระบบการศึกษา ตั้งแต่เริ่มเรียนรู้

ทำให้เราแทบไม่มีโอกาสที่จะแสดง fantasy, imagination และสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด คือ ความเป็นตัวเรา ออกมา สิ่งเหล่านี้จะถูกกดไว้ลึกมาก และเมื่อผ่านพ้นวัยไปมันจะถูกลืมในที่สุด เราจะลืมให้ความสำคัญกับมัน ทำให้เมื่อเด็กไทยโตขึ้นต้องเผชิญกับชีวิตจริงหรือกับอะไรก็ตามที่ไม่ได้ทำงานเป็น "ระบบ" อาจจะรับมือกับสิ่งๆนั้น ได้ยาก เพราะ ความเคยชินกับการ "มีคนสั่ง" ว่าต้องทำอะไรบ้างทำให้ freedom ในวัยเด็ก และ ความเป็นตัวเอง
หายไป และสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้อีกในตอนโต.... ถ้าเปรียบเทียบกัน เด็กเยอรมันจะมีความเป็นตัวของตัวเองค่อนข้างสูง เขาจะไม่เชื่อ และทำตามสิ่งที่ถูกบอก โดยไม่ question ก่อนว่าสิ่งๆนั้น make sense สำหรับเขาไหม หรือ โอเค สำหรับตัวเขาหรือเปล่า

หากเปรียบเทียบกับทางเยอรมันที่จะเน้นการเล่นและทักษะด้านสังคม ทางเราก็มีกิจกรรมสนทนาการที่ถูกจัดขึ้นเพื่อ"พัฒนาทักษะของเด็ก" แต่ถ้ามองอีกมุมนึง หรืออาจจะถูกจัดขึ้น "เพื่อโรงเรียน" เองกันแน่....
สำหรับ aspect นี้เรารู้สึกว่าเราเคยเจอมาโดยตรงจากโรงเรียนอนุบาลที่เราเคยเรียนอยู่

เนื่องด้วยกิจกรรม จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ หนึ่ง "กิจกรรมการแข่งขัน" เช่น แข่งอ่านทำนองเสนาะ, แข่งคิดเลขเร็ว, เขียนเรียงความ, คัดลายมือสวย etc. ที่ถูกจัดขึ้น ไม่ใช่เพื่อพัฒนาทักษะ แต่เป็นการพัฒนา Talents ที่มีอยู่แล้วของเด็กต่างหาก
เพราะ เด็กที่เก่งอยู่แล้วเท่านั้นที่จะได้รับเลือกไปเป็นตัวแทนไปแข่งขัน หรือถ้าหนักหน่อย แข่งเป็นระดับโรงเรียน, จังหวัด หรือ ประเทศ เรารู้สึกว่า มันเข้าข่ายการ "หากิน" กับ talents ของเด็กๆด้วยซ้ำ
เนื่องด้วยสิ่งที่โรงเรียนได้ มันคือชื่อเสียงว่า "มีเด็กเก่งอยู่โรงเรียนนี้นะ พาลูกๆคุณมาเรียนโรงเรียนนี้สิ"

ซึ่งกิจกรรมการแข่งขันแบบนี้ เราว่ามันก็เป็นการสร้างแรงกดดันให้เด็กอีกแบบนึงนะ "ทำไมเพื่อนคนนี้แข่งอันนี้ได้ที่1 ได้ถูกประกาศชื่อหน้าเสาธง แล้วทำไมครูไม่เคยเลือกเราไปเป็นตัวแทนแข่งอะไรเลยล่ะ?" คำถามเหล่านี้คงเคยผุดขึ้นในใจของเด็กหลายๆคน

และกิจกรรมแบบที่สองคือ กิจกรรมสันทนาการอย่าง งานกีฬาสี, งานรำไทย หรือ เต้นวันคริสมาสต์ etc.
ที่ถูกจัดขึ้นโดยเพื่อผลาญเงินอย่างแท้จริง โดยเริ่มต้นจากการส่งจดหมายไปถึงผู้ปกครองให้เสียเงิน ค่าชุด ค่าครูสอนเต้นแสนแพง ค่านู่น ค่านี่ ต่างๆนาๆ ในการที่จะให้เด็ก participate ในการแสดงในแต่ละครั้ง แล้วก็จับให้เด็กขึ้นเวทีแล้ว เต้นท่าง่ายๆ ที่ซ้อมกันกับคุณครูฝึกเต้น บนเวที เพื่อให้ผู้ปกครองที่บางคนต้องเสียเวลางาน พาไปเสียค่าแต่งหน้า ทำผม มานั่งดู แถมยังต้องเสียตังค่าบัตรเข้าอีก
แต่ถ้าไม่ทำ ลูกของฉัน ก็จะไม่ได้ "เข้าร่วมกิจกรรม" ทำให้เด็กอาจเกิดความรู้สึก "เปรียบเทียบ" และ "แปลกแยก" ได้...

ซึ่งที่เยอรมันก็มีกิจกรรมการแสดงที่จะจัดโชว์ให้ผู้ปกครองดูบ้าง แต่ไม่บ่อย อาจจะปีละ 1-2 ครั้ง ซึ่งโชว์จะเป็น โชว์เล็กๆ ที่เด็กๆ และคุณครูช่วยกันคิด ช่วยกันสร้าง ไม่ว่าจะเป็น ชุดที่ตัดปะเอง หรือ การแสดงละคร ตามหนังสือเล่มโปรด ไม่ได้เป็นโชว์ที่หรูหราอลังการอะไรมากมาย ออกจะเล็กหรือไม่ได้ดู professional เท่า งานรำไทย แต่ เด็กๆจะสามารถภูมิใจกับวิ่งที่เขาแสดงให้กับผู้ปกครองได้ดูอย่างเต็มภาคภูมิ...

ทั้ง 2 ระบบมี การเริ่มต้น และ การเตรียมพร้อมเด็กที่ต่างกัน แต่เรากลับคิดว่า การเตรียมพร้อมในแบบของเยอรมัน ก็เหมาะสมกับระบบ "school" จริงๆของเขา
และการเตรียมพร้อมแบบไทย ก็เหมาะสมกับระบบการศึกษาในระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษา ของไทยเองเช่นกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่