
By มาร์ตี้ แม็คฟราย
*บทความนี้อาจเปิดเผยเนื้อหาในช่วงท้าย
ห่างหายจากการกำกับหนังใหญ่ไปร่วม 5 ปี สำหรับ บาส นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ผู้กำกับหนุ่มฝีมือดีจากหนัง เคาท์ดาวน์ (2012) ที่เป็นการเปิดทางหนังแนวใหม่ ๆ ให้กับวงการหนังไทยในตอนนั้น จนกลับมาคราวนี้เขากลับมาเปิดทางใหม่อีกครั้ง ด้วยการเป็นหนังทริลเลอร์สุดระทึกผ่านการโกงสอบ
ทำเหตุการณ์น่าเบื่อที่สุดในโลกให้ลุ้นระทึกได้
สิ่งที่ต้องพูดถึงก่อนเป็นอันดับแรก คือการหยิบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน อันเป็นเหตุการณ์ที่แฝงด้วยความน่าเบื่ออันดับต้น ๆ ของโลกก็คือการสอบที่เต็มไปด้วยความเครียด (สำหรับผู้ที่ทำได้) และความน่าเบื่อชวนง่วงสุด ๆ (สำหรับคนที่ทำไม่ได้) โดยร้อยทั้งร้อยไม่มีใครจะสนุกกับเหตุการณ์นี้ได้แต่หนังกลับทำให้การสอบ เป็นเรื่องที่น่าลุ้นระทึกในระดับหนังแอ็คชั่นระเบิดลูกโตที่สุดในโลกในหนังบางเรื่องยังทำไม่ได้
ผ่านกลวิธีทางด้านภาพยนตร์ที่ถือว่างัดทุกกลวิธีมาใช้ได้อย่างคุ้มค่าสุด ๆ ในจุดนี้ต้องยกคุณงามความดีให้ผู้กำกับ ที่แสดงให้เห็นถึงการกำกับอันมีประสิทธิภาพอันเปี่ยมโดยเฉพาะในแง่ของความลุ้นระทึก ด้วยความกระตือรือร้น ในการกำกับในทุก ๆ ฉากให้มีจังหวะ (Beat) ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยพลังที่ขับเคลื่อนทุกฉากไปด้วยความรวดเร็ว ไม่เยิ่นเย้อ และไม่ปล่อยให้เสียเวลา
ที่เห็นได้ชัดว่าผ่านการเตรียมตัว ทำการบ้าน และเตรียมงานมาเป็นอย่างดี สังเกตได้จากช็อตภาพในหนังที่มีอยู่มากเหลือเกิน (ในฉากเดียว) แต่พอมารวมกันแล้ว มันได้สร้างความระทึกขวัญอย่างได้ผล และทุกช็อตที่ถ่ายทำมานั้นมีความหมาย
อีกส่วนหนึ่ง ที่มองข้ามไปไม่ได้คือ การตัดต่อ โดย ชลสิทธิ์ อุปนิกขิต ที่ตัวเขาเองแสดงให้เห็นในเรื่อง เซ้นต์ของการตัดต่อที่ฉลาดและเปี่ยมด้วยเล่ห์กลและจังหวะอันแพรวพราวเหลือเกินจากเรื่องนี้ เพราะสำหรับหนังที่ต้องการเน้นในเรื่องความลุ้นระทึก การตัดต่อเป็นส่วนที่สำคัญรองจากการกำกับเลยทีเดียว เพราะจังหวะของการลำดับภาพนั้นสำคัญต่อการปลุกเร้าอารมณ์ร่วมของคนดู ซึ่งชลสิทธิ์เองสามารถทำให้หนังออกมาในแบบที่ควรจะเป็น นอกจากนั้นมันแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นมือตัดต่ออันดับต้น ๆ ของประเทศด้วยการตัดต่อหนังได้หลากหลายแนวเหลือเกิน (Mary is Happy, Mary is Happy, ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ, แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว) แถมออกมาดีเสียด้วย
ตัวละครหลากหลายที่น่าสนใจ
ในส่วนของบทภาพยนตร์หนังมีการวางรายละเอียดเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยการวางลำดับสถานการณ์ในเรื่องที่เดินไปข้างหน้าตลอดเวลา ที่ถือว่าหนังสามารถเล่าเรื่องออกมาได้ละเอียดมากพอตามที่ควรจะเป็น แม้บางสถานการณ์จะดูไม่สมจริงอยู่บ้าง แต่ถือว่าเข้าใจได้หากหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผลนั้นจะนำไปสู่ประเด็นหลักของหนังในช่วงท้าย
โดยเฉพาะการแบ่งตัวละครนำ 4 คน ที่มีความหลากหลายและน่าสนใจในตัวเองอยู่ทุกตัวละคร ประกอบการวางพื้นหลังของตัวหลัง (Background Character) ที่ดีและแน่นมากพอที่ทำให้ตัวละครไม่ถูกลืม ในส่วนนี้ทำให้ทุกการตัดสินใจในการกระทำทุกอย่างมีที่มาที่ไป มีเหตุผลรองรับในการกระทำนั้น ๆ
การแสดงของนักแสดงหน้าใหม่
ในส่วนของการแสดง หนังเรื่องนี้ใช้นักแสดงหน้าใหม่ค่อนข้างเยอะทีเดียวบางคนเคยมีผลงานแสดงทางซีรีส์มาก่อนแล้ว (ชานน สันตินธรกุล, ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ) บางคนเคยเล่นหนังมาก่อน (อิษยา ฮอสุวรรณ) และบางคนเป็นงานแสดงอย่างจริงจังเรื่องแรก (ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง)
ซึ่งทั้งหมดสามารถทำได้ดี โดยเฉพาะกับชุติมณฑน์ในบท ลิน และชานน ในบท แบงค์ ตัวละครนำสองตัวที่ต้องฝ่าด่านการสอบที่ออสเตรเลีย เริ่มต้นที่ชานน จากที่เคยเห็นการแสดงในหนังสั้นบ้าง ซีรีส์ Hormones 3 บ้าง นี่เป็นการแสดงที่พัฒนาอย่างเห็นได้ชัด ด้วยบทบาทดราม่าที่หนักที่ได้รับทำให้เขาไม่สามารถแสดงออกมาได้แบบเดิมที่เคยเห็นมาอีกต่อไป เพราะในเรื่องนี้มีฉากดราม่าทางอารมณ์ที่ต้องเค้นพลังในการแสดงออกถึงความเจ็บปวดมากมาย รวมถึงการแสดงในช่วงท้ายที่นับเป็นการเปลี่ยนไปสู่อีกบุคคลอย่างแท้จริง ที่ทำให้เราเชื่อสนิทว่าคนเดิมได้หายไปแล้ว (ใครที่ดูแล้วคงจะเข้าใจ)
ตัวละครนำจริง ๆ อย่างลิน ที่ไม่น่าเชื่อว่าคือการแสดงครั้งแรกของชุติมณฑน์ เพราะต้องชมว่าฝีมือการแสดงทั้งฉากลุ้นระทึกและดราม่าเธอทำได้ดีทีเดียว และนับเป็นการแสดงเรื่องราวที่เจอบทโหดทันที เพราะจริง ๆ แล้วตัวละครนี้มีความซับซ้อนทางอารมณ์ระดับหนึ่ง แต่หนักกว่าคือเหล่าฉากลุ้นระทึกทั้งหลายโดยเฉพาะในไคลแมกซ์ ที่เธอต้องแบกหนังอยู่เดียว นับเป็นภาระอันใหญ่หลวง แต่เธอก็ทำได้
ปีศาจที่ชื่อว่าเงิน
โดยส่วนตัวแล้ว สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าความบันเทิงในแง่ของความลุ้นระทึก คือประเด็นของหนังที่ใส่เข้ามาในเรื่องของการเปลี่ยนคน ๆ หนึ่งจากขาวเป็นดำเพราะสิ่งที่เรียกว่า เงิน
เงินคือตัวแปรสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิตทุกชีวิตบนโลก ที่กำหนดชั้นวรรณะทางสังคม จนกลายเป็นสิ่งที่ซื้อได้ทุกอย่าง ในบริบทที่เงินเป็น ทำให้ทุกคนก็ต้องการเงินเพื่อบำรุงชีพ ทั้งหมดนี้ทำให้เงิน มีอำนาจเหนือทุกคน โดยเฉพาะในแง่ที่เมื่อมันสามารถเอาชนะจริยธรรมในใจอย่างง่ายดาย มนุษย์ทุกคนมีความโลภ มันเป็นสัญชาตญาณดิบที่อยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้
เรื่องราวในหนังเรื่องนี้ในช่วงท้ายคล้ายกับเรื่องราวของ วอลเตอร์ ไวท์ จากซีรีส์ Breaking Bad ที่หากใครเคยได้ดูคงจะจำได้ ว่านี่คือเรื่องของมนุษย์ที่ถูกอำนาจของเงิน, ชั้นวรรณะทางสังคม ที่เปลี่ยนคนดี ให้ดีแตก
เมื่อจริยธรรมในใจพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิงต่อปีศาจร้ายที่ชื่อว่าเงิน จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวเหลือเกิน เพราะเชื่อเถอะว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะทุกคนมีความโลภ
แต่มันขึ้นอยู่กับเรา ว่าจะยอมเป็นเบี้ยล่าง หรือเดินข้ามผ่านมันออกมา
ประเด็นของหนังคงพยายามจะบอกอะไรเราแบบนี้
แต่ก็น่าเศร้าอยู่ดี เพราะคนส่วนมากมักจะตกเบี้ยล่างของปีศาจตนนี้เสียมากกว่า
ขอบคุณรูปภาพจาก Fanpage FB : ฉลาดเกมส์โกง
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่
https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ
รีวิว ฉลาดเกมส์โกง : ปีศาจที่ชื่อว่า เงิน
By มาร์ตี้ แม็คฟราย
*บทความนี้อาจเปิดเผยเนื้อหาในช่วงท้าย
ห่างหายจากการกำกับหนังใหญ่ไปร่วม 5 ปี สำหรับ บาส นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ผู้กำกับหนุ่มฝีมือดีจากหนัง เคาท์ดาวน์ (2012) ที่เป็นการเปิดทางหนังแนวใหม่ ๆ ให้กับวงการหนังไทยในตอนนั้น จนกลับมาคราวนี้เขากลับมาเปิดทางใหม่อีกครั้ง ด้วยการเป็นหนังทริลเลอร์สุดระทึกผ่านการโกงสอบ
ทำเหตุการณ์น่าเบื่อที่สุดในโลกให้ลุ้นระทึกได้
สิ่งที่ต้องพูดถึงก่อนเป็นอันดับแรก คือการหยิบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน อันเป็นเหตุการณ์ที่แฝงด้วยความน่าเบื่ออันดับต้น ๆ ของโลกก็คือการสอบที่เต็มไปด้วยความเครียด (สำหรับผู้ที่ทำได้) และความน่าเบื่อชวนง่วงสุด ๆ (สำหรับคนที่ทำไม่ได้) โดยร้อยทั้งร้อยไม่มีใครจะสนุกกับเหตุการณ์นี้ได้แต่หนังกลับทำให้การสอบ เป็นเรื่องที่น่าลุ้นระทึกในระดับหนังแอ็คชั่นระเบิดลูกโตที่สุดในโลกในหนังบางเรื่องยังทำไม่ได้
ผ่านกลวิธีทางด้านภาพยนตร์ที่ถือว่างัดทุกกลวิธีมาใช้ได้อย่างคุ้มค่าสุด ๆ ในจุดนี้ต้องยกคุณงามความดีให้ผู้กำกับ ที่แสดงให้เห็นถึงการกำกับอันมีประสิทธิภาพอันเปี่ยมโดยเฉพาะในแง่ของความลุ้นระทึก ด้วยความกระตือรือร้น ในการกำกับในทุก ๆ ฉากให้มีจังหวะ (Beat) ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยพลังที่ขับเคลื่อนทุกฉากไปด้วยความรวดเร็ว ไม่เยิ่นเย้อ และไม่ปล่อยให้เสียเวลา
ที่เห็นได้ชัดว่าผ่านการเตรียมตัว ทำการบ้าน และเตรียมงานมาเป็นอย่างดี สังเกตได้จากช็อตภาพในหนังที่มีอยู่มากเหลือเกิน (ในฉากเดียว) แต่พอมารวมกันแล้ว มันได้สร้างความระทึกขวัญอย่างได้ผล และทุกช็อตที่ถ่ายทำมานั้นมีความหมาย
อีกส่วนหนึ่ง ที่มองข้ามไปไม่ได้คือ การตัดต่อ โดย ชลสิทธิ์ อุปนิกขิต ที่ตัวเขาเองแสดงให้เห็นในเรื่อง เซ้นต์ของการตัดต่อที่ฉลาดและเปี่ยมด้วยเล่ห์กลและจังหวะอันแพรวพราวเหลือเกินจากเรื่องนี้ เพราะสำหรับหนังที่ต้องการเน้นในเรื่องความลุ้นระทึก การตัดต่อเป็นส่วนที่สำคัญรองจากการกำกับเลยทีเดียว เพราะจังหวะของการลำดับภาพนั้นสำคัญต่อการปลุกเร้าอารมณ์ร่วมของคนดู ซึ่งชลสิทธิ์เองสามารถทำให้หนังออกมาในแบบที่ควรจะเป็น นอกจากนั้นมันแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นมือตัดต่ออันดับต้น ๆ ของประเทศด้วยการตัดต่อหนังได้หลากหลายแนวเหลือเกิน (Mary is Happy, Mary is Happy, ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ, แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว) แถมออกมาดีเสียด้วย
ตัวละครหลากหลายที่น่าสนใจ
ในส่วนของบทภาพยนตร์หนังมีการวางรายละเอียดเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยการวางลำดับสถานการณ์ในเรื่องที่เดินไปข้างหน้าตลอดเวลา ที่ถือว่าหนังสามารถเล่าเรื่องออกมาได้ละเอียดมากพอตามที่ควรจะเป็น แม้บางสถานการณ์จะดูไม่สมจริงอยู่บ้าง แต่ถือว่าเข้าใจได้หากหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผลนั้นจะนำไปสู่ประเด็นหลักของหนังในช่วงท้าย
โดยเฉพาะการแบ่งตัวละครนำ 4 คน ที่มีความหลากหลายและน่าสนใจในตัวเองอยู่ทุกตัวละคร ประกอบการวางพื้นหลังของตัวหลัง (Background Character) ที่ดีและแน่นมากพอที่ทำให้ตัวละครไม่ถูกลืม ในส่วนนี้ทำให้ทุกการตัดสินใจในการกระทำทุกอย่างมีที่มาที่ไป มีเหตุผลรองรับในการกระทำนั้น ๆ
การแสดงของนักแสดงหน้าใหม่
ในส่วนของการแสดง หนังเรื่องนี้ใช้นักแสดงหน้าใหม่ค่อนข้างเยอะทีเดียวบางคนเคยมีผลงานแสดงทางซีรีส์มาก่อนแล้ว (ชานน สันตินธรกุล, ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ) บางคนเคยเล่นหนังมาก่อน (อิษยา ฮอสุวรรณ) และบางคนเป็นงานแสดงอย่างจริงจังเรื่องแรก (ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง)
ซึ่งทั้งหมดสามารถทำได้ดี โดยเฉพาะกับชุติมณฑน์ในบท ลิน และชานน ในบท แบงค์ ตัวละครนำสองตัวที่ต้องฝ่าด่านการสอบที่ออสเตรเลีย เริ่มต้นที่ชานน จากที่เคยเห็นการแสดงในหนังสั้นบ้าง ซีรีส์ Hormones 3 บ้าง นี่เป็นการแสดงที่พัฒนาอย่างเห็นได้ชัด ด้วยบทบาทดราม่าที่หนักที่ได้รับทำให้เขาไม่สามารถแสดงออกมาได้แบบเดิมที่เคยเห็นมาอีกต่อไป เพราะในเรื่องนี้มีฉากดราม่าทางอารมณ์ที่ต้องเค้นพลังในการแสดงออกถึงความเจ็บปวดมากมาย รวมถึงการแสดงในช่วงท้ายที่นับเป็นการเปลี่ยนไปสู่อีกบุคคลอย่างแท้จริง ที่ทำให้เราเชื่อสนิทว่าคนเดิมได้หายไปแล้ว (ใครที่ดูแล้วคงจะเข้าใจ)
ตัวละครนำจริง ๆ อย่างลิน ที่ไม่น่าเชื่อว่าคือการแสดงครั้งแรกของชุติมณฑน์ เพราะต้องชมว่าฝีมือการแสดงทั้งฉากลุ้นระทึกและดราม่าเธอทำได้ดีทีเดียว และนับเป็นการแสดงเรื่องราวที่เจอบทโหดทันที เพราะจริง ๆ แล้วตัวละครนี้มีความซับซ้อนทางอารมณ์ระดับหนึ่ง แต่หนักกว่าคือเหล่าฉากลุ้นระทึกทั้งหลายโดยเฉพาะในไคลแมกซ์ ที่เธอต้องแบกหนังอยู่เดียว นับเป็นภาระอันใหญ่หลวง แต่เธอก็ทำได้
ปีศาจที่ชื่อว่าเงิน
โดยส่วนตัวแล้ว สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าความบันเทิงในแง่ของความลุ้นระทึก คือประเด็นของหนังที่ใส่เข้ามาในเรื่องของการเปลี่ยนคน ๆ หนึ่งจากขาวเป็นดำเพราะสิ่งที่เรียกว่า เงิน
เงินคือตัวแปรสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิตทุกชีวิตบนโลก ที่กำหนดชั้นวรรณะทางสังคม จนกลายเป็นสิ่งที่ซื้อได้ทุกอย่าง ในบริบทที่เงินเป็น ทำให้ทุกคนก็ต้องการเงินเพื่อบำรุงชีพ ทั้งหมดนี้ทำให้เงิน มีอำนาจเหนือทุกคน โดยเฉพาะในแง่ที่เมื่อมันสามารถเอาชนะจริยธรรมในใจอย่างง่ายดาย มนุษย์ทุกคนมีความโลภ มันเป็นสัญชาตญาณดิบที่อยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้
เรื่องราวในหนังเรื่องนี้ในช่วงท้ายคล้ายกับเรื่องราวของ วอลเตอร์ ไวท์ จากซีรีส์ Breaking Bad ที่หากใครเคยได้ดูคงจะจำได้ ว่านี่คือเรื่องของมนุษย์ที่ถูกอำนาจของเงิน, ชั้นวรรณะทางสังคม ที่เปลี่ยนคนดี ให้ดีแตก
เมื่อจริยธรรมในใจพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิงต่อปีศาจร้ายที่ชื่อว่าเงิน จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวเหลือเกิน เพราะเชื่อเถอะว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะทุกคนมีความโลภ
แต่มันขึ้นอยู่กับเรา ว่าจะยอมเป็นเบี้ยล่าง หรือเดินข้ามผ่านมันออกมา
ประเด็นของหนังคงพยายามจะบอกอะไรเราแบบนี้
แต่ก็น่าเศร้าอยู่ดี เพราะคนส่วนมากมักจะตกเบี้ยล่างของปีศาจตนนี้เสียมากกว่า
ขอบคุณรูปภาพจาก Fanpage FB : ฉลาดเกมส์โกง
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ