สวัสดีครับ อยากจะมาแชร์เรื่องประสบการณ์ราคาแพงของการรักษาพยาบาลคุณแม่ครับ
เริ่มจากที่คุณแม่ได้ล้มป่วยตั้งแต่วันที่ 6 เม.ษ. ที่ผ่านมา และเริ่มเข้ารักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และได้ทำการย้ายไปหลายที่จนมาถึง โรงพยาบาลล่าสุด โดยทางแพทย์แจ้งว่าอาการเกิดจาสมองมีการอักเสบ โดยมีการ CT MRI เจาะเลือด ไขสันหลัง และ ตรวจปัสสาวะ แต่ก้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ก็สรุปได้ว่าเป็นที่ Antibody ของคนไข้เอง
ปัจจุบันนี้ ยังคงพักรักษาตัวที่ รพ. เป็นเวลา 28 วันแล้ว
คุณแม่เข้ารักษาโดยใช้สิทธิ์ของ ครูเอกชน ซึ่งสามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้ปีละ 100,000 บาท พอทางครอบครัวเห็นว่า ค่าใช้จ่ายน่าจะเกิดวงเงินแน่ๆ เบื้องต้นทางครอบครัวได้ไปปรึกษากับศูนย์สิทธิ์ ที่ รพ. ทางศูนย์สิทธิ์ได้แจ้งว่า ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากตัวคนไข้ใช้สิทธิ์ครูเอกชนอยู่ จึงไม่สามารถนำเข้าสู่ระบบอื่น อย่าง 30 บาทได้ และค่าใช้จ่ายที่เกินมา ทางญาติต้องทำการจ่ายเองทั้งหมด จากนั้นทางครอบครัวจึงได้ไปทำการปรึกษากับ กรมประชาสงเคราะห์ซึ่งทาง กรมประชาสงเคราะห์แจ้งว่า สามารถทำได้แค่เข้าระบบผ่อนชำระให้ ซึ่งทางครอบครัวก็ยอมรับ เนื่องจากไม่มีหนทางอื่น
จนมาถึงปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายทั้งหมด อยู่ที่ 765,386 บาท (หักวงเงินสิทธิ์ครูเอกชนแล้ว) ซึ่งทางครอบครัวต้องจ่ายเองทั้งหมด

ทางครอบครัวจึงได้ทำการ ติดต่อไปที่ สปสช. 1330 อีกครั้ง เพื่อสอบถามว่าพอจะมีช่องทางอื่นไหม เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงเกินที่เราจะสามารถชำระได้แล้ว
ทาง สปสช. แจ้งว่า ถ้าทำเป็นสิทธิ์ว่างได้ ก็สามารถใช้สิทธิ์ 30บาทได้ อัตโนมัติตาม สิทธิ์มาตรา8
เหมือนพบทางสว่างครับ เนื่องจากทางเราเองก็เพิ่งทราบ และ ทางศูนย์ประสานสิทธิ์ของ รพ. ก็ไม่ได้แจ้งว่ามีวิธีนี้สามารถทำได้
ทางผมจึงรีบดำเนินการทำเรื่องลาออก จากการเป็นครู ให้คุณแม่ หลังจากทำเรื่องแล้ว ไม่กี่ ชม. คุณแม่ก็สามารถใช้สิทธิ์การรักษาได้เลย
ที่นำมาแชร์ เพราะอยากให้เป็นอุทาหรณ์แก่ ลูกหลานครูทั้งหลายครับว่า
1. สิทธิ์ประกันตัวครูเอกชน เป็นสิทธิ์ที่เวลาเกิดปัญหาเจ็บป่วยหนักขึ้นมาจริงๆ มันแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย
2. อย่าไว้ใจ ศูนย์ประสานสิทธิ์ตาม โรงพยาบาลให้มากนัก บางครั้งคนเหล่านี้บางคนก็ไม่ได้แคร์คุณขนาดที่จะหาทางช่วยอย่างเต็มที่
3. พยายามเช็คข้อมูลจาก หลายๆทาง เรื่องสิทธิ์เช่น 1330 หรือ ทางศูนย์สิทธิ์จาก โรงพยาบาลอื่นๆบ้าง
จริงๆแล้ว ผมอยากให้ภาครัฐลงมาดูแลจุดนี้บ้างครับ ประชาชนทุกคนที่เสียภาษี น่าจะมีโอกาสเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้มากกว่านี้ อย่างคุณแม่ผมที่ลาออกกลางคัน ก็มีสิทธิ์หลายๆอย่างที่ต้องเสียไป จะเป็นไปได้ไหม ถ้าให้สิทธิ์มันสามารถดำเนินการควบคู่กันไปได้
ถ้าผมทราบถึงวิธีนี้ตั้งแต่วันแรกๆที่คุณแม่เข้าทำการรักษา ทางครอบครัวคงไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายก้อนโตขนาดนี้ครับ
ขอฝากเป็นข้อมูลให้กับ ลูกหลานครูทุกท่านด้วยครับ
สิทธิ์รักษาพยาบาลครูเอกชน กับบทเรียนราคาแพงของครอบครัว
เริ่มจากที่คุณแม่ได้ล้มป่วยตั้งแต่วันที่ 6 เม.ษ. ที่ผ่านมา และเริ่มเข้ารักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และได้ทำการย้ายไปหลายที่จนมาถึง โรงพยาบาลล่าสุด โดยทางแพทย์แจ้งว่าอาการเกิดจาสมองมีการอักเสบ โดยมีการ CT MRI เจาะเลือด ไขสันหลัง และ ตรวจปัสสาวะ แต่ก้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ก็สรุปได้ว่าเป็นที่ Antibody ของคนไข้เอง
ปัจจุบันนี้ ยังคงพักรักษาตัวที่ รพ. เป็นเวลา 28 วันแล้ว
คุณแม่เข้ารักษาโดยใช้สิทธิ์ของ ครูเอกชน ซึ่งสามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้ปีละ 100,000 บาท พอทางครอบครัวเห็นว่า ค่าใช้จ่ายน่าจะเกิดวงเงินแน่ๆ เบื้องต้นทางครอบครัวได้ไปปรึกษากับศูนย์สิทธิ์ ที่ รพ. ทางศูนย์สิทธิ์ได้แจ้งว่า ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากตัวคนไข้ใช้สิทธิ์ครูเอกชนอยู่ จึงไม่สามารถนำเข้าสู่ระบบอื่น อย่าง 30 บาทได้ และค่าใช้จ่ายที่เกินมา ทางญาติต้องทำการจ่ายเองทั้งหมด จากนั้นทางครอบครัวจึงได้ไปทำการปรึกษากับ กรมประชาสงเคราะห์ซึ่งทาง กรมประชาสงเคราะห์แจ้งว่า สามารถทำได้แค่เข้าระบบผ่อนชำระให้ ซึ่งทางครอบครัวก็ยอมรับ เนื่องจากไม่มีหนทางอื่น
จนมาถึงปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายทั้งหมด อยู่ที่ 765,386 บาท (หักวงเงินสิทธิ์ครูเอกชนแล้ว) ซึ่งทางครอบครัวต้องจ่ายเองทั้งหมด
ทางครอบครัวจึงได้ทำการ ติดต่อไปที่ สปสช. 1330 อีกครั้ง เพื่อสอบถามว่าพอจะมีช่องทางอื่นไหม เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงเกินที่เราจะสามารถชำระได้แล้ว
ทาง สปสช. แจ้งว่า ถ้าทำเป็นสิทธิ์ว่างได้ ก็สามารถใช้สิทธิ์ 30บาทได้ อัตโนมัติตาม สิทธิ์มาตรา8
เหมือนพบทางสว่างครับ เนื่องจากทางเราเองก็เพิ่งทราบ และ ทางศูนย์ประสานสิทธิ์ของ รพ. ก็ไม่ได้แจ้งว่ามีวิธีนี้สามารถทำได้
ทางผมจึงรีบดำเนินการทำเรื่องลาออก จากการเป็นครู ให้คุณแม่ หลังจากทำเรื่องแล้ว ไม่กี่ ชม. คุณแม่ก็สามารถใช้สิทธิ์การรักษาได้เลย
ที่นำมาแชร์ เพราะอยากให้เป็นอุทาหรณ์แก่ ลูกหลานครูทั้งหลายครับว่า
1. สิทธิ์ประกันตัวครูเอกชน เป็นสิทธิ์ที่เวลาเกิดปัญหาเจ็บป่วยหนักขึ้นมาจริงๆ มันแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย
2. อย่าไว้ใจ ศูนย์ประสานสิทธิ์ตาม โรงพยาบาลให้มากนัก บางครั้งคนเหล่านี้บางคนก็ไม่ได้แคร์คุณขนาดที่จะหาทางช่วยอย่างเต็มที่
3. พยายามเช็คข้อมูลจาก หลายๆทาง เรื่องสิทธิ์เช่น 1330 หรือ ทางศูนย์สิทธิ์จาก โรงพยาบาลอื่นๆบ้าง
จริงๆแล้ว ผมอยากให้ภาครัฐลงมาดูแลจุดนี้บ้างครับ ประชาชนทุกคนที่เสียภาษี น่าจะมีโอกาสเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้มากกว่านี้ อย่างคุณแม่ผมที่ลาออกกลางคัน ก็มีสิทธิ์หลายๆอย่างที่ต้องเสียไป จะเป็นไปได้ไหม ถ้าให้สิทธิ์มันสามารถดำเนินการควบคู่กันไปได้
ถ้าผมทราบถึงวิธีนี้ตั้งแต่วันแรกๆที่คุณแม่เข้าทำการรักษา ทางครอบครัวคงไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายก้อนโตขนาดนี้ครับ
ขอฝากเป็นข้อมูลให้กับ ลูกหลานครูทุกท่านด้วยครับ