สวัสดีชาวพันทิพทุกท่านครับ เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ซึ่งได้เกิดขึ้นกับคนใกล้ชิดของผมเอง ซึ่งผมได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ด้วย บางส่วนของเนื้อหามาจากคำบอกเล่าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ บางส่วนมาจากผู้ประสบเหตุและบางส่วนก็มาจากการคาดเดา ชื่อบุคคล สถานที่ ผมสมมติขึ้นมาเนื่องจากผมไม่ได้ขออนุญาติบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง (ยกเว้นผู้ประสบเหตุซึ่งผมได้ขออนุญาติแล้ว)
ตัวผมเองเป็นคนธรรมดาทั่วไป ไม่ได้มีสัมผัสพิเศษทางด้านวิญญาณหรือเวทย์มนตร์ใดๆ จะมีก็เพียงครูบาอาจารย์ที่ได้ช่วยชี้ทางปฎิบัติตามหลักศาสนาพุทธเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็เคยพบเจอเรื่องราวแปลกๆที่เกิดกับคนใกล้ชิดอยู๋บ้าง ถ้าพอมีโอกาสจะย้อนเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้ฟัง
เรื่องนี้เกิดกับแฟนของผมเอง ผมขอเรียกเธอว่า "มนต์" มนต์เป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในกทม.ได้ปีเศษๆแต่มนต์กับผมรู้จักกันมาราวๆ 5 ปีกว่าเพราะเคยได้ร่วมงานกันมาก่อนที่ตจว. มนต์เป็นคนมีสัมผัสพิเศษเธอมักจะมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวทางวิญญาณและไสยศาสตร์มนต์ดำอยู่เสมอ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่เกิดกับคนใกล้ชิดมากกว่าที่จะเกิดกับตัวเธอเอง แต่คราวนี้มนต์ได้เจอกับเรื่องเหล่านั้นกับตัวเธอเองและเกือบเอาชีวิตไม่รอด
เรื่องราวเริ่มต้นที่ร้านขายอะไหล่แห่งหนึ่ง มนต์เป็นลูกจ้างของร้านนี้ซึ่งมีอยู่หลายสาขาด้วยกัน มนต์ทำงานที่สำนักงานใหญ่แต่ได้ที่พักของพนักงานที่สาขาย่อยไม่ไกลจากที่ทำงานมากนัก ที่พักนั้นมีสี่ชั้น ชั้นล่างเป็นหน้าร้าน มนต์พักอยู่ชั้น 2 ส่วนพนักงานอีก 2 คนที่เป็นสามี ภรรยากันพักอยู่ชั้น 3 ขอเรียกสามีว่า "ชาย" และภรรยาว่า "ปอย" ซึ่งชายเป็นพนักงานส่งของ ปอยเป็นพนักงานอยู่ที่ร้าน (สาขานี้มีปอยอยู่คนเดียว) ทั้งชายและปอยต่างก็มีความชอบทางด้านเวทย์มนต์และเครื่องรางของขลังเหมือนๆกัน ในห้องพักของทั้งคู่จึงมีการจัดวางรูปปั้น ชั้นครู อย่างที่พวกร่างทรงหรือพวกเล่นของทำกัน นอกจากนั้น ปอยและชายชอบพูดสรรพคุณของกุมารที่ตนเลี้ยงไว้ รวมถึงองค์ที่มีในตัวของชายให้ฟังอยู่เสมอๆ ทั้งสามคนที่พักอยู่นั้น สนิทสนมกันเป็นอย่างดี ให้ความช่วยเหลือเป็นห่วงกันอยู่ตลอดเวลา จะมีก็แต่ชายที่ดูเหมือนจะคิดเกินกว่าพี่น้องกับมนต์และเผลอแสดงออกมาหลายครั้ง
อยู่มาวันหนึ่ง มนต์ซึ่งเป็นพนักงานบัญชีได้พบว่าชายทุจริตและยักยอกเงินไปเป็นจำนวนมาก ด้วยความที่สนิทกันจึงได้คุยกับหัวหน้าฝ่ายขอให้ไม่นำเรื่องนี้ไปบอกเจ้านายแต่จะเรียกชายมาเจรจาเพื่อนำเงินมาคืน ชายยอมรับผิดและขอผ่อนใช้จนกว่าจะครบจำนวนซึ่งเรื่องก็ดูว่าจะจบลงด้วยดี แต่นี่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ชายลงมือทำอะไรบางอย่าง
สองวันถัดมาซึ่งเป็นวันหยุด ช่วงค่ำชายและปอยได้ลงมือทำอาหารเองและเรียกเรียกมนต์ไปทานด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ชายและปอยไม่เคยทำมาก่อนตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน มนต์เข้าใจว่านี่คือสิ่งที่ชายตอบแทนที่มนต์ไม่เอาเรื่องไปบอกเจ้านาย โดยที่วันถัดมามนต์เลิกงานช้ากว่าปกติ พอมาถึงที่พักก็พบว่าชายและปอยได้เตรียมอาหารไว้รอเช่นเดิม รวมถึงน้ำที่เปิดขวดแล้วส่งมาให้มนต์ดื่ม ด้วยความที่สนิทกันมนต์จึงลงมือทานอาหารและน้ำนั้นทันที
วันรุ่งขึ้นมนต์รู้สึกผิดปกติกับร่างกายของตน (ซึ่งมนต์มาบอกภายหลังว่ามีผู้ชายเปลือยท่อนบนมาเข้าฝันและพามนต์ไปบ้านของเขาที่เป็นทุ่งนา และชายคนนั้นยังจูงมือเด็กไปด้วยอีกคนหนึ่ง) จึงได้ปรึกษากับหัวหน้าที่เป็นผู้หญิง ผมขอเรียกเธอว่า "สา" มนต์บอกสาว่า ทำไมชายและปอยถึงลงมือทำอาหารให้เธอทานและอาหารนั้นได้แบ่งเป็นสองสำรับ สำรับหนึ่งเป็นของมนต์คนเดียวและทั้งสองคนทานอีกสำรับหนึ่ง สาจึงสั่งห้ามไม่ให้มนต์ทานกับข้าวของชายและปอยอีก แต่นั่นมันก็สายไปเสียแล้ว
มนต์เริ่มมีอาการไม่ปกติ หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย ตาขวางอยู่ตลอดเวลา รวมถึงรู้สึกไม่พอใจผมอย่างไม่มีสาเหตุ ทานอะไรไม่ได้ แต่คืนนั้นมนต์ได้โทรหาผม ซึ่งผมเองค่อนข้างแปลกใจเพราะมนต์ไม่คุยกับผมเลยมาสองวันแล้ว แต่สิ่งที่มนต์บอกผมคือให้ผมนำตะกรุดที่อาจารย์ผมเคยให้ไว้ และเคยใช้ช่วยมนต์มาแล้วสองสามครั้ง นำมาให้เธอที่ยังที่พัก พอผมมาถึงก็โทรหามนต์แต่มนต์ไม่รับสายผม กลับให้เพื่อเธออีกคนชื่อว่า ดา ซึ่งเป็นมุสลิม โทรมาบอกผมว่าให้นำตะกรุดมาสอดใต้ประตูเลื่อนและจะให้ปอยนำขึ้นไปให้มนต์เอง ห้ามไม่ให้ผมเจอมนต์โดยเด็ดขาด (ดาบอกว่าตอนนี้ ชายและปอยได้ลงมาหามนต์ที่ห้อง) ผมไม่ยอมทำตามเพราะรู้สึกสงสัยจึงได้โทรหาต้นแฟนของดา ให้มาเอาตะกรุดไปให้มนต์และห้ามไม่ให้ส่งผ่านมือคนอื่นโดยเด็ดขาด พอต้นมาถึงผมก็ส่งตะกรุดให้ต้นโดยที่ผมแอบมองอยู่ห่างๆ ซักพักหนึ่งประตูเลื่อนก็เปิดออก ชายออกมาเป็นคนแรก ตามด้วยมนต์ที่มีใบหน้าเคร่งเครียดและหมองคล้ำเดินออกตามมา ต้นนำตะกรุดไปใส่มือมนต์และมนต์ก็รีบกลับเข้าไปในตึกทันที
วันถัดมา มนต์อาการแย่ลงอย่างมาก มนต์บอกดาว่าปวดเอวให้ช่วยถอดตะกรุดที่เอวออกให้ที โดยตะกรุดนี้มนต์เพิ่งใส่ได้สองวันหลังจากรู้สึกผิดปกติกับร่างกายตัวเอง พอดาถอดตะกรุดออกสิ่งที่มนต์ทำคือเขียนใส่กระดาษให้ดาอ่าน คำนั้นคือคำว่า "ควาย" ทั้งสาและดาเป็นกังวลมากเนื่องจากมนต์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆจึงโทรมาขอให้ผมช่วย ผมจึงลงมือสวดมนต์ที่ห้องพระภายในบริษัทเพื่อทำน้ำมนต์ส่งไปให้ สาและดาเมื่อได้รับน้ำมนต์แล้วก็แอบผสมลงไปในน้ำของมนต์ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งถ่ายใส่ขวดเล็กๆวางเอาไว้ที่โต๊ะของสา พอมนต์กลับมาที่โต๊ะและดื่มน้ำที่ผสมไว้ มนต์กลับบอกว่านี่ไม่ใช่น้ำและชี้ไปที่ขวดเล็กใบนั้นและบอกว่านั่นก็ไม่ใช่น้ำ และได้โยนน้ำผสมของตนทิ้งถังขยะรวมถึงให้สานำน้ำในขวดเล็กไปทิ้งด้วย มนต์เริ่มมีอาการเจ็บปวดตามร่างกายมากขึ้นและอ่อนเพลียเนื่องจากมนต์ทานได้แค่นมวันละกล่องมาสองวันแล้ว สาและดาจึงขอให้ช่างในบริษัทนำสร้อยพระมาคล้องให้และขอให้ต้นไปปรึกษากับร่างทรงถึงวิธีรักษามนต์ ซึ่งต้นก็ได้นำห่วงที่ทำจากกิ่งไม้พันด้วยสายสิญจ์มาให้ แต่ทั้งหมดนั้นกลับไม่ได้ใช้เนื่องจากมนต์ไม่ยอมให้ใครนำอะไรมาคล้องพร้อมทั้งชักมีดออกมาขู่ ซึ่งทำให้คนทั้งห้องพากันวิ่งเตลิดหนีออกจากห้องจนเกือบตกจากบันได ซึ่งเป็นเรื่องที่นำมาแซวกันเล่นจนทุกวันนี้
พอเลิกงาน ผมซึ่งไปรอมนต์อยู่ตั้งแต่เย็นตามที่สาขอให้มา ก็ได้พบและคุยกับต้น ต้นเล่าว่าร่างทรงเห็นว่ามีวิญญาณเข้าสิงที่มนต์และให้ต้นนำห่วงมาคล้องแล้วให้พามนต์ไปหาร่างทรง จากนั้นเขาจะจัดการให้เอง ซึ่งต้นสวมห่วงให้ไม่ได้และดาบอกว่าห้ามให้ผมเจอมนต์โดยเด็ดขาดเพราะตอนนี้มนต์เกลียดผมมากแม้แต่เสียงก็ไม่อยากได้ยิน ค่ำนั้นสาได้ขอให้ช่างในบริษัทที่มีรถยนต์ช่วยส่งสาและมนต์ไปยังห้องของมนต์ ส่วนผมก็แอบตามไปพร้อมกับดาและต้น มนต์อาการดีขึ้นและยอมให้คล้องพระแต่ที่น่าห่วงคือมนต์ไม่ทานอะไร นอกจากนมกล่องเดียว ราวๆ 3 ทุ่มสาและดาจึงขอตัวกลับแต่ผมขอร้องให้อยู่ต่อเพื่อรอเพื่อนของผมอีกคนหนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่าเพื่อนผมคนนี้จะช่วยได้ดีกว่าผม ตลอดเวลาที่อยู่ที่พัก ทั้งชายและปอยก็มานั่งข้างนอกกับผมและต้นโดยปล่อยให้สาอยู่กับมนต์เพียงลำพัง ชายพยายามบอกให้พวกผมกลับพร้อมทั้งอาสาจะดูแลมนต์เอง ซึ่งผมไม่ยอมและบอกไปว่าคนของผม ผมดูแลเองได้ ซึ่งนั่นทำให้ชายรู้สึกไม่พอใจอย่างแรง พอเพื่อนผมมาถึงก็ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร โดยเดินห่างจากตัวตึกไปราวๆ 15 เมตรเพราะขณะนั้นผมไม่ไว้ใจชายและปอยแล้ว พอตกลงกันได้ สากลับเดินลงมาบอกว่ามนต์ให้ทุกคนกลับไปและคนที่มาใหม่ก็ไม่ให้เข้ามา ผมกับเพื่อนจีงชวนกันไปที่วัดเพื่อจะนิมนต์พระมาช่วยขณะนั้นเวลาราวๆ 4 ทุ่มและขอให้สากลับไปอยู่เป็นเพื่อนมนต์ก่อน ผมกับเพื่อนคว้าน้ำเหลวเพราะพระที่จะไปหาจำวัดหมดแล้ว (เคยอ่านเจอว่าวัดนี้ช่วยทำเรื่องถอนของและส่งดวงวิญญาณ ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว) แต่เมื่อกลับมามนต์มีอาการดีขึ้นและยอมพบกับเพื่อนผม ทั้งสองคุยกันและเพื่อนผมก็สวดมนต์ให้รวมถึงให้ผ้ายันต์กับพระไว้กับมนต์ แล้วพวกเราต่างก็แยกย้ายกลับ ต้นบอกผมว่าทั้งชายและปอยไม่มีใครเข้าไปหามนต์เลย ทั้งๆที่สนิทกันมาก
วันต่อมา มนต์อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ ตาขวางแดงก่ำคู่นั้นทำเอาสาและดาหวาดกลัวกันเป็นอย่างมาก รวมทั้งอาการที่มนต์บอกว่าเจ็บเหมือนมีเข็มแทงตามร่างกายเป็นระยะ ปวดหัวจนน้ำตาไหล คลื่นไส้ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นระยะ ดาซึ่งเป็นมุสลิมได้นำของขลังมาให้มนต์ซึ่งก็พอบรรเทาลงได้บ้าง แต่มนต์ที่ดูเหมือนอ่อนเพลียและเครียดหนักทำให้สาและดาตัดสินใจให้ต้นติดต่อร่างทรงเพื่อพามนต์ไปรักษา ซึ่งมนต์ก็ยอมแต่โดยดี สาพามนต์ ดา และช่างผู้ชายอีกคนนั่งแท็กซี่ไปหาร่างทรงตามที่ต้นนัดไว้ ส่วนผมซึ่งยังเข้าใกล้มนต์ไม่ได้ก็แอบไปรออยู่บริเวณนั้นตามคำของร่างทรงที่บอกให้ผมมาเพื่อให้วิญญาณแสดงตัวอย่างเต็มที่ แต่ทั้งหมดก็จบลงเมื่อมนต์ไม่ยอมขึนไปบนบ้านร่างทรงและได้เดินกลับมาพร้อมช่างผู้ชายพร้อมกับขึ้นรถแท็กซี่กลับบริษัทไปในทันที ผมเห็นดังนั้นจึงรีบโทรหาสาเพื่อให้ทราบว่ามนต์ไม่อยู่แล้ว จากนั้นเราได้ปรึกษากันว่าจะต้องพามนต์ไปรักษาที่วัดให้ได้ภายในวันนี้ โดยวางแผนหลอกมนต์ว่าจะพาไปรักษาที่สำนักอื่นที่มนต์อยากให้พาไป
เราเดินทางไปด้วยรถสองคัน คันหนึ่งมีช่างเจ้าของรถโดยมีสาและดานั่งประกบมนต์อยู่ที่แคป ส่วนอีกคันหนึ่งมีผมกับเพื่อนและน้องที่บริษัท ระหว่างทางมนต์ก็มีอาการเจ็บตลอดทางแต่ก็รู้สึกพอใจที่คิดว่าจะพาไปรักษาตามที่มนต์เป็นคนบอกให้พาไป แต่พอไปถึงวัดซึ่งทางเข้านั้นมีศาลาที่ใช้ประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลศพ มนต์ก็รู้ตัวแล้วว่าถูกหลอกให้มาที่วัด ซึ่งมนต์บอกว่าไม่อยากมาตั้งแต่แรก แต่สาก็หลอกว่าร่างที่มนต์ให้พาไปหาตอนนี้อยู่ที่วัดนี้ มนต์จึงสงบลงบ้าง แต่พอรถจอดมนต์กลับไม่ยอมลงจากรถและขยับตัวไปนั่งด้านในสุด ส่วนคนขับ สาและดา ต่างออกมานอกรถเพื่อคุยกับเพื่อนผมเรื่องที่จะนิมนต์พระมารักษามนต์ ส่วนผมอยู่ห่างๆแทบไม่เห็นอะไรเลย
เพื่อนผมเล่าว่า ขณะไปนิมนต์พระได้พบหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ของพระแต่เธอเป็นมุสลิม ขอเรียกเธอว่าพี่อ้อย พี่อ้อยพาไปพบพระรูปหนึ่ง ท่านบอกให้พี่อ้อยไปเรียกมนต์มาหาท่าน พี่อ้อยจึงนำขันน้ำมนต์และไม้อะไรซักอย่างติดตัวไปเรียกมนต์ที่นั่งในรถ พี่อ้อยเรียกมนต์ด้วยความดุดันทำนองว่าผีชั่วให้ออกมาเจอกับอุซะดีๆๆ ด้วยความที่พี่อ้อยผิวดำ ตาโต ใบหน้าดุดันอยู่แล้วจึงทำให้พี่อ้อยดูขึงขังยิ่งขึ้นไปอีก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือมนต์ที่อยู่ด้านในสุดของแคปได้พุ่งออกมาจากรถเข้าไปจิกผมพี่อ้อย พร้อมทั้งลงมือทำร้ายพี่อ้อยทั้งเตะทั้งถีบอย่างแรงจนพี่อ้อยทรุดลงกับพื้น เพื่อนผมที่อยู่ใกล้สุดจึงรีบไปดึงตัวมนต์ให้หลุดจากพี่อ้อย รวมทั้งคนอื่นเข้ามาช่วยกันดึงมือมนต์ออกจากผมพี่อ้อย ระหว่างช่วงชุลมุนกันนั้นเองพระรูปนั้นได้เข้ามาพร้อมไม้เท้าพร้อมกับจี้ไปที่ท้องของมนต์เบาๆ มนต์ที่กำลังอาละวาดอยู่นั้นกลับทรุดลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรงในทันที เป็นที่ตกตะลึงกับทุกๆคนที่ดูอยู่ จากนั้นพระได้บอกให้พามนต์ไปที่กุฏิท่านโดยมีน้องที่บริษัทผมตามประกบเพื่อป้องกันมนต์อาละวาดอีก ด้วยความเป็นห่วงผมจึงโทรหาเพื่อนผมและตามไปดูใกล้ๆ ยังไม่ทันถึงกุฏิพระกลับเห็นมนต์เดินออกมามีทีท่าฉุนเฉียวและเหลือบมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ขึงขังเหมือนโกรธอะไรมาโดยมีน้องที่บริษัทพยายามดึงข้อมือไว้ ซึ่งมนต์ก็ยกมือทำท่าจะชกที่ใบหน้าน้องคนนั้น น้องคนนั้นจึงปล่อยมือ สาและดายังคงอยู่ต่อในกุฏิโดยมีเพื่อนผมเดินตามมนต์ไป มนต์ไปหยุดที่กำแพงอาคารและเริ่มทำท่าอาเจียรอย่างแรง แต่สิ่งที่ออกมามีเพียงแค่น้ำลาย มนต์เริ่มหมดแรงยืนได้แต่พิงกำแพงไว้ ผมเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปหามนต์โดยไม่สนใจว่ามนต์จะเกลียดผมอยู่หรือไม่ พอมนต์เจอผมก็บอกให้ผมออกไปอย่ามาโดนตัวเธอ เธอบอกว่าถ้าผมโดนตัวเธอ "มัน"จะทำให้เธอเจ็บปวดทรมาน
ถ้ามีคนสนใจจะมาต่อให้นะครับ
อิทธิฤทธิ์
ตัวผมเองเป็นคนธรรมดาทั่วไป ไม่ได้มีสัมผัสพิเศษทางด้านวิญญาณหรือเวทย์มนตร์ใดๆ จะมีก็เพียงครูบาอาจารย์ที่ได้ช่วยชี้ทางปฎิบัติตามหลักศาสนาพุทธเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็เคยพบเจอเรื่องราวแปลกๆที่เกิดกับคนใกล้ชิดอยู๋บ้าง ถ้าพอมีโอกาสจะย้อนเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้ฟัง
เรื่องนี้เกิดกับแฟนของผมเอง ผมขอเรียกเธอว่า "มนต์" มนต์เป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในกทม.ได้ปีเศษๆแต่มนต์กับผมรู้จักกันมาราวๆ 5 ปีกว่าเพราะเคยได้ร่วมงานกันมาก่อนที่ตจว. มนต์เป็นคนมีสัมผัสพิเศษเธอมักจะมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวทางวิญญาณและไสยศาสตร์มนต์ดำอยู่เสมอ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่เกิดกับคนใกล้ชิดมากกว่าที่จะเกิดกับตัวเธอเอง แต่คราวนี้มนต์ได้เจอกับเรื่องเหล่านั้นกับตัวเธอเองและเกือบเอาชีวิตไม่รอด
เรื่องราวเริ่มต้นที่ร้านขายอะไหล่แห่งหนึ่ง มนต์เป็นลูกจ้างของร้านนี้ซึ่งมีอยู่หลายสาขาด้วยกัน มนต์ทำงานที่สำนักงานใหญ่แต่ได้ที่พักของพนักงานที่สาขาย่อยไม่ไกลจากที่ทำงานมากนัก ที่พักนั้นมีสี่ชั้น ชั้นล่างเป็นหน้าร้าน มนต์พักอยู่ชั้น 2 ส่วนพนักงานอีก 2 คนที่เป็นสามี ภรรยากันพักอยู่ชั้น 3 ขอเรียกสามีว่า "ชาย" และภรรยาว่า "ปอย" ซึ่งชายเป็นพนักงานส่งของ ปอยเป็นพนักงานอยู่ที่ร้าน (สาขานี้มีปอยอยู่คนเดียว) ทั้งชายและปอยต่างก็มีความชอบทางด้านเวทย์มนต์และเครื่องรางของขลังเหมือนๆกัน ในห้องพักของทั้งคู่จึงมีการจัดวางรูปปั้น ชั้นครู อย่างที่พวกร่างทรงหรือพวกเล่นของทำกัน นอกจากนั้น ปอยและชายชอบพูดสรรพคุณของกุมารที่ตนเลี้ยงไว้ รวมถึงองค์ที่มีในตัวของชายให้ฟังอยู่เสมอๆ ทั้งสามคนที่พักอยู่นั้น สนิทสนมกันเป็นอย่างดี ให้ความช่วยเหลือเป็นห่วงกันอยู่ตลอดเวลา จะมีก็แต่ชายที่ดูเหมือนจะคิดเกินกว่าพี่น้องกับมนต์และเผลอแสดงออกมาหลายครั้ง
อยู่มาวันหนึ่ง มนต์ซึ่งเป็นพนักงานบัญชีได้พบว่าชายทุจริตและยักยอกเงินไปเป็นจำนวนมาก ด้วยความที่สนิทกันจึงได้คุยกับหัวหน้าฝ่ายขอให้ไม่นำเรื่องนี้ไปบอกเจ้านายแต่จะเรียกชายมาเจรจาเพื่อนำเงินมาคืน ชายยอมรับผิดและขอผ่อนใช้จนกว่าจะครบจำนวนซึ่งเรื่องก็ดูว่าจะจบลงด้วยดี แต่นี่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ชายลงมือทำอะไรบางอย่าง
สองวันถัดมาซึ่งเป็นวันหยุด ช่วงค่ำชายและปอยได้ลงมือทำอาหารเองและเรียกเรียกมนต์ไปทานด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ชายและปอยไม่เคยทำมาก่อนตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน มนต์เข้าใจว่านี่คือสิ่งที่ชายตอบแทนที่มนต์ไม่เอาเรื่องไปบอกเจ้านาย โดยที่วันถัดมามนต์เลิกงานช้ากว่าปกติ พอมาถึงที่พักก็พบว่าชายและปอยได้เตรียมอาหารไว้รอเช่นเดิม รวมถึงน้ำที่เปิดขวดแล้วส่งมาให้มนต์ดื่ม ด้วยความที่สนิทกันมนต์จึงลงมือทานอาหารและน้ำนั้นทันที
วันรุ่งขึ้นมนต์รู้สึกผิดปกติกับร่างกายของตน (ซึ่งมนต์มาบอกภายหลังว่ามีผู้ชายเปลือยท่อนบนมาเข้าฝันและพามนต์ไปบ้านของเขาที่เป็นทุ่งนา และชายคนนั้นยังจูงมือเด็กไปด้วยอีกคนหนึ่ง) จึงได้ปรึกษากับหัวหน้าที่เป็นผู้หญิง ผมขอเรียกเธอว่า "สา" มนต์บอกสาว่า ทำไมชายและปอยถึงลงมือทำอาหารให้เธอทานและอาหารนั้นได้แบ่งเป็นสองสำรับ สำรับหนึ่งเป็นของมนต์คนเดียวและทั้งสองคนทานอีกสำรับหนึ่ง สาจึงสั่งห้ามไม่ให้มนต์ทานกับข้าวของชายและปอยอีก แต่นั่นมันก็สายไปเสียแล้ว
มนต์เริ่มมีอาการไม่ปกติ หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย ตาขวางอยู่ตลอดเวลา รวมถึงรู้สึกไม่พอใจผมอย่างไม่มีสาเหตุ ทานอะไรไม่ได้ แต่คืนนั้นมนต์ได้โทรหาผม ซึ่งผมเองค่อนข้างแปลกใจเพราะมนต์ไม่คุยกับผมเลยมาสองวันแล้ว แต่สิ่งที่มนต์บอกผมคือให้ผมนำตะกรุดที่อาจารย์ผมเคยให้ไว้ และเคยใช้ช่วยมนต์มาแล้วสองสามครั้ง นำมาให้เธอที่ยังที่พัก พอผมมาถึงก็โทรหามนต์แต่มนต์ไม่รับสายผม กลับให้เพื่อเธออีกคนชื่อว่า ดา ซึ่งเป็นมุสลิม โทรมาบอกผมว่าให้นำตะกรุดมาสอดใต้ประตูเลื่อนและจะให้ปอยนำขึ้นไปให้มนต์เอง ห้ามไม่ให้ผมเจอมนต์โดยเด็ดขาด (ดาบอกว่าตอนนี้ ชายและปอยได้ลงมาหามนต์ที่ห้อง) ผมไม่ยอมทำตามเพราะรู้สึกสงสัยจึงได้โทรหาต้นแฟนของดา ให้มาเอาตะกรุดไปให้มนต์และห้ามไม่ให้ส่งผ่านมือคนอื่นโดยเด็ดขาด พอต้นมาถึงผมก็ส่งตะกรุดให้ต้นโดยที่ผมแอบมองอยู่ห่างๆ ซักพักหนึ่งประตูเลื่อนก็เปิดออก ชายออกมาเป็นคนแรก ตามด้วยมนต์ที่มีใบหน้าเคร่งเครียดและหมองคล้ำเดินออกตามมา ต้นนำตะกรุดไปใส่มือมนต์และมนต์ก็รีบกลับเข้าไปในตึกทันที
วันถัดมา มนต์อาการแย่ลงอย่างมาก มนต์บอกดาว่าปวดเอวให้ช่วยถอดตะกรุดที่เอวออกให้ที โดยตะกรุดนี้มนต์เพิ่งใส่ได้สองวันหลังจากรู้สึกผิดปกติกับร่างกายตัวเอง พอดาถอดตะกรุดออกสิ่งที่มนต์ทำคือเขียนใส่กระดาษให้ดาอ่าน คำนั้นคือคำว่า "ควาย" ทั้งสาและดาเป็นกังวลมากเนื่องจากมนต์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆจึงโทรมาขอให้ผมช่วย ผมจึงลงมือสวดมนต์ที่ห้องพระภายในบริษัทเพื่อทำน้ำมนต์ส่งไปให้ สาและดาเมื่อได้รับน้ำมนต์แล้วก็แอบผสมลงไปในน้ำของมนต์ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งถ่ายใส่ขวดเล็กๆวางเอาไว้ที่โต๊ะของสา พอมนต์กลับมาที่โต๊ะและดื่มน้ำที่ผสมไว้ มนต์กลับบอกว่านี่ไม่ใช่น้ำและชี้ไปที่ขวดเล็กใบนั้นและบอกว่านั่นก็ไม่ใช่น้ำ และได้โยนน้ำผสมของตนทิ้งถังขยะรวมถึงให้สานำน้ำในขวดเล็กไปทิ้งด้วย มนต์เริ่มมีอาการเจ็บปวดตามร่างกายมากขึ้นและอ่อนเพลียเนื่องจากมนต์ทานได้แค่นมวันละกล่องมาสองวันแล้ว สาและดาจึงขอให้ช่างในบริษัทนำสร้อยพระมาคล้องให้และขอให้ต้นไปปรึกษากับร่างทรงถึงวิธีรักษามนต์ ซึ่งต้นก็ได้นำห่วงที่ทำจากกิ่งไม้พันด้วยสายสิญจ์มาให้ แต่ทั้งหมดนั้นกลับไม่ได้ใช้เนื่องจากมนต์ไม่ยอมให้ใครนำอะไรมาคล้องพร้อมทั้งชักมีดออกมาขู่ ซึ่งทำให้คนทั้งห้องพากันวิ่งเตลิดหนีออกจากห้องจนเกือบตกจากบันได ซึ่งเป็นเรื่องที่นำมาแซวกันเล่นจนทุกวันนี้
พอเลิกงาน ผมซึ่งไปรอมนต์อยู่ตั้งแต่เย็นตามที่สาขอให้มา ก็ได้พบและคุยกับต้น ต้นเล่าว่าร่างทรงเห็นว่ามีวิญญาณเข้าสิงที่มนต์และให้ต้นนำห่วงมาคล้องแล้วให้พามนต์ไปหาร่างทรง จากนั้นเขาจะจัดการให้เอง ซึ่งต้นสวมห่วงให้ไม่ได้และดาบอกว่าห้ามให้ผมเจอมนต์โดยเด็ดขาดเพราะตอนนี้มนต์เกลียดผมมากแม้แต่เสียงก็ไม่อยากได้ยิน ค่ำนั้นสาได้ขอให้ช่างในบริษัทที่มีรถยนต์ช่วยส่งสาและมนต์ไปยังห้องของมนต์ ส่วนผมก็แอบตามไปพร้อมกับดาและต้น มนต์อาการดีขึ้นและยอมให้คล้องพระแต่ที่น่าห่วงคือมนต์ไม่ทานอะไร นอกจากนมกล่องเดียว ราวๆ 3 ทุ่มสาและดาจึงขอตัวกลับแต่ผมขอร้องให้อยู่ต่อเพื่อรอเพื่อนของผมอีกคนหนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่าเพื่อนผมคนนี้จะช่วยได้ดีกว่าผม ตลอดเวลาที่อยู่ที่พัก ทั้งชายและปอยก็มานั่งข้างนอกกับผมและต้นโดยปล่อยให้สาอยู่กับมนต์เพียงลำพัง ชายพยายามบอกให้พวกผมกลับพร้อมทั้งอาสาจะดูแลมนต์เอง ซึ่งผมไม่ยอมและบอกไปว่าคนของผม ผมดูแลเองได้ ซึ่งนั่นทำให้ชายรู้สึกไม่พอใจอย่างแรง พอเพื่อนผมมาถึงก็ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร โดยเดินห่างจากตัวตึกไปราวๆ 15 เมตรเพราะขณะนั้นผมไม่ไว้ใจชายและปอยแล้ว พอตกลงกันได้ สากลับเดินลงมาบอกว่ามนต์ให้ทุกคนกลับไปและคนที่มาใหม่ก็ไม่ให้เข้ามา ผมกับเพื่อนจีงชวนกันไปที่วัดเพื่อจะนิมนต์พระมาช่วยขณะนั้นเวลาราวๆ 4 ทุ่มและขอให้สากลับไปอยู่เป็นเพื่อนมนต์ก่อน ผมกับเพื่อนคว้าน้ำเหลวเพราะพระที่จะไปหาจำวัดหมดแล้ว (เคยอ่านเจอว่าวัดนี้ช่วยทำเรื่องถอนของและส่งดวงวิญญาณ ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว) แต่เมื่อกลับมามนต์มีอาการดีขึ้นและยอมพบกับเพื่อนผม ทั้งสองคุยกันและเพื่อนผมก็สวดมนต์ให้รวมถึงให้ผ้ายันต์กับพระไว้กับมนต์ แล้วพวกเราต่างก็แยกย้ายกลับ ต้นบอกผมว่าทั้งชายและปอยไม่มีใครเข้าไปหามนต์เลย ทั้งๆที่สนิทกันมาก
วันต่อมา มนต์อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ ตาขวางแดงก่ำคู่นั้นทำเอาสาและดาหวาดกลัวกันเป็นอย่างมาก รวมทั้งอาการที่มนต์บอกว่าเจ็บเหมือนมีเข็มแทงตามร่างกายเป็นระยะ ปวดหัวจนน้ำตาไหล คลื่นไส้ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นระยะ ดาซึ่งเป็นมุสลิมได้นำของขลังมาให้มนต์ซึ่งก็พอบรรเทาลงได้บ้าง แต่มนต์ที่ดูเหมือนอ่อนเพลียและเครียดหนักทำให้สาและดาตัดสินใจให้ต้นติดต่อร่างทรงเพื่อพามนต์ไปรักษา ซึ่งมนต์ก็ยอมแต่โดยดี สาพามนต์ ดา และช่างผู้ชายอีกคนนั่งแท็กซี่ไปหาร่างทรงตามที่ต้นนัดไว้ ส่วนผมซึ่งยังเข้าใกล้มนต์ไม่ได้ก็แอบไปรออยู่บริเวณนั้นตามคำของร่างทรงที่บอกให้ผมมาเพื่อให้วิญญาณแสดงตัวอย่างเต็มที่ แต่ทั้งหมดก็จบลงเมื่อมนต์ไม่ยอมขึนไปบนบ้านร่างทรงและได้เดินกลับมาพร้อมช่างผู้ชายพร้อมกับขึ้นรถแท็กซี่กลับบริษัทไปในทันที ผมเห็นดังนั้นจึงรีบโทรหาสาเพื่อให้ทราบว่ามนต์ไม่อยู่แล้ว จากนั้นเราได้ปรึกษากันว่าจะต้องพามนต์ไปรักษาที่วัดให้ได้ภายในวันนี้ โดยวางแผนหลอกมนต์ว่าจะพาไปรักษาที่สำนักอื่นที่มนต์อยากให้พาไป
เราเดินทางไปด้วยรถสองคัน คันหนึ่งมีช่างเจ้าของรถโดยมีสาและดานั่งประกบมนต์อยู่ที่แคป ส่วนอีกคันหนึ่งมีผมกับเพื่อนและน้องที่บริษัท ระหว่างทางมนต์ก็มีอาการเจ็บตลอดทางแต่ก็รู้สึกพอใจที่คิดว่าจะพาไปรักษาตามที่มนต์เป็นคนบอกให้พาไป แต่พอไปถึงวัดซึ่งทางเข้านั้นมีศาลาที่ใช้ประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลศพ มนต์ก็รู้ตัวแล้วว่าถูกหลอกให้มาที่วัด ซึ่งมนต์บอกว่าไม่อยากมาตั้งแต่แรก แต่สาก็หลอกว่าร่างที่มนต์ให้พาไปหาตอนนี้อยู่ที่วัดนี้ มนต์จึงสงบลงบ้าง แต่พอรถจอดมนต์กลับไม่ยอมลงจากรถและขยับตัวไปนั่งด้านในสุด ส่วนคนขับ สาและดา ต่างออกมานอกรถเพื่อคุยกับเพื่อนผมเรื่องที่จะนิมนต์พระมารักษามนต์ ส่วนผมอยู่ห่างๆแทบไม่เห็นอะไรเลย
เพื่อนผมเล่าว่า ขณะไปนิมนต์พระได้พบหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ของพระแต่เธอเป็นมุสลิม ขอเรียกเธอว่าพี่อ้อย พี่อ้อยพาไปพบพระรูปหนึ่ง ท่านบอกให้พี่อ้อยไปเรียกมนต์มาหาท่าน พี่อ้อยจึงนำขันน้ำมนต์และไม้อะไรซักอย่างติดตัวไปเรียกมนต์ที่นั่งในรถ พี่อ้อยเรียกมนต์ด้วยความดุดันทำนองว่าผีชั่วให้ออกมาเจอกับอุซะดีๆๆ ด้วยความที่พี่อ้อยผิวดำ ตาโต ใบหน้าดุดันอยู่แล้วจึงทำให้พี่อ้อยดูขึงขังยิ่งขึ้นไปอีก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือมนต์ที่อยู่ด้านในสุดของแคปได้พุ่งออกมาจากรถเข้าไปจิกผมพี่อ้อย พร้อมทั้งลงมือทำร้ายพี่อ้อยทั้งเตะทั้งถีบอย่างแรงจนพี่อ้อยทรุดลงกับพื้น เพื่อนผมที่อยู่ใกล้สุดจึงรีบไปดึงตัวมนต์ให้หลุดจากพี่อ้อย รวมทั้งคนอื่นเข้ามาช่วยกันดึงมือมนต์ออกจากผมพี่อ้อย ระหว่างช่วงชุลมุนกันนั้นเองพระรูปนั้นได้เข้ามาพร้อมไม้เท้าพร้อมกับจี้ไปที่ท้องของมนต์เบาๆ มนต์ที่กำลังอาละวาดอยู่นั้นกลับทรุดลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรงในทันที เป็นที่ตกตะลึงกับทุกๆคนที่ดูอยู่ จากนั้นพระได้บอกให้พามนต์ไปที่กุฏิท่านโดยมีน้องที่บริษัทผมตามประกบเพื่อป้องกันมนต์อาละวาดอีก ด้วยความเป็นห่วงผมจึงโทรหาเพื่อนผมและตามไปดูใกล้ๆ ยังไม่ทันถึงกุฏิพระกลับเห็นมนต์เดินออกมามีทีท่าฉุนเฉียวและเหลือบมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ขึงขังเหมือนโกรธอะไรมาโดยมีน้องที่บริษัทพยายามดึงข้อมือไว้ ซึ่งมนต์ก็ยกมือทำท่าจะชกที่ใบหน้าน้องคนนั้น น้องคนนั้นจึงปล่อยมือ สาและดายังคงอยู่ต่อในกุฏิโดยมีเพื่อนผมเดินตามมนต์ไป มนต์ไปหยุดที่กำแพงอาคารและเริ่มทำท่าอาเจียรอย่างแรง แต่สิ่งที่ออกมามีเพียงแค่น้ำลาย มนต์เริ่มหมดแรงยืนได้แต่พิงกำแพงไว้ ผมเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปหามนต์โดยไม่สนใจว่ามนต์จะเกลียดผมอยู่หรือไม่ พอมนต์เจอผมก็บอกให้ผมออกไปอย่ามาโดนตัวเธอ เธอบอกว่าถ้าผมโดนตัวเธอ "มัน"จะทำให้เธอเจ็บปวดทรมาน
ถ้ามีคนสนใจจะมาต่อให้นะครับ