จะต่อหรือจะหยุด

ปลาคบกะแฟนจะเข้าย่างปีที่4 แฟนปลาชื่อไมค์คะ เราเริ่มจากการเป็นเพื่อนที่สนิทเหมือนผู้หญิงอ่อนแอคนนึงที่ต้องการคนที่คอยปกป้อง เป็นทั้งที่ปรึกษา คอยเตือน แบบมิตรแท้ และก็เพื่อนๆคนอื่นต่างก็เริ่มชงให้เป็นแฟน สุดท้าย เราก็เป็นแฟนกัน ตลอดเวลาที่คบกัน เขาดีมาก คือคอยเอาใจ take care ทุกเรื่อง พอเราไม่เหลือใครเขาก็เข้ามาพยุงให้ลุกขึ้นสู้ ก่อนที่เราจะคบกัน ช่วงนั้นปลามีปัญหากะเพื่อนๆ ในเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน จนทำให้เพื่อนๆหลายๆคนในสาขาต่างไม่กล้าจะเข้ามาหาปลาสักเท่าไหร่ ปลาเปลี่ยวและเหงามาก ขนาดเพื่อนสักคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เขายังไม่กล้าเขามาทักทายอะไรมาก ตอนนั้นปลารู้สึกทำตัวไม่ถูก ไม่มีใครให้ระบาย รู้สึกแบบตัวคนเดียวเหมือนสังคมรังเกียจไปเลย จนเขาคนนี้ล่ะคะที่เข้ามาเติมเต็มในส่วนที่ขาด ตอนนั้นปลาอยากจะลาออก ไม่เรียนต่อแล้ว ไม่กล้าไปมองหน้าใครเขา ช่วงนั้นปลาแทบจะโดดเรียน ใชชีวิตแบบตัวคนเดียว ขนาดกินข้าวที่โรงอาหาร ยังเลือกเวลาที่เจอเพื่อนหรือคนรู้จักให้น้อยที่สุด นั่นก็คือเวลา 6.00 น. บางคนอาจจะยังไม่ตื่นหรืออาจจะยังไม่ได้นอน  ช่วงเวลาที่เขาเข้ามาเป็นส่วนเติมเต็ม ตอนนั้นสภาพร่างกายปลาเริ่มดีขึ้นจนเป็นปกติ แต่สภาพจิตใจยังย่ำแย่ เขาก็เป็นคนพาปลาออกมาเจอโลกให้ปลามองแง่ดีๆไม่ติดลบเกินไป จนปลากล้าที่จะออกมาทักทายผู้คนเหมือนแต่ก่อน ระหว่างนั้นเขาเหมือนฝนที่ชะล้างสิ่งที่ร้ายๆจากตัวปลาออกไป จนเจอฟ้าใหม่ อย่างที่ใครเขาเอ่ยกันไว่ว่าฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ ปลาเชื่ออย่างนั้น เขาทำให้ปลารู้สึกดี ดีมากๆ สิ่งไหนที่ปลาไม่เคยทำ ไม่เคยรู้จัก เขาก็พาปลาไปสัมผัสโลกใหม่อีกมิตินึงเลยคะ
ช่วงเวลาที่เราเป็นแฟนกัน ก็มีทะเลาะกันบ้าง งอนกัน แต่ทำไงได้ล่ะคะ มันก็คือรสชาติของชีวิต แต่ปลามีกฏกะไมค์เรื่งนึงคือ....

“หากเธอจะไปมีใคร คุยกะใคร เราไม่ว่า เราไม่ห้ามเธอ เราอนุญาติ ”

ทำไมปลาตั้งกฏแบบนี้ .. คนทุกคนไม่ชอบหรอกคะที่จะมีกฏเกณฑ์ ลองมองถึงตอนเรายังเป็นนักเรียนดูกันสิ เราชอบหรอกับกฏห้ามไว้ผมยาง ห้ามแต่งหน้า ก็เห็นมะก่อนชอบจังเลยเอาอุทัยทิพย์มาทาปากจนครูห้องปกครองต้องไล่มาลงบันทึกประจำวัน

เราใช้ชีวิตแบบนี้จนเราเรียนจบพร้อมกัน ต่างคนต่างหางาน เพื่อทำตามฝันของตัวเองและภาระที่รอเราเติบโตขึ้น

ปลามีแม่ ต้องดูแลแม่ ส่วนไมค์ก็มีพ่อแม่ต้องเลี้ยงดูเหมือนกัน

ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีนะคะ แต่ว่าทางแม่เรามีความรู้สึกว่า เราไม่ควรลงเอยกะไมค์
เราก็ฟังหูไว้หู เพราะผู้ใหญ่เตือน คือมันต้องมีอะไรแน่นอน ตรงกับสำนวนไทยคือ อาบน้ำร้อนมาก่อน
แม่เราเตือนว่า ... แน่ใจหรอว่าจะลงกะไมค์ เขาเคยเอ่ยปากมั้ยว่าไปเจอพ่อแม่ด้วยกันมั้ย ไปเที่ยวบ้านมั้ย แล้วพ่อแม่เขาโอเคกะเราหรือเปล่าก็ไม่รู้
ที่ผ่านมา เราเท่านั้นที่พาไมค์เข้าบ้านไปหาแม่ บอกว่า นี่แหละแม่ คนนี้ หนูกำลังคุยอยู่นะ ทำให้อยู่ในสายตาตลอดเวลา ให้ท่านสบายใจ
แต่การที่เราพามามันก็ยังไม่ช่วยให้แม่ไว้ใจไมค์ได้เลย เพราะอะไรหรอคะ

เพราะแม่เรามองครอบครัวของแฟนเราแบบ แม่ของแฟนเราอ่า ดูเหมือนจะหวงลูกชายมาก ก็อย่างว่าละคะ ลูกคนเดียว เราก็ลูกคนเดียวเหมือนกัน เขาคงกลัวใครมาหลอกลูกชายเขามั้ง 5555

ต่างคนต่างหางาน เราได้งานก่อนแต่ไมค์ได้ทีหลัง ในส่วนความก้าวหน้าของงาน ของเราค่อยเป็นค่อยไป หาเองเป็นประสบการณ์ แต่ของแฟนเรา พ่อแม่ทางเขาก็มีการให้ญาติฝาก คือแบบต้องอยู่ในสายตาแม่เท่านั้น เราก็พยายามทำใจว่า อยู่ต่างที่คงไม่เจอบ่อยเหมือนอยู่มหาลัย ...

จุดที่พีคที่สุด คือแฟนเราได้งานกับบริษัทใหญ่ด้านยานยนต์ แต่ทางแม่ไมค์ เขาไม่โอเค เขาบอกกะแฟนเราว่า หากไป จะฟ้องศาล เราก็แบบ เห้ยยย อะไรจะเว่อวังขนาดนั้น อนาคตของลูกแท้ๆ ทำไมจะทำให้ขนาดนี้ นี่นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี สวัสดิการก็ดี แต่ทำไมไม่มองจุดนั้น แต่ทางเรากะแม่เราคอยแนะนำว่า มันดีมากนะ เธอต้องยอมเป็นฟันเฟืองให้กับ บริษัทสิ น้อยคนนะที่จะสัมผัส เรายังอิจฉาเลย พูดตรง  

และแล้ว สุดท้ายแฟนเราต้องหนีออกไปเซ็นสัญญา โดยมีป้าคอยช่วยหนุนอยู่ แล้วก้ได้เป็นพนักงานของบริษัทนั้น

ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่เราได้กลับมาใกล้กัน ใจเราใกล้กันอีกครั้ง
ต่อให้ทำงาน เขาก็ยังมาเที่ยวรับเรา พาเราไปกินข้าวแล้วส่งเราที่บ้านเป็นแบบนี้มาเป็นปีแล้ว น่ารักนะผู้ชายคนนี้

เราก็ใช้ชีวิตแบบนี้ปกติจนพี่ๆที่ทำงาน เขาก็รู้ว่าเรามีแฟนแล้ว ถามว่ามีคนจีบมั้ยแรกๆ บอกเลยคะว่ามีแน่นอน เราเองก็ไม่ได้สวยนะ แต่ที่เราได้ยินมาเขาบอกว่าเราเป็นคนลุยงาน จิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น เราเองเป็นคนไม่นิ่งเฉย อยู่เฉยๆไม่เป็น ชอบเรียนรู้ แต่เราก้บอกนะคนที่มาจีบว่าเรามีแฟนแล้ว รักเดียวใจเดียวมาก

ต่อให้เราใจเดียวแค่ไหน ใครมาดีก็มีหวั่นไหวจริงมั้ยล่ะ ???

ไม่นานมานี้ เรามีคนๆนึงที่เรารู้จัก อยู่คนละแผนก แบบแรกๆพี่เขาเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ เราเองก้ไม่กล้าทักหรอกเพราะแรกๆที่เรามาแนะนำตัวแต่ละแผนกช่วงที่เราเป็นพนักงานใหม่เองอ่า พี่เขาไม่ยิ้มแย้มเลย แบบนี้ใครจะไปกล้าทักล่ะ

เราทำงานให้องค์กรนี้มาเป็นเวลาจะสองปีแล้ว เราก้เป็นคนแบบป้าๆ หน้าไม่แต่งแต่มีคิ้ว หัวฟู จนไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีพี่คนนึงทำให้เรารู้สึกกระชุ่มกระชวยใจมาก แรกๆเราก้ไม่รุหรอกว่าพี่เขาอะไรกะเรา เพราะว่าพี่เขาทักไลน์มาหา เราก้คิดว่าเรื่องงานแหละ ก็คุยปกติ แต่พี่เขาขึ้นรถบริษัทคันเดียวกับเรานะ แบบเช้าๆเราก้ทักไปแจ้งว่า ...
"พี่คะ รถจะมาแล้วนะ ออกมารอรถหรือยัง ตกรถพี่ต้องหารถไปเองแล้วนะ"

ทักแบบนี้ทุกวัน ก็เหมือนพี่กะน้องคอยเตือนกัน ตอนนั้นต่างฝ่ายต่างไม่รุสึกอะไรกัน
จนมันนานเข้า กลายเป็นฝ่ายพี่เขาเข้ามาทักหาเราทุกเช้าเย็นถึงก่อนนอน
มีการเอาขนมมาฝาก เราก้มองว่าเออ ก้แค่ขนมป่ะ ก้ไมได้อะไรสักหน่อย

จนนานๆเข้าพี่ๆในแผนกเราก้เริ่มแซวว่า พี่เขาจีบหรอ ??
เราก้บอกว่า "ป่าวนิพี่ พี่เขาใจดีซื้อมาฝาก แล้วพี่จะกินมั้ย "

ตอนนั้นถามว่ารู้สึกยังไง เราก้ไม่รุหรอกคะว่าเรารุสึกยังไง ก้ไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย จะให้เรารุสึกอะไรล่ะคะ

ขอพักแค่นี้ก่อนนะคะ เรื่องพีคๆมันมีเยอะ

แต่เราก้เลยอยากถามคนที่เข้ามาอ่านว่า ถ้าคุณเปนแบบเรา คุณจะทำยังไงต่อ
จะหยุดหรือจะต่อดี ???
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่