ติดบัญชีบริหาร มหาลัยดัง4แห่ง

แนะนำ : ชีวิตมัธยมปลายศิลป์-คำนวณ/เพื่อนมัธยมปลาย/การเข้ามหาลัย

          สวัสดีค่ะ เราเป็นเด็กนักเรียน ฐานะปานกลาง ติดมหาลัย4แห่ง โรงเรียนเราเรียกว่าวิชาเอก เราอยู่วิชาเอกคณิตศาสตร์นะคะ ที่มาพิมวันนี้คือตั้งใจมาแชร์ประสบการณ์ต่างๆที่เราเคยผ่านมา มันอาจจะเป็นประโยชน์ต่อเด็กรุ่น61 หรืออื่นๆไม่มากก็น้อยนะคะ

อยากให้อ่านให้จบกัน55555

ชีวิตการเรียนมัธยม

        ในความคิดของเราวิชาที่ยากที่สุดก็ไม่ใช่อะไรนอกจากเลขเพิ่มและอังกฤษ หลายคนก็อาจจะเป็นอย่างนั้น สำหรับเลขเพิ่มจะเจอประมาณ 17 บทและค่อนข้างยาก แต่ถ้าเรียนเลขเพิ่มได้ดีเลขพื้นก็หายห่วง ตัวเราเองก็ไม่ได้มีพรสวรรค์ทางเลขมากนัก อาศัยความพยายามล้วนๆ เขียนสูตรบ่อยๆ ทำโจทย์เยอะๆ ทำซ้ำๆค่ะ ส่วนที่เรียนพิเศษของเราคือคอมพิวเตอร์แล้วก็อาจารย์ในรร./ที่เรียนพิเศษแถวบ้าน นั่นแหละ สำหรับคอมเราเรียนเพราะสอนเข้าใจง่าย เรียนสะดวกแล้วก็ประหยัดเงินด้วย เราเรียนคณิตของอ.เอ๋ ตั้งแต่เราม.4 จะมีเอกสารแจกฟรี คลิปฟรี เราก็เรียนจากอันนั้นมาตลอด ครูเขาค่อนข้างสอนดีนะ อาจจะช้า แต่จะทำให้เราแม่นเนื้อหา เข้าใจง่าย สูตรยากๆบ้างตัวก็ไม่ต้องจำเน้นเข้าใจมากกว่า ถือว่าเป็นครูทางเน็ตที่ดีมากๆคนหนึ่งจริงๆ ขอขอบคุณไว้ตรงนี้เลยนะคะ ส่วนครูที่รร.ก็เรียนเป็นการเรียนซ้ำนอกเวลาอีกที เรียนเพื่อทบทวนฝึกวิธีคิดต่างๆค่ะ ส่วนอีกอันคือเป็นครูแถวบ้านเราเอง เรารู้จักส่วนตัวเราก็เรียน ครูเขามีหนังสือแจกให้ แล้วมีอะไรไม่เข้าใจก็เอาไปถามเขาเลย อารมณ์ไปเรียนในบ้านครู เขาไม่ค่อยแก่มากเราก็คุยกับเขาสบายๆ เราเรียนเรื่อยๆเจียดเวลาจากครูเอ๋ในคอมพิวเตอร์ไปแหะๆ แนะนำเพิ่มเติมอีกอย่างเวลามีปัญหาไม่เข้าใจอยากได้คำปรึกษาให้ลองปรึกษาครูของตัวเองได้เลยนะ ครูเขาก็น่าจะเคยผ่านการสอบมาแล้วเหมือนกันน่าจะให้คำแนะนำที่ดีกับเราได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคงต้องความขยันกับพยายาม ผลที่ออกมาของเรา เลขพื้น4ทุกเทอม เลขเพิ่มเราเกรดก็ดี(3+)ทุกเทอม

         ต่อมาก็อังกฤษเรียกได้ว่าเราไม่ชอบเลยก็ได้แต่ก็เรียนได้บ้าง แต่ก่อนตอนม.ต้นรู้สึกว่าตัวเองอ่อนปวกเปียก เป็นพวกพื้นฐานแย่มากจริงๆ ม.ต้นนี้ได้2-3ไม่เกินจากนี้ ตอนเข้าม.4คิดว่าตัวเองควรเปลี่ยนได้แล้วไม่งั้นถ้าทิ้งไว้กว่านี้น่าจะแย่ควรพัฒนาบ้าง ตอนนั้นเราเลยขอที่บ้านไปเรียนภาษาอังกฤษ(แอบแพงนิดนึง)ช่วงม.4-ม.5 เราเรียนกับครูชาวฟิลิปปินส์และครูไทยที่รู้จัก เขาก็ค่อนข้างดี สอนให้อ่าน สอนพูด สอนออกเสียงสำเนียงให้ชัดเจน สอนความกล้า เรียกว่าแบบปรับตั้งแต่ vocab, tense , reading ,listening, speaking ง่ายๆเลย ตอนแรกก็ยากหน่อยแต่ก็จะปรับตัวได้เองเพราะบ้างเรื่องเราก็ผ่านตามาบ้างแล้ว ที่สำคัญอย่ากลัวว่าจะพูด/ทำผิดหรือถูกให้ลองดูไปก่อน ครูเขาจะช่วยแก้ให้ดี เราว่าเราก็ดีขึ้นเยอะเลยนะ ถ้าเต็ม10แต่ก่อนเราคงให้ตัวเอง 4 แต่เดี๋ยวนี้ก็น่าจะเป็น6-7 เรารู้สึกเปิดใจมากขึ้น คิดบวกว่ามันก็ไม่ได้ยาก เรียนอยู่ประมาณเกือบปี เพราะว่าก็ต้องไปเรียนเตรียมสอบมหาลัยแล้ว วิธีฝึกอีกอย่างของเราคือ เราเป็นพวกติ่งเกาหลีคนหนึ่งนะ เหมือนมันจะมีคลิปไอดอลบางอันที่ไม่เป็นซับไทย เราก็พยายามฝึกดูซับอิ้งไป มันก็ค่อนข้างช่วยได้เยอะ มันจะทำให้เราชินแถมบางทีเจอคำใหม่ที่ไม่คุ้นเราก็จะไปหาต่อว่าแปลว่าอะไร เพราะถ้าไม่รู้เราก็จะดูเกาหลีไม่รู้เรื่องนั่นเอง(แอบมีประโยชน์มากๆเลย) นอกจากนั้นก็มีฟังเพลงแล้วเอาไปแปลก็ช่วยได้เยอะอยู่นะ แต่ที่สำคัญที่สุดต้องเปิดใจแล้วก็พยายามเราว่ามันไม่ยากเกินไปถ้าเราตั้งใจจริงๆ

          ส่วนวิชาอื่นๆอย่างไทยสังคมเราเน้นตั้งใจเรียนในห้อง ทบทวนบ้าง ไทยสังคมเราก็ไม่ได้เรียนพิเศษที่ไหน วิทย์ก็ค่อนข้างยากแต่เราชอบเรียนชีวะเพราะมันจำอย่างเดียว ส่วนฟีสิกส์ก็พอได้บ้างมันก็คล้ายๆเลข ส่วนเคมีบ๊ายบายเลยเราไม่ชอบเคมีที่สุด555 สำหรับวิทย์ก็เน้นอ่านบ่อยๆ อ่านในหนังสือที่เรียนในห้องนั่นแหละไม่ได้มีเรียนพิเศษที่ไหน อ่านเยอะๆไม่ได้จุดไหนก็หาข้อมูลเพิ่มมีอากู๋ซะอย่าง

           เกรดค่อนข้างสำคัญนะ มันจะช่วยได้เยอะถ้าเราจะแอดมิดชั่น การเพิ่มเกรดต้องพยายามส่งงานให้ครบ ถึงส่งช้าแต่ก็ขอให้ครบอย่าขาดเพราะคะแนนเก็บช่วยเรามากๆ โชคดีที่เพื่อนเราเตือนให้ส่งบ่อยๆ เรามักจะได้คะแนนเก็บดี เราค่อนข้างเก็บวิชาท่องจำให้ได้4ให้หมดแล้วค่อยไปพลาดวิชาอย่างเลข,วิทย์,อังกฤษแทนอะ
           นี่ไม่รู้เป็นเทคนิคไหม เราเป็นพวกชอบอ่านหนังสือออกเสียงอะ เวลาเราอ่านเราก็จะพูดไปด้วยเหมือนพูดสอนตัวเอง รอบแรกที่อ่านก็พูดไปดูหนังสือไปด้วย รอบสองก็ดูบ้าง รอบสามก็พูดแบบไม่ดูแล้ว มันเหมือนเราจะจำได้แล้วทำนองนั้นอะ แต่การอ่านออกเสียงสำหรับเราเราว่าค่อนข้างดี เพราะมันจะไม่ทำให้เราง่วง เราเป็นพวกง่วงแล้วก็เบื่อง่าย เราก็พูดคนเดียวไปให้รู้สึกไม่เบื่อ เราก็ทำแบบนี้มาตลอดเวลาก่อนสอบ ถือว่าก็ใช้ได้ผลสำหรับเรานะ เราจบด้วยเกรดเฉลี่ย6เทอม 3.86

กิจกรรมในโรงเรียน

           ไม่ได้ห้ามทำนะ รร.เราทำกิจกรรมเกือบตลอดทั้งปี ที่เราเคยทำคือกีฬาสีเราอยู่พวกการทำอุปกรณ์กีฬา จริงๆก็มีเต้นบ้างแต่เราไม่ค่อยถนัดด้านนั้นเลยมาทำอุปกรณ์แทน ทำค่ายคณิตศาสตร์ออกนอกสถานที่ รับน้องเข้าวิชาเอก ถ้าเต็ม10 เราทำกิจกรรมประมาณ 5-6 เราก็ไม่ได้เน้นมากแต่ถ้ามีโอกาสทำเราก็ทำ เพราะมันเอาไปใส่แฟ้มสะสมผลงานได้ ทำกิจกรรมได้ก็ทำไปแต่ว่าเราก็ต้องแบ่งเวลาให้ถูกด้วย อย่าเทไปทางใดทางหนึ่งจนเกินไป
เพื่อนในมัธยมปลาย

            เราก็ไม่ได้เป็นคนมีเพื่อนมาก เพื่อนในห้องที่สนิทจริงๆมีประมาณ3-4คน นอกนั้นออกจะแนวรู้จักแล้วก็คุยได้มากกว่า จะเรียกเราว่าเด็กเรียนก็ได้นะ แต่เอาจริงๆแล้วเราก็ไม่ได้เนิร์ดขนาดนั้น เราก็มีไปเที่ยวร้องคาราโอเกะ ดูหนัง กินข้าวกับเพื่อนบ้าง แถมเราก็เป็นติ่งเกาหลีด้วยนะ

            สำหรับปัญหาส่วนใหญ่เรื่องเพื่อนคือน่าจะเป็นนิสัยมากกว่าบ้างคนอาจจะเข้ากับเราได้ดีหรือไม่ดี เราก็เลือกได้เราก็เลือก อะไรที่ไม่ดีก็ไม่ต้องตามมาก เราก็ไม่ค่อยตามเพื่อนนะ บางทีเขาไปเที่ยวกันเราก็มีไม่ไป เอาให้มันพอดี อาจจะเพราะเราขี้เกียจออกด้วยแหละ555 บวกกับที่บ้านเราค่อนข้างหวงด้วย กลับบ้านค่ำๆ ออกจากบ้านทุกวันอะไรแบบนั้น เราก็ยังไม่ค่อยทำ

            แล้วก็อาจจะมีปัญหาเรื่องคนไม่ช่วยงานบ้าง แต่เราก็ถือคติอะไรยอมได้ยอมๆไป ลอกงานหรืองานกลุ่มไม่ช่วยเราก็ปล่อยๆ อย่าเก็บไปคิดมาก ก็เรียนช่วยๆกัน เราอาศัยการคิดว่า ถ้าเราทำเราก็ได้ ถ้าเขาไม่ทำเขาก็ไม่ได้ คิดแบบนี้จะได้ทำให้ไม่มีปัญหาผิดใจกับเพื่อนเพิ่มขึ้นเนอะ5555 แต่ว่าที่มีปัญหาจริงๆคือน่าจะเป็นนิสัยกับการตามเพื่อนมากไปมากกว่า


การเตรียมตัวเข้ามหาลัย

เป็นไปได้อยากให้รุ่นต่อไปเตรียมตัวมากกว่าเรานะ เตรียมมากกว่าเราว่าก็มีโอกาสได้คะแนนดีกว่าเรา

1.GATPAT(ต้นพ.ค.-ปลายต.ค.)
            สำหรับเราอยากจะเข้าเรียนบริหารธุรกิจแบบภาคไทย เพราะอังกฤษนี่ไม่น่ารอด เราก็ต้องฟิตGAT PAT1 เราเริ่มเรียนเนื้อหาทบทวนของเลขใหม่อีกรอบช่วง พ.ค. เรียนเลขประมาณวันละ3-4 ชั่วโมง ของที่เรียนก็คือคณิตอ.เอ๋นั่นแหละค่ะ แต่ว่าอันนี้เรียนแบบเสียเงิน 5,000 บาท ก็ถือว่าค่อนข้างคุ้มนะ เพราะเราชอบเรียนกับอาจารย์เขาอยู่แล้ว แถมการเรียนก็ถูกกว่าบางที่ด้วย อาจารย์เขาก็สอนเทคนิคที่เราใช้ได้ง่าย ไม่เน้นจำเน้นเข้าใจ มีหนังสือประมาณ 6 เล่มหนาๆ มีประมาณ 260 ชั่วโมง อาจารย์แกอาจจะสอนช้าด้วยแต่เราเข้าใจแบบนี้ เข้าใจที่มา ว่ามาอย่างไรเรียนได้ 1 ปี คือค่อนข้างจะคลุมมาก ทั้งONET PAT 9วิชา เรียนได้ทุกเมื่อเลยจะเรียนกี่โมงกี่ชั่วโมงก็แล้วแต่ความสามารถแล้วก็ความขยันของเราเอง เรียนผ่านyoutubeนะ ต้องควบคุมตัวเองไม่ให้เผลอแอบเล่นด้วย5555 เราเรียนเนื้อหาประมาณ 5 เดือนจบช่วงก.ย. แล้วก็เรียนกับอาจารย์ที่รู้จักบ้าง เหมือนไปทบทวนเพิ่มอีกรอบอะ แล้วก็มีแวะไปหา เอาบางข้อที่ไม่เข้าใจไปถามกับแกด้วย ต้นเดือนต.ค.เรา ไปเรียน the brain มันประมาณ 36 ชั่วโมง เรียนวันละ 3-4 ชั่วโมง แล้วก็จบ เราสอบปลายเดือนตุลา ก่อนสอบเราปิดเทอมมันเลยเรียนทัน ช่วงเดือนตุลาก็ทำแบบฝึกหัด ข้อสอบเก่าๆไปด้วย บทที่เน้นให้ทำคือสถิติ เซต ตรรกศาสตร์ กำหนดการเชิงเส้น เวกเตอร์ เรขาคณิตต่างๆ ภาคตัดกรวย แคล(ถ้าพอได้) จำนวนเชิงซ้อน ในความคิดเราว่าไม่ค่อยยาก แต่ถ้าที่เราไม่อ่านเลยจริงๆคืออนุกรม(ของเพิ่มเติม)คือมันกินเวลามากเนื้อหายากด้วย เทได้เทจริงๆ ส่วนบทอื่นที่เหลืออ่านได้อ่านเลยเราแค่ไม่แม่น และเทคนิคที่ไม่ควรแนะนำ ข้อเติมของpat ถ้าทำไม่ทัน ให้เดาอย่าเว้นไว้อย่างน้อยเราอาจจะดวงดีมากๆถูก ตัวเลือกที่แนะนำคือเลขตัวเดียว แต่ว่าก็แล้วแต่ดวงนั่นแหละ เพราะเดาเลขมันก็ยากที่จะถูก5555 เลือกข้อที่จะทำด้วย ข้อไหนง่ายทำข้อนั้น อย่าไปงมกับข้อยาก เพราะ99เปอร์เซ็นต์ ทำไม่ทัน คนทำทันคือเขาเทพเกินไป

หนังสือที่ควรทำ
กลุ่มหนังสือของพี่ณัญ/25พ.ศ. ซื้อได้ทั่วไป

             สำหรับGATeng เราก็ไปเรียนคอร์สอาจารย์สมศรี ตะลุยgatกับvocab แล้วก็อาศัยทำแบบฝึกหัด หนังสือเก่าๆที่อยู่ในตระกูลของอาจารย์ศุภวัฒน์  แต่บางเล่มก็ไม่ได้ทำ555 เน้นจริงๆคือเล่มgat reading error


             เราก็ทำบ่อยๆ เน้นเก็บconversation vocab เติมparagraph(5ข้อสุดท้าย) reading เทคนิคพี่โอมก็ได้แต่ตอนรอบแรกเรายังไม่ได้เรียนเลยไม่รู้ถือว่าก็ค่อนข้างพลาดนิดนึง อ่านจะต้องทำแล้วจับเวลาด้วยเพราะเราอาจจะทำไม่ทัน GATไทย เราทำเองฝึกมาตั้งแต่ช่วงม.5ปลายๆ แล้วก็ทำหนังสือ3เล่ม


            คะแนนออกมาไม่รู้เป็นที่น่าพอใจหรือเปล่า pat1 102 gatไทย 141.39 gat eng 82.5ส่วนตัวเรารู้สึกเฟลนิดหน่อย กลับถึงบ้านก็มีร้องไห้ไปหนึ่งรอบ คิดว่าน่าจะได้มากกว่านี้ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้แล้วเพราะตอนนั้นก็ทำเต็มที่จริงๆ คะแนนมันก็ถือว่าพอใช้ได้เท่ากับคะแนนเป็นขั้นต่ำของตัวจริงบริหาร จุฬา ปีที่แล้ว แต่ด้วยความกลัวเพราะหลายคนบอกว่าปีนี้คะแนนจะเฟ้อ ว่าเราอาจจะพลาดจุฬาแล้วแน่ๆ มีเสียใจอยู่สักพัก แต่ว่าเราก็คิดว่าถ้าไม่ได้ที่นี้ก็ตั้งใจอ่านหนังสือแล้วก็ทำที่อื่นให้ดีแทนจะดีกว่าไหม เพราะมันยังมีอีกหลายที่ เราเลยตั้งใจให้มากขึ้น พอลองคิดภาพตัวเองต้องนั่งเหี่ยวรอผลแอดมิชชั่นในขณะที่คนอื่นไปเที่ยว เราเลยมีแรงฮึดมากขึ้นหละมั้ง5555


            ข้อคิดจากการสอบGATPATคือ เราน่าจะมีเวลาเตรียมตัวมากกว่านี้ เราคิดว่าถ้ามีเวลาอีกสักเดือนมันน่าจะทำให้เราฟิตมากกว่านี้ เรามีเวลาแค่ 6เดือน ก็ค่อนข้างเสียใจ ดังนั้นรุ่นต่อๆไปก็ขอให้ใช้เวลาให้ดีๆ บริหารเวลาให้ถูก บางอย่างที่เราคิดว่ามันนานพอเอาเข้าจริงมันโคตรแปปเดียว ถ้าท้ออาจจะลองมโนภาพวันที่ตัวเองติดมหาลัย วันที่ชื่อเราขึ้นว่าสอบติด พ่อแม่ดีใจกับเรามันอาจจะช่วยให้เราขยันได้มากขึ้น ไม่ก็อาจจะเข้าวัดทำบุญเพื่อหาโชคจากการเดาในการสอบที่อื่น555 แต่ไปวัดแล้วก็ทำให้จิตใจสงบดีแนะนำๆ

ปล.ดูเหมือนเราจะตั้งใจมากจริง แต่ไม่ได้เครียด ทวิตเตอร์ ไอจี เฟสเราก็เข้าตลอด เอาไว้เป็นเหมือนที่พักผ่อนจากการอ่านหนังสือ อาจจะมีการตั้งกฏกับตัวเองไว้ก็ได้นะอย่าง เล่นเน็ต 1ชมแล้วอ่านหนังสือ 3ชม
ปล2.อ่านหนังสือช่วงเช้าก็ดีเพราะสมองมันโล่ง เราเป็นหนึ่งคนที่ไม่อ่านหนังสือตอนกลางคืนเพราะหัวเราไม่แล่นช่วงนั้นง่วงแล้ว เรานอนไม่เกิน5ทุ่ม

มีต่อนะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่