สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
พอดีกำลังเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเรือในราชนาวี ท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมหรือแนะนำแก้ไขตรงจุดไหน กรุณาด้วยนะครับ ไม่เอาดราม่าการเมืองนะ แบ่งปันคลังความรู้เพื่อเพื่อนสมาชิกกันเนอะ มันเป็นประวัติศาสตร์ชาติที่ควรช่วยกันเขียน...
จุดเริ่มของโครงการ
วันศุกร์ที่ 4 พ.ย.2532 ได้เกิดเหตุพายุใต้ฝุ่นเกย์ พัดถล่มจังหวัดชายทะเลของไทย ซึ่งเดิมเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่ก่อตัวในบริเวณตอนใต้ของอ่าวไทย ได้ทวีกำลังแรงเป็นพายุไต้ฝุ่นก่อนเคลื่อนตัว ขึ้นฝั่งที่บริเวณรอยต่อระหว่างอำเภอปะทิวกับอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เมื่อเวลาประมาณ 1030 น. ทำให้มีผู้เสียชีวิต และความเสียหายอย่างมากในพื้นที่ของจังหวัดชุมพร, ประจวบคีรีขันธ์ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อจังหวัดใกล้เคียงตามชายฝั่งอ่าวไทย ตลอดจนจังหวัดตามชายฝั่งทะเลตะวันออก มีผู้เสียชีวิตกว่า 500 คน สูญหายกว่า 400 คน ทรัพย์สินของทางราชการและเอกชนเสียหายไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท เรือประมงจมลงสู่ใต้ท้องทะเลประมาณ 500 ลำ นับเป็นการสูญเสียจากพายุไต้ฝุ่นครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

กองทัพเรือในฐานะหน่วยกำลังรบทางทะเล ได้ระดมเรือและอากาศยานเท่าที่มีอยู่ออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล รวมทั้งการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ประจำฐานขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ซึ่งปฏิบัติงานอยู่กลางอ่าวไทย แต่ด้วยขีดจำกัดในการปฏิบัติงานที่แสนยากลำบาก เนื่องจากเรือรบขนาดใหญ่ที่สุดของกองทัพเรือในขณะนั้น ไม่สามารถฝ่าความรุนแรงของพายุได้ เป็นผลให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยกระทำได้อย่างลำบากยิ่ง ไม่บรรลุผลตามที่กองทัพเรือต้องการ
ขณะนั้นเรือที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพเรือคือเรือยกพลขนาดใหญ่ชุดเรือหลวงสีชัง ที่เพิ่งขึ้นระวางประจำการได้ไม่นาน กล่าวคือเรือหลวงสีชังขึ้นระวางประจำการเมื่อวันศุกร์ที่ 9 ต.ค.2530 และเรือหลวงสุรินทร์ขึ้นระวางประจำการเมื่อวันศุกร์ที่ 16 ธ.ค.2531 ที่แม้จะมีระวางขับน้ำถึง 4,000 ตัน แต่ก็สามารถรองรับเฮลิคอปเตอร์ได้เพียง 2 เครื่องที่บริเวณกลางลำเรือและท้ายเรือ โดยไม่มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์บนเรือ การไม่มีฐานปฏิบัติการลอยน้ำให้แก่เฮลิคอปเตอร์ได้สร้างความยากลำบากในการปฏิบัติภารกิจเป็นอย่างมาก เนื่องจากพื้นที่บนบกได้รับความเสียหายจากพายุ ไม่สามารถสนับสนุนการปฏิบัติงานของเฮลิคอปเตอร์ได้

ประกอบกับในห้วงเวลานั้น กองทัพเรือมีวิสัยทัศน์ในการขยายพื้นที่รับผิดชอบทางทะเลออกไปในลักษณะของ Blue-Water Navy แต่กลับไม่มีเรือรบลำใดของกองทัพเรือที่มีขนาดใหญ่เพียงพอ และที่สำคัญคือไม่มีเรือรบหลักที่สามารถบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ได้เลยแม้แต่ลำเดียว กองทัพเรือจึงได้เริ่มจัดหาเรือ ฟริเกตชุดเรือหลวงเจ้าพระยา 4 ลำ โดยในจำนวนนี้ 2 ลำ ถูกกำหนดให้มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์แทนการติดตั้งปืนใหญ่เรือที่ท้ายเรือ แต่ไม่มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ต่อมาจึงจัดหาเรือฟริเกตชุดเรือหลวงนเรศวร 2 ลำ ที่มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์พร้อมโรงเก็บ และการจัดหาเรือฟริเกตชั้น Knox จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ท้ายเรือ แต่เป้าหมายของกองทัพเรือคือต้องการเรือที่สามารถรองรับเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตันได้
กองทัพเรือจึงมีแนวคิดที่จะจัดหาเรือขนาดใหญ่พร้อมอุปกรณ์ทันสมัย ที่จะใช้ในการค้นหา และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเลได้อย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์ ประกอบกองทัพเรือมีภารกิจที่จะต้องปฏิบัติในการคุ้มครองอธิปไตยและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ตลอดจนการรักษากฎหมายในทะเล ซึ่งรัฐบาลได้มอบอำนาจให้แก่กองทัพเรือมากมายหลายฉบับ อีกทั้งในปัจจุบันเขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทยได้ขยายออกไปถึง 200 ไมล์ทะเล การมีเรือที่มีเฮลิคอปเตอร์ประจำอยู่บนเรือ จะช่วยขยายพื้นที่ลาดตระเวนและระยะเวลาปฏิบัติการในทะเลได้เป็นอย่างดี
กองทัพเรือได้รวบรวมความต้องการในการปฏิบัติงานทางเรือ ซึ่งเป็นการตัดสินใจเลือกระหว่างการต่อเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ กับการต่อเรือแบบ LPD (Landing Platform Dock) หรือ Amphibious Transport, Dock ซึ่งเป็นเรือลำเลียงยกพลขึ้นบกที่มีลานจอด ฮ.ถาวรอยู่บนเรือ โดยกองทัพเรือได้ติดต่อกับ
1. บริษัท Fincantieri สาธารณรัฐอิตาลี ซี่งแบบเรือดาดฟ้าเรียบของบริษัทในขณะนั้น ได้แก่ เรือบรรทุกเครื่องบินเบา Giuseppe Garibaldi และ เรือยกพลขึ้นบกอู่ลอยแบบ LPD ชั้น San Giorgio ซึ่งกองทัพเรืออิตาลีมีอยู่ในประจำการ 2 ลำ คือเรือ คือ San Giorgio และ San Marco แต่เนื่องจากแบบเรือ Giuseppe Garibaldi นั้นมีราคาสูงเกินงบประมาณ อิตาลีจึงได้ส่งแบบเรือที่ดัดแปลงมาจากเรือชั้น San Giorgio เข้าแข่งขัน ซึ่งในขณะนั้นเป็นเรือที่มีปืนหัวและติดตั้งอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการยกพลขึ้นบกเป็นหลัก เช่นประตูที่หัวเรือและที่ปล่อยเรือ LCVP อย่างไรก็ตามแบบเรือที่อิตาลีเสนอก็ยังไม่ตอบโจทย์ของกองทัพเรือ
2. บริษัท Bremer Vulkan สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ซึ่งได้เสนอแบบเรือ HC600PT ซึ่งเป็นแบบเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์สำหรับกองทัพเรือ
ในที่สุดแบบเรือ HC600PT ของบริษัท Bremer Vulkan ก็ได้รับการคัดเลือกจากกองทัพเรือ
ปลายปี พ.ศ.2533 กองทัพเรือก็พร้อมที่จะทำสัญญากับบริษัท Bremer Vulkan ในการต่อเรือบัญชาการสนับสนุนการยกพลขึ้นบก ขนาดระวางขับน้ำ 7,800 ตัน แต่เกิดปัญหายุ่งยากทางการเมืองในเยอรมัน จึงทำให้โครงการต้องหยุดชะงักลง แต่บริษัทก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคจนสามารถเป็นผู้ได้รับสัญญาได้ในต้นปี พ.ศ.2534 ในสัญญาระบุการสร้างเรือขนาด 7,800 ตัน ในวงเงิน 5,200 ล้านบาท แต่แล้วท้ายที่สุดบริษัทก็ไม่มีเอกสารใบอนุญาตการส่งออกยุทโธปกรณ์ มาประกอบเป็นหลักฐานสำคัญในสัญญาได้ทันตามกรอบเวลาซึ่งล่าช้าไปกว่า 6 เดือน และไม่มีทีท่าว่าจะได้รับการอนุมัติเมื่อไร จึงทำให้สัญญาต้องกลายเป็นโมฆะ และรัฐบาลจำเป็นต้องยกเลิกสัญญาเมื่อวันจันทร์ที่ 22 ก.ค.2534
สื่อเยอรมันเริ่มโจมตีรัฐบาลยับเยินโดยเฉพาะเรื่องความล่าช้าของระบบการบริหาร ทำให้เสียโอกาสที่จะได้เงินหลายล้านดอลลาร์เข้าประเทศ (สัญญามีมูลค่า 325 ล้านดอยช์มาร์กในขณะนั้น) รวมถึงการจ้างงานหลายร้อยตำแหน่งในอุตสาหกรรมการต่อเรือ ซึ่งบริษัท Bremer Vulkan ยังคงพยายามรักษาสัญญาการจัดหาจากรัฐบาลไทยเอาไว้ แต่กลับไม่เป็นผล นอกจากนั้นยังต้องจ่ายเงินกู้ที่จะนำมาใช้ในการต่อเรือ ซึ่งลงทุนไปแล้ว 6 ล้านดอยช์มาร์ก แต่ไม่สามารถขายเรือได้ บริษัทซึ่งสถานะทางการเงินไม่ค่อยดีอยู่แล้วต้องประสบปัญหาทางการเงินเข้าไปใหญ่ เมื่อรวมกับการบริหารผิดพลาดของบริษัทอีกหลายครั้ง ทำให้หนี้พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ แม้จะขายเรือได้อีกหลายลำ 5 ปีต่อมา หลังจากรัฐบาลเยอรมันจำเป็นต้องจ่ายเงินช่วยเหลือไปกว่า 800 ล้านดอยช์มาร์ก แต่ก็ไม่อาจยื้อไว้ได้ ในปี ค.ศ.1996 (พ.ศ.2539) บริษัท Bremer Vulkan ประกาศล้มละลาย ปีถัดไปอู่ต่อเรือจึงปิดตัวลง อันเป็นการปิดฉากสำหรับคู่สัญญาของกองทัพเรือ
ในขณะที่แบบเรือจากอิตาลีซึ่งเป็นแบบเรือสำรองนั้นก็ไม่ได้รับการจัดหา เนื่องจากทางบริษัทถอนตัวไป เพราะรัฐบาลอิตาลีไม่สามารถให้เงินกู้กับบริษัท Fincantieri ได้ ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นบริษัทAlenia Aeronautica ของอิตาลีเองก็กำลังเสนอแบบเครื่องบินโจมตี AMX ให้กับกองทัพอากาศไทยอยู่ด้วย
กองทัพเรือจึงต้องกลับมาเริ่มต้นโครงการใหม่ โดยคราวนี้ได้เพิ่มคุณลักษณะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา และขยายแบบเรือที่มีความต้องการจาก 7,800 ตัน เป็น 11,2838 ตัน และได้ติดต่อไปยังบริษัทต่อเรือชั้นนำต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเรียกประกวดราคา และในขั้นตอนการคัดเลือกอย่างนี้เอง ในที่สุดก็เหลือบริษัทใหญ่ๆ อยู่เพียง 4 บริษัท เท่านั้นที่ผ่านการพิจารณา ได้แก่ บริษัท BAZAN ของราชอาณาจักรสเปน, บริษัท DCN Shipyard ของฝรั่งเศส, บริษัท Fincantieri ของสาธารณรัฐอิตาลี และ Swan Hunter ของสหราชอาณาจักร
ปรากฏว่ามีแบบเรือที่มีคุณลักษณะตรงตามความต้องการของกองทัพเรือเพียง 2 แบบ คือแบบเรือของบริษัท Fincantieri ซึ่งขณะนั้นกองทัพเรืออิตาลีจัดหาไปในราคา 25,000 ล้านบาท มีระวางขับน้ำปกติ 10,100 ตัน ระวางขับน้ำสูงสุด 13,850 ตัน กับแบบของบริษัท BAZAN ที่มีพื้นฐานการปรับปรุงมาจากเรือ Principe de Asturias ที่มีประจำการอยู่ในกองทัพเรือสเปนเอง โดยเสนอมาในวงเงิน 7,100 ล้านบาท จากการพิจารณาอย่างยาวนานหลายเดือน ในที่สุดก็ยุติลงในวันจันทร์ที่ 27 ม.ค.2535 เมื่อกองทัพเรือประกาศว่าบริษัท อู่เอ็นเพรสซ่านาวิอองนาลบาซาน ราชอาณาจักรสเปน ได้รับคัดเลือกให้ ต่อเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งมีพื้นฐานการออกแบบมาจากเรือบรรทุกเครื่องบินที่มีใช้ในกองทัพเรือสเปน ที่มีชื่อว่า PRINCIPE DE ASTURIUS เพื่อส่งมอบให้แก่กองทัพเรือไทย
โดยในโครงการจัดหาเรือเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือในครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. จัดหาเรือตามแบบของบริษัท BAZAN จำนวน 1 ลำ เป็นเงิน 7,100 ล้านบาท
2. ส่วนสนับสนุนและอาวุธป้องกันตัวระยะประชิด (CIWS) เป็นเงิน 2,100 ล้านบาท
3. เครื่องบินขึ้นลงทางดิ่ง AV-8S และ TAV-8S รวม 9 ลำ เป็นเงิน 2,900 ล้านบาท
4. เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ S-70B จำนวน 6 ลำ เป็นเงิน 3,570 ล้านบาท
5. อุปกรณ์ตรวจจับและอาวุธของเฮลิคอปเตอร์ (ถูกระงับ) เป็นเงิน 816 ล้านบาท
แบบเรือที่บริษัท BAZAN นำเสนอกองทัพเรือจริงๆ แล้วพัฒนามาจากแบบเรือ Sea Control (SCS) หรือเรือควบคุมทะเลที่ออกแบบและพัฒนาโดยกองทัพเรือสหรัฐในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ที่มีแผนสร้างถึง 8 ลำ แต่ถูกตัดงบประมาณไป ซึ่งบริษัท BAZAN ได้นำมาปรับปรุงสร้างเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินเบาในชื่อเรือ Principe De Asturias โดยติดตั้ง Ski Jump ที่หัวเรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ฝูงบิน Harrier ในประจำการ ก่อนจะนำแบบเรือดังกล่าวมาปรับปรุงและเสนอให้แก่กองทัพเรือไทยจนได้รับการคัดเลือกในที่สุด
เรือควบคุมทะเล Sea Control Ship หรือเรือ SCS เป็นเรือบรรทุกอากาศยานขนาดเล็ก ที่ออกแบบและพัฒนาโดยกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 เพื่อปฏิบัติงานได้หลายหน้าที่ สามารถควบคุมทะเลในน่านน้ำข้าศึก เพื่อคุ้มกันและให้การสนับสนุนทางอากาศสำหรับกระบวนเรือ แต่เนื่องมาจากการตัดงบประมาณทางทหาร กองทัพเรือสหรัฐฯ จึงต้องระงับโครงการไปในที่สุด
Sea Control Ship มีแผนการสร้างเข้าประจำการถึง 8 ลำ ในราคาลำละ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราคาเมื่อปี ค.ศ.1973) ตามแบบแล้วเรือมีจะขนาดระวางขับน้ำปกติ 9,773 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 13,736 ตัน มีความยาว 190 เมตร, กว้าง 24 เมตร, กินน้ำลึก 6.59 เมตร ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลและแก๊สเทอร์ไบน์อย่างละ 1 เครื่อง ทำความเร็วได้สูงสุด 26 นอต, มีความเร็วเดินทางต่อเนื่อง 24 นอต ลูกเรือ 624 นาย และนายทหารอีก 76 นาย ติดตั้งอาวุธป้องกันตนเองระยะประชิดแบบปืนกล Phalanx 20 มม. จำนวน 2 แท่น อากาศยานประจำเรือประกอบด้วย AV-8 HARRIER 3 ลำ เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ แบบ Seasprite จำนวน 3 เครื่อง และเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงพลแบบ Sea King จำนวน 14 เครื่อง
พี่สาวของเรือหลวงจักรีนฤเบศร
เรือบรรทุกเครื่องบิน Principe de Asturias ของกองทัพเรือสเปน พี่สาวฝาแฝดของ เรือหลวงจักรีนฤเบศร มีชื่อว่าปรินซิเป ดี แอสทูเรียส หรือเจ้าชายแห่งแอสทูเรียส (Prince of Asturias) เป็นพระนามของพระฐานันดรศักดิ์ของเจ้าชายฟิลิเป ฆวน ปลาโบ อัลฟองโซ ดี โตโดส ลอส ซานโตส (Prince Felipe Juan Pablo Alfonso de Todos los Santos) พระราชโอรสพระองค์เดียว แห่งพระราชาธิบดีฆวนคาร์ลอส (King Juan Carlos) ในพระราชินีโซเฟีย (Queen Sofia) แห่งสเปน
เรือลำนี้มีแผนแบบมาจากเรือควบคุมทะเล (SCS) ของกองทัพเรือสหรัฐฯ แต่ได้ปรับปรุงเพิ่มระบบ Ski Jump ลาดเอียง 12 องศา เพื่อใช้ส่งเครื่องบินขับไล่แบบ AV-8S
จุดเริ่มของโครงการ
วันศุกร์ที่ 4 พ.ย.2532 ได้เกิดเหตุพายุใต้ฝุ่นเกย์ พัดถล่มจังหวัดชายทะเลของไทย ซึ่งเดิมเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่ก่อตัวในบริเวณตอนใต้ของอ่าวไทย ได้ทวีกำลังแรงเป็นพายุไต้ฝุ่นก่อนเคลื่อนตัว ขึ้นฝั่งที่บริเวณรอยต่อระหว่างอำเภอปะทิวกับอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เมื่อเวลาประมาณ 1030 น. ทำให้มีผู้เสียชีวิต และความเสียหายอย่างมากในพื้นที่ของจังหวัดชุมพร, ประจวบคีรีขันธ์ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อจังหวัดใกล้เคียงตามชายฝั่งอ่าวไทย ตลอดจนจังหวัดตามชายฝั่งทะเลตะวันออก มีผู้เสียชีวิตกว่า 500 คน สูญหายกว่า 400 คน ทรัพย์สินของทางราชการและเอกชนเสียหายไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท เรือประมงจมลงสู่ใต้ท้องทะเลประมาณ 500 ลำ นับเป็นการสูญเสียจากพายุไต้ฝุ่นครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

กองทัพเรือในฐานะหน่วยกำลังรบทางทะเล ได้ระดมเรือและอากาศยานเท่าที่มีอยู่ออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล รวมทั้งการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ประจำฐานขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ซึ่งปฏิบัติงานอยู่กลางอ่าวไทย แต่ด้วยขีดจำกัดในการปฏิบัติงานที่แสนยากลำบาก เนื่องจากเรือรบขนาดใหญ่ที่สุดของกองทัพเรือในขณะนั้น ไม่สามารถฝ่าความรุนแรงของพายุได้ เป็นผลให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยกระทำได้อย่างลำบากยิ่ง ไม่บรรลุผลตามที่กองทัพเรือต้องการ
ขณะนั้นเรือที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพเรือคือเรือยกพลขนาดใหญ่ชุดเรือหลวงสีชัง ที่เพิ่งขึ้นระวางประจำการได้ไม่นาน กล่าวคือเรือหลวงสีชังขึ้นระวางประจำการเมื่อวันศุกร์ที่ 9 ต.ค.2530 และเรือหลวงสุรินทร์ขึ้นระวางประจำการเมื่อวันศุกร์ที่ 16 ธ.ค.2531 ที่แม้จะมีระวางขับน้ำถึง 4,000 ตัน แต่ก็สามารถรองรับเฮลิคอปเตอร์ได้เพียง 2 เครื่องที่บริเวณกลางลำเรือและท้ายเรือ โดยไม่มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์บนเรือ การไม่มีฐานปฏิบัติการลอยน้ำให้แก่เฮลิคอปเตอร์ได้สร้างความยากลำบากในการปฏิบัติภารกิจเป็นอย่างมาก เนื่องจากพื้นที่บนบกได้รับความเสียหายจากพายุ ไม่สามารถสนับสนุนการปฏิบัติงานของเฮลิคอปเตอร์ได้

ประกอบกับในห้วงเวลานั้น กองทัพเรือมีวิสัยทัศน์ในการขยายพื้นที่รับผิดชอบทางทะเลออกไปในลักษณะของ Blue-Water Navy แต่กลับไม่มีเรือรบลำใดของกองทัพเรือที่มีขนาดใหญ่เพียงพอ และที่สำคัญคือไม่มีเรือรบหลักที่สามารถบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ได้เลยแม้แต่ลำเดียว กองทัพเรือจึงได้เริ่มจัดหาเรือ ฟริเกตชุดเรือหลวงเจ้าพระยา 4 ลำ โดยในจำนวนนี้ 2 ลำ ถูกกำหนดให้มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์แทนการติดตั้งปืนใหญ่เรือที่ท้ายเรือ แต่ไม่มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ต่อมาจึงจัดหาเรือฟริเกตชุดเรือหลวงนเรศวร 2 ลำ ที่มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์พร้อมโรงเก็บ และการจัดหาเรือฟริเกตชั้น Knox จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ท้ายเรือ แต่เป้าหมายของกองทัพเรือคือต้องการเรือที่สามารถรองรับเฮลิคอปเตอร์ขนาด 10 ตันได้
กองทัพเรือจึงมีแนวคิดที่จะจัดหาเรือขนาดใหญ่พร้อมอุปกรณ์ทันสมัย ที่จะใช้ในการค้นหา และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเลได้อย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์ ประกอบกองทัพเรือมีภารกิจที่จะต้องปฏิบัติในการคุ้มครองอธิปไตยและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ตลอดจนการรักษากฎหมายในทะเล ซึ่งรัฐบาลได้มอบอำนาจให้แก่กองทัพเรือมากมายหลายฉบับ อีกทั้งในปัจจุบันเขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทยได้ขยายออกไปถึง 200 ไมล์ทะเล การมีเรือที่มีเฮลิคอปเตอร์ประจำอยู่บนเรือ จะช่วยขยายพื้นที่ลาดตระเวนและระยะเวลาปฏิบัติการในทะเลได้เป็นอย่างดี
กองทัพเรือได้รวบรวมความต้องการในการปฏิบัติงานทางเรือ ซึ่งเป็นการตัดสินใจเลือกระหว่างการต่อเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ กับการต่อเรือแบบ LPD (Landing Platform Dock) หรือ Amphibious Transport, Dock ซึ่งเป็นเรือลำเลียงยกพลขึ้นบกที่มีลานจอด ฮ.ถาวรอยู่บนเรือ โดยกองทัพเรือได้ติดต่อกับ
1. บริษัท Fincantieri สาธารณรัฐอิตาลี ซี่งแบบเรือดาดฟ้าเรียบของบริษัทในขณะนั้น ได้แก่ เรือบรรทุกเครื่องบินเบา Giuseppe Garibaldi และ เรือยกพลขึ้นบกอู่ลอยแบบ LPD ชั้น San Giorgio ซึ่งกองทัพเรืออิตาลีมีอยู่ในประจำการ 2 ลำ คือเรือ คือ San Giorgio และ San Marco แต่เนื่องจากแบบเรือ Giuseppe Garibaldi นั้นมีราคาสูงเกินงบประมาณ อิตาลีจึงได้ส่งแบบเรือที่ดัดแปลงมาจากเรือชั้น San Giorgio เข้าแข่งขัน ซึ่งในขณะนั้นเป็นเรือที่มีปืนหัวและติดตั้งอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการยกพลขึ้นบกเป็นหลัก เช่นประตูที่หัวเรือและที่ปล่อยเรือ LCVP อย่างไรก็ตามแบบเรือที่อิตาลีเสนอก็ยังไม่ตอบโจทย์ของกองทัพเรือ
2. บริษัท Bremer Vulkan สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ซึ่งได้เสนอแบบเรือ HC600PT ซึ่งเป็นแบบเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์สำหรับกองทัพเรือ

ปลายปี พ.ศ.2533 กองทัพเรือก็พร้อมที่จะทำสัญญากับบริษัท Bremer Vulkan ในการต่อเรือบัญชาการสนับสนุนการยกพลขึ้นบก ขนาดระวางขับน้ำ 7,800 ตัน แต่เกิดปัญหายุ่งยากทางการเมืองในเยอรมัน จึงทำให้โครงการต้องหยุดชะงักลง แต่บริษัทก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคจนสามารถเป็นผู้ได้รับสัญญาได้ในต้นปี พ.ศ.2534 ในสัญญาระบุการสร้างเรือขนาด 7,800 ตัน ในวงเงิน 5,200 ล้านบาท แต่แล้วท้ายที่สุดบริษัทก็ไม่มีเอกสารใบอนุญาตการส่งออกยุทโธปกรณ์ มาประกอบเป็นหลักฐานสำคัญในสัญญาได้ทันตามกรอบเวลาซึ่งล่าช้าไปกว่า 6 เดือน และไม่มีทีท่าว่าจะได้รับการอนุมัติเมื่อไร จึงทำให้สัญญาต้องกลายเป็นโมฆะ และรัฐบาลจำเป็นต้องยกเลิกสัญญาเมื่อวันจันทร์ที่ 22 ก.ค.2534
สื่อเยอรมันเริ่มโจมตีรัฐบาลยับเยินโดยเฉพาะเรื่องความล่าช้าของระบบการบริหาร ทำให้เสียโอกาสที่จะได้เงินหลายล้านดอลลาร์เข้าประเทศ (สัญญามีมูลค่า 325 ล้านดอยช์มาร์กในขณะนั้น) รวมถึงการจ้างงานหลายร้อยตำแหน่งในอุตสาหกรรมการต่อเรือ ซึ่งบริษัท Bremer Vulkan ยังคงพยายามรักษาสัญญาการจัดหาจากรัฐบาลไทยเอาไว้ แต่กลับไม่เป็นผล นอกจากนั้นยังต้องจ่ายเงินกู้ที่จะนำมาใช้ในการต่อเรือ ซึ่งลงทุนไปแล้ว 6 ล้านดอยช์มาร์ก แต่ไม่สามารถขายเรือได้ บริษัทซึ่งสถานะทางการเงินไม่ค่อยดีอยู่แล้วต้องประสบปัญหาทางการเงินเข้าไปใหญ่ เมื่อรวมกับการบริหารผิดพลาดของบริษัทอีกหลายครั้ง ทำให้หนี้พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ แม้จะขายเรือได้อีกหลายลำ 5 ปีต่อมา หลังจากรัฐบาลเยอรมันจำเป็นต้องจ่ายเงินช่วยเหลือไปกว่า 800 ล้านดอยช์มาร์ก แต่ก็ไม่อาจยื้อไว้ได้ ในปี ค.ศ.1996 (พ.ศ.2539) บริษัท Bremer Vulkan ประกาศล้มละลาย ปีถัดไปอู่ต่อเรือจึงปิดตัวลง อันเป็นการปิดฉากสำหรับคู่สัญญาของกองทัพเรือ
ในขณะที่แบบเรือจากอิตาลีซึ่งเป็นแบบเรือสำรองนั้นก็ไม่ได้รับการจัดหา เนื่องจากทางบริษัทถอนตัวไป เพราะรัฐบาลอิตาลีไม่สามารถให้เงินกู้กับบริษัท Fincantieri ได้ ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นบริษัทAlenia Aeronautica ของอิตาลีเองก็กำลังเสนอแบบเครื่องบินโจมตี AMX ให้กับกองทัพอากาศไทยอยู่ด้วย

ปรากฏว่ามีแบบเรือที่มีคุณลักษณะตรงตามความต้องการของกองทัพเรือเพียง 2 แบบ คือแบบเรือของบริษัท Fincantieri ซึ่งขณะนั้นกองทัพเรืออิตาลีจัดหาไปในราคา 25,000 ล้านบาท มีระวางขับน้ำปกติ 10,100 ตัน ระวางขับน้ำสูงสุด 13,850 ตัน กับแบบของบริษัท BAZAN ที่มีพื้นฐานการปรับปรุงมาจากเรือ Principe de Asturias ที่มีประจำการอยู่ในกองทัพเรือสเปนเอง โดยเสนอมาในวงเงิน 7,100 ล้านบาท จากการพิจารณาอย่างยาวนานหลายเดือน ในที่สุดก็ยุติลงในวันจันทร์ที่ 27 ม.ค.2535 เมื่อกองทัพเรือประกาศว่าบริษัท อู่เอ็นเพรสซ่านาวิอองนาลบาซาน ราชอาณาจักรสเปน ได้รับคัดเลือกให้ ต่อเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งมีพื้นฐานการออกแบบมาจากเรือบรรทุกเครื่องบินที่มีใช้ในกองทัพเรือสเปน ที่มีชื่อว่า PRINCIPE DE ASTURIUS เพื่อส่งมอบให้แก่กองทัพเรือไทย
โดยในโครงการจัดหาเรือเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือในครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. จัดหาเรือตามแบบของบริษัท BAZAN จำนวน 1 ลำ เป็นเงิน 7,100 ล้านบาท
2. ส่วนสนับสนุนและอาวุธป้องกันตัวระยะประชิด (CIWS) เป็นเงิน 2,100 ล้านบาท
3. เครื่องบินขึ้นลงทางดิ่ง AV-8S และ TAV-8S รวม 9 ลำ เป็นเงิน 2,900 ล้านบาท
4. เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ S-70B จำนวน 6 ลำ เป็นเงิน 3,570 ล้านบาท
5. อุปกรณ์ตรวจจับและอาวุธของเฮลิคอปเตอร์ (ถูกระงับ) เป็นเงิน 816 ล้านบาท
แบบเรือที่บริษัท BAZAN นำเสนอกองทัพเรือจริงๆ แล้วพัฒนามาจากแบบเรือ Sea Control (SCS) หรือเรือควบคุมทะเลที่ออกแบบและพัฒนาโดยกองทัพเรือสหรัฐในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ที่มีแผนสร้างถึง 8 ลำ แต่ถูกตัดงบประมาณไป ซึ่งบริษัท BAZAN ได้นำมาปรับปรุงสร้างเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินเบาในชื่อเรือ Principe De Asturias โดยติดตั้ง Ski Jump ที่หัวเรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ฝูงบิน Harrier ในประจำการ ก่อนจะนำแบบเรือดังกล่าวมาปรับปรุงและเสนอให้แก่กองทัพเรือไทยจนได้รับการคัดเลือกในที่สุด

Sea Control Ship มีแผนการสร้างเข้าประจำการถึง 8 ลำ ในราคาลำละ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราคาเมื่อปี ค.ศ.1973) ตามแบบแล้วเรือมีจะขนาดระวางขับน้ำปกติ 9,773 ตัน ระวางขับน้ำเต็มที่ 13,736 ตัน มีความยาว 190 เมตร, กว้าง 24 เมตร, กินน้ำลึก 6.59 เมตร ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลและแก๊สเทอร์ไบน์อย่างละ 1 เครื่อง ทำความเร็วได้สูงสุด 26 นอต, มีความเร็วเดินทางต่อเนื่อง 24 นอต ลูกเรือ 624 นาย และนายทหารอีก 76 นาย ติดตั้งอาวุธป้องกันตนเองระยะประชิดแบบปืนกล Phalanx 20 มม. จำนวน 2 แท่น อากาศยานประจำเรือประกอบด้วย AV-8 HARRIER 3 ลำ เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ แบบ Seasprite จำนวน 3 เครื่อง และเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงพลแบบ Sea King จำนวน 14 เครื่อง
พี่สาวของเรือหลวงจักรีนฤเบศร
เรือบรรทุกเครื่องบิน Principe de Asturias ของกองทัพเรือสเปน พี่สาวฝาแฝดของ เรือหลวงจักรีนฤเบศร มีชื่อว่าปรินซิเป ดี แอสทูเรียส หรือเจ้าชายแห่งแอสทูเรียส (Prince of Asturias) เป็นพระนามของพระฐานันดรศักดิ์ของเจ้าชายฟิลิเป ฆวน ปลาโบ อัลฟองโซ ดี โตโดส ลอส ซานโตส (Prince Felipe Juan Pablo Alfonso de Todos los Santos) พระราชโอรสพระองค์เดียว แห่งพระราชาธิบดีฆวนคาร์ลอส (King Juan Carlos) ในพระราชินีโซเฟีย (Queen Sofia) แห่งสเปน
เรือลำนี้มีแผนแบบมาจากเรือควบคุมทะเล (SCS) ของกองทัพเรือสหรัฐฯ แต่ได้ปรับปรุงเพิ่มระบบ Ski Jump ลาดเอียง 12 องศา เพื่อใช้ส่งเครื่องบินขับไล่แบบ AV-8S
แสดงความคิดเห็น
ทำไมเราต่อร.ล.จักรีนฤเบศที่อู่เรือสเปนครับ?