อ่านตอนที่ 1 ได้ที่
https://pantip.com/topic/36390135
อ่านตอนที่ 2 ได้ที่
https://pantip.com/topic/36393644
อ่านตอนที่ 3 ได้ที่
https://pantip.com/topic/36397831
วันที่สี่ของการเดินทาง (30 มีนาคม 2560) วันนี้เปลี่ยนโหมดการเดินทางจากที่ไปไหนมาไหนด้วย Swiss Pass มาเป็นการเช่ารถขับเที่ยวเส้นทางปลูกไวน์ (Wine Route) ในฝรั่งเศสและเข้าไปในเขตป่าดำ (Black Forest) ในเยอรมัน วันนี้ออกเดินทางจากเมือง Basel ของสวิสไปเมือง Strasbourg ของฝรั่งเศส เช่ารถไว้ที่นั่นรับรถที่ใกล้ๆ สถานีรถไฟ Strasbourg เช่าสี่วันแล้วกลับนำมาคืนที่เดียวกันก่อนที่จะขึ้นรถไฟไปปารีส
ทานอาหารเช้าที่ Hostel เสร็จก็เดินลากกระเป๋าไปขึ้นรถรางเพื่อไปสถานีรถไฟ Basel วันนี้เพื่อนพาเดินทางใหม่เดินน้อยกว่าเมื่อวานที่มา และรถรางที่ขึ้นก็ใช้เวลาน้อยกว่าด้วย ไปถึงสถานีก่อนเวลารถออกนานพอสมควร เพื่อนผมและภรรยาเห็นว่ายังพอมีเวลาก็เลยไปดูนาฬิกาที่ร้านในสถานีรถไฟนั้น ส่วนผมก็ออกไปถ่ายรูปหน้าสถานี
รูปอาคารต่างๆ ที่อยู่หน้าสถานี
เพื่อนกับภรรยาหายไปประมาณ 15-20 นาทีก็นำนาฬิกามาโชว์ บอกว่าเขาลดราคาห้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยได้มาสี่เรือน (รวมกันราคาไม่ถึงสองหมื่นบาท) ผมเห็นแล้วก็รู้สึกเสียดาย แต่ถ้าจะไปบ้างก็คงไม่ทันเพราะอีกไม่นานก็จะถึงเวลารถออกแล้ว การขึ้นรถไฟต้องเดินเข้าไปตรงป้ายที่เขียนว่า France ส่วนช่องทางซ้ายที่คนเดินออกมาเป็นทางสำหรับคนที่เพิ่งลงรถไฟมา (จากฝรั่งเศส) ทั้งสองทางนี้มีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองยืนสังเกตการณ์อยู่ เข้าใจว่าคงจะสุ่มตรวจเป็นบางคน
เดินเข้าไปนั่งรอที่ชานชลาไม่นานรถขบวนที่จะไปเมือง Strasbourg ก็มา
นั่งชมวิวไปเรื่อยๆ ไม่ถึงสองชั่วโมงก็มาถึงเมือง Strasbourg ลงจากรถไฟประมาณเที่ยง ในสถานีมีร้านเบอร์เกอร์คิง ก็เลยกินกลางวันกันที่นั่น ผมไปสั่งอาหารส่วนเพื่อนไปดูว่าบริษัทรถเช่าอยู่ตรงไหน ปรากฏว่าอยู่ใกล้ๆ กับที่นั่งกินแฮมเบอร์เกอร์นั่นเอง กินเสร็จให้ภรรยาทั้งสองนั่งอยู่ที่ร้านส่วนผมและเพื่อนไปทำเรื่องเช่ารถ
รถที่จองไว้เป็นรถขนาดเล็กแต่ตามสเป็คที่ระบุไว้ในตอนจองก็คือต้องเป็น Station Wagon เพราะผมกลัวว่าถ้าเป็นรถ Sedan เก๋ง 4 ประตูทั่วไปอาจจะใส่กระเป๋า 4 ใบไม่หมด ในตอนที่จองได้เป็นรถเปอร์โย 308 Station Wagon (หรือเทียบเท่า) แต่เป็นเกียร์ธรรมดาไม่ใช่เกียร์ Auto (จากประสบการณ์ที่ผ่านมา รถเช่าในยุโรปส่วนใหญ่มักจะเป็นเกียร์ธรรมดา)
ค่าเช่ารถ 4 วัน รวมประกันภัยแบบครอบคลุมทั้งหมด (Full Coverage) ราคา 9000 บาท ตกวันหนึ่งแค่สองพันกว่าบาท ที่ราคาถูกคงเป็นเพราะว่าเช่าที่ไหนคืนที่นั่น เดิมเคยคิดเหมือนกันว่าจะเช่าที่ Basel แล้วขับไปคืนที่ Strasbourg แต่จำได้ว่าดูราคาแล้วแพงกว่าหลายเท่าตัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคืนรถข้ามประเทศหรือเป็นเพราะรถเช่าในสวิสแพงกว่าในฝรั่งเศส
หลังจากพนักงานดูหลักฐานการจองรถของเราแล้วกดนั่นกดนี่ในคอมพิวเตอร์อยู่สักพัก เธอก็เงยหน้าขึ้นมาบอกว่า “รถรุ่นที่จองไว้ไม่มี แต่ที่เป็น Station Wagon รุ่นใกล้เคียงนั้น มีให้เลือกอยู่สองคันคือ Volvo V60 กับ Benz C220” อีกทั้งยังขอโทษด้วยที่ทั้งสองคันนี้เป็นรถเกียร์ Auto!
ผมกับเพื่อนได้แต่มองตากัน แล้วก็ตอบไปพร้อมกันว่า “ถ้างั้นเอาเบนซ์ก็แล้วกัน” หลังจากได้กุญแจรถมาก็คิดแผนกันว่าเดี๋ยวเจอบรรดาเหล่าภรรยา จะบอกพวกเธอว่าไปเห็นรถมาแล้วเก่ามาก แต่พอบอกไปแล้วทั้งสองคนก็ไม่เห็นมีปฏิกริยาอะไรเลย ว่าแล้วก็พากันลากกระเป๋าไปยังอาคารจอดรถที่อยู่ใกล้ๆ แต่พอได้เห็นรถก็ถึงกับตาโตนึกไม่ถึงว่านี่คือรถที่เราเช่ากันไว้
เพื่อนผมและภรรยาแอ๊คชั่นกับรถเช่า
ได้รถแล้วก็ขับมุ่งหน้าไป La Petite-Pierre ซึ่งเป็นที่พักคืนแรกในฝรั่งเศส อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง Strasbourg ใช้เวลาขับรถประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมเลือกที่นี่ทั้งๆ ที่รายการวันพรุ่งนี้เป็นการขับตะเวนเส้นทางผลิตไวน์ (Wine Route) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมือง Strasbourg ดูเหมือนย้อนไปย้อนมา แต่เป็นพราะเห็นว่ามีรถขับแล้วไม่อยากนอนในเมืองก็เลยเลือกที่พักที่อยู่ในเขตป่าเพื่อว่าจะได้อยู่ใกล้ธรรมชาติบ้าง
เส้นทางจาก Strasbourg มาโรงแรมที่พัก
ภาพที่ได้ระหว่างทาง เนื่องจากเพื่อนผมรับอาสาเป็นผู้ขับ ผมก็เลยมีโอกาสได้เก็บภาพอย่างสบายใจ
นั่งรถยังไม่ทันเบื่อก็มาถึงที่พักแล้ว เข้าไปเช็คอินเก็บของแล้วก็พร้อมที่จะออกไปเที่ยวต่อ แต่ขอถ่ายภาพบริเวณที่พักให้ได้ดูกันนิดหน่อยก่อน
ตอนเช็คอินป้าที่เคาน์เตอร์ถามว่าจะจองอาหารเย็นวันนี้และอาหารเช้าพรุ่งนี้ด้วยหรือไม่ เพราะในราคาที่พักที่จองไว้ไม่รวมอาหาร ซึ่งเราก็ตอบตกลงไป เพราะอยู่ในป่าแบบนี้คงหาร้านกินยาก แล้วตอนที่เรามาเช็คอินก็เห็นคนมานั่งทานอาหารร้านนี้กันเยอะเหมือนกัน ดูแล้วน่าจะเป็นร้านที่ป๊อปปูล่าพอสมควร
ออกจากที่พัก (Imsthal) ขับเข้าไปในเมือง La Petite-Pierre เห็น Tourist Information Center จึงเข้าไปถามเขาว่าเท่าที่เคยหาข้อมูลมาทราบว่าแถวๆ นี้มีปราสาทเก่าอยู่หลายที่ ถ้าจะให้เลือกสักหนึ่งที่เขาจะแนะนำให้ไปที่ไหน ซึ่งเขาก็แนะให้ไปชม Chateau de Lichtenberg ซึ่งอยู่ห่างออกไปแค่ครึ่งชั่วโมง
Chateau de Lichtenberg อยู่บนยอดเขา พวกเราจอดรถไว้ในหมู่บ้านใกล้ๆ โบส์ถแล้วก็เดินขึ้นไป เดินไกลเหมือนกัน แต่ก็ถ่ายรูปบ้านระหว่างทางที่เดินไปเรื่อย
ู
เจอนกระหว่างทางด้วย
เดินไปถึง (เดินช้ามากๆ) ปรากฎว่าปราสาทปิดแล้ว จึงได้แต่เดินเที่ยวข้างนอก ไม่มีโอกาสได้ดูข้างใน แล้วก็ตัดสินใจกลับที่พัก ระหว่างทางเห็นปั้มน้ำมันและร้านคาฟูร์ ก็ลงไปดูสำรวจตลาดกัน ได้เสบียงและอุปกรณ์สำหรับเตรียมอาหารเช้ามาหลายอย่าง เช่น กาต้มน้ำ กาแฟ ไข่ เนย แฮม ขมมปัง และยังได้ไวน์มากินเย็นนี้อีกด้วย คิดไว้ว่าตอนทานมื้อเย็นคงจะต้องแจ้งยกเลิกอาหารเช้ากับทางที่พัก จะได้ประหยัดมื้อเช้าไป 40 ยูโร (ค่าอาหารเช้าคนละ 10 ยูโร) ที่ซื้อของมานั้นจ่ายไป 50 ยูโรแต่คิดว่าคงจะทำกินได้หลายมื้อเหมือนกัน
มื้อเย็นเป็นอาหารตามสั่ง สั่งกันคนละอย่าง แล้วก็มาแชร์และชิมกัน รสชาติดีทุกจานไม่รู้เป็นเพราะผมกับเพื่อนซัดไวน์กันไป 1 ขวดก่อนลงจากห้องมาทานมื้อเย็นหรือเปล่าก็ไม่รู้
เอาภาพเมนูปลากับเมนูเนื้อมาให้ดู
ตอนกินทีแรกรู้สึกว่ารสชาติอาหารดีมาก แต่พอกินไปเรื่อยๆ เริ่มนึกด่าเชฟว่าทำไมทำอาหารเค็มจัง สังเกตเห็นว่าทุกคนกินไปแล้วก็เติมพริกไทยไป (คนละหลายรอบ)
ดูไปดูมานี่มันเกลือนี่หว่า ถึงว่าอาหารตอนแรกอร่อยแต่ตอนหลังเค็มมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมาหรือเป็นความสะเพร่าของร้านนี้ที่ดันเลือกสีขวดเกลือสีเหมือนขวดพริกไทย แถมยังเป็นขวดเดียวที่วางอยู่บนโต๊ะและก็ไม่มีใครเฉลียวใจเลยสักนิดว่ามันคือเกลือ ตอนนี้พอสังเกตใกล้ๆ เพิ่งเห็นตัวอักษรตัว S (Salt) อยู่ด้านบนของขวดก็เลยไม่รู้จะโทษใคร แต่ถึงอย่างไรก็ประทับใจอาหารร้านนี้ และบรรยากาศรอบๆ ที่พักที่นี่ ซึ่งพรุ่งนี้ (ตอนต่อไป) คงจะได้มีโอกาสนำภาพมาให้ดูเพิ่มเติมครับ
อ่านตอนต่อไปได้ที่
https://pantip.com/topic/36402025
[CR] *** ยุโรป 3 ประเทศ 11 วัน 3000 รูป (4) ***
อ่านตอนที่ 2 ได้ที่ https://pantip.com/topic/36393644
อ่านตอนที่ 3 ได้ที่ https://pantip.com/topic/36397831
วันที่สี่ของการเดินทาง (30 มีนาคม 2560) วันนี้เปลี่ยนโหมดการเดินทางจากที่ไปไหนมาไหนด้วย Swiss Pass มาเป็นการเช่ารถขับเที่ยวเส้นทางปลูกไวน์ (Wine Route) ในฝรั่งเศสและเข้าไปในเขตป่าดำ (Black Forest) ในเยอรมัน วันนี้ออกเดินทางจากเมือง Basel ของสวิสไปเมือง Strasbourg ของฝรั่งเศส เช่ารถไว้ที่นั่นรับรถที่ใกล้ๆ สถานีรถไฟ Strasbourg เช่าสี่วันแล้วกลับนำมาคืนที่เดียวกันก่อนที่จะขึ้นรถไฟไปปารีส
ทานอาหารเช้าที่ Hostel เสร็จก็เดินลากกระเป๋าไปขึ้นรถรางเพื่อไปสถานีรถไฟ Basel วันนี้เพื่อนพาเดินทางใหม่เดินน้อยกว่าเมื่อวานที่มา และรถรางที่ขึ้นก็ใช้เวลาน้อยกว่าด้วย ไปถึงสถานีก่อนเวลารถออกนานพอสมควร เพื่อนผมและภรรยาเห็นว่ายังพอมีเวลาก็เลยไปดูนาฬิกาที่ร้านในสถานีรถไฟนั้น ส่วนผมก็ออกไปถ่ายรูปหน้าสถานี
รูปอาคารต่างๆ ที่อยู่หน้าสถานี
เพื่อนกับภรรยาหายไปประมาณ 15-20 นาทีก็นำนาฬิกามาโชว์ บอกว่าเขาลดราคาห้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยได้มาสี่เรือน (รวมกันราคาไม่ถึงสองหมื่นบาท) ผมเห็นแล้วก็รู้สึกเสียดาย แต่ถ้าจะไปบ้างก็คงไม่ทันเพราะอีกไม่นานก็จะถึงเวลารถออกแล้ว การขึ้นรถไฟต้องเดินเข้าไปตรงป้ายที่เขียนว่า France ส่วนช่องทางซ้ายที่คนเดินออกมาเป็นทางสำหรับคนที่เพิ่งลงรถไฟมา (จากฝรั่งเศส) ทั้งสองทางนี้มีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองยืนสังเกตการณ์อยู่ เข้าใจว่าคงจะสุ่มตรวจเป็นบางคน
เดินเข้าไปนั่งรอที่ชานชลาไม่นานรถขบวนที่จะไปเมือง Strasbourg ก็มา
นั่งชมวิวไปเรื่อยๆ ไม่ถึงสองชั่วโมงก็มาถึงเมือง Strasbourg ลงจากรถไฟประมาณเที่ยง ในสถานีมีร้านเบอร์เกอร์คิง ก็เลยกินกลางวันกันที่นั่น ผมไปสั่งอาหารส่วนเพื่อนไปดูว่าบริษัทรถเช่าอยู่ตรงไหน ปรากฏว่าอยู่ใกล้ๆ กับที่นั่งกินแฮมเบอร์เกอร์นั่นเอง กินเสร็จให้ภรรยาทั้งสองนั่งอยู่ที่ร้านส่วนผมและเพื่อนไปทำเรื่องเช่ารถ
รถที่จองไว้เป็นรถขนาดเล็กแต่ตามสเป็คที่ระบุไว้ในตอนจองก็คือต้องเป็น Station Wagon เพราะผมกลัวว่าถ้าเป็นรถ Sedan เก๋ง 4 ประตูทั่วไปอาจจะใส่กระเป๋า 4 ใบไม่หมด ในตอนที่จองได้เป็นรถเปอร์โย 308 Station Wagon (หรือเทียบเท่า) แต่เป็นเกียร์ธรรมดาไม่ใช่เกียร์ Auto (จากประสบการณ์ที่ผ่านมา รถเช่าในยุโรปส่วนใหญ่มักจะเป็นเกียร์ธรรมดา)
ค่าเช่ารถ 4 วัน รวมประกันภัยแบบครอบคลุมทั้งหมด (Full Coverage) ราคา 9000 บาท ตกวันหนึ่งแค่สองพันกว่าบาท ที่ราคาถูกคงเป็นเพราะว่าเช่าที่ไหนคืนที่นั่น เดิมเคยคิดเหมือนกันว่าจะเช่าที่ Basel แล้วขับไปคืนที่ Strasbourg แต่จำได้ว่าดูราคาแล้วแพงกว่าหลายเท่าตัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคืนรถข้ามประเทศหรือเป็นเพราะรถเช่าในสวิสแพงกว่าในฝรั่งเศส
หลังจากพนักงานดูหลักฐานการจองรถของเราแล้วกดนั่นกดนี่ในคอมพิวเตอร์อยู่สักพัก เธอก็เงยหน้าขึ้นมาบอกว่า “รถรุ่นที่จองไว้ไม่มี แต่ที่เป็น Station Wagon รุ่นใกล้เคียงนั้น มีให้เลือกอยู่สองคันคือ Volvo V60 กับ Benz C220” อีกทั้งยังขอโทษด้วยที่ทั้งสองคันนี้เป็นรถเกียร์ Auto!
ผมกับเพื่อนได้แต่มองตากัน แล้วก็ตอบไปพร้อมกันว่า “ถ้างั้นเอาเบนซ์ก็แล้วกัน” หลังจากได้กุญแจรถมาก็คิดแผนกันว่าเดี๋ยวเจอบรรดาเหล่าภรรยา จะบอกพวกเธอว่าไปเห็นรถมาแล้วเก่ามาก แต่พอบอกไปแล้วทั้งสองคนก็ไม่เห็นมีปฏิกริยาอะไรเลย ว่าแล้วก็พากันลากกระเป๋าไปยังอาคารจอดรถที่อยู่ใกล้ๆ แต่พอได้เห็นรถก็ถึงกับตาโตนึกไม่ถึงว่านี่คือรถที่เราเช่ากันไว้
เพื่อนผมและภรรยาแอ๊คชั่นกับรถเช่า
ได้รถแล้วก็ขับมุ่งหน้าไป La Petite-Pierre ซึ่งเป็นที่พักคืนแรกในฝรั่งเศส อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง Strasbourg ใช้เวลาขับรถประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมเลือกที่นี่ทั้งๆ ที่รายการวันพรุ่งนี้เป็นการขับตะเวนเส้นทางผลิตไวน์ (Wine Route) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมือง Strasbourg ดูเหมือนย้อนไปย้อนมา แต่เป็นพราะเห็นว่ามีรถขับแล้วไม่อยากนอนในเมืองก็เลยเลือกที่พักที่อยู่ในเขตป่าเพื่อว่าจะได้อยู่ใกล้ธรรมชาติบ้าง
เส้นทางจาก Strasbourg มาโรงแรมที่พัก
ภาพที่ได้ระหว่างทาง เนื่องจากเพื่อนผมรับอาสาเป็นผู้ขับ ผมก็เลยมีโอกาสได้เก็บภาพอย่างสบายใจ
นั่งรถยังไม่ทันเบื่อก็มาถึงที่พักแล้ว เข้าไปเช็คอินเก็บของแล้วก็พร้อมที่จะออกไปเที่ยวต่อ แต่ขอถ่ายภาพบริเวณที่พักให้ได้ดูกันนิดหน่อยก่อน
ตอนเช็คอินป้าที่เคาน์เตอร์ถามว่าจะจองอาหารเย็นวันนี้และอาหารเช้าพรุ่งนี้ด้วยหรือไม่ เพราะในราคาที่พักที่จองไว้ไม่รวมอาหาร ซึ่งเราก็ตอบตกลงไป เพราะอยู่ในป่าแบบนี้คงหาร้านกินยาก แล้วตอนที่เรามาเช็คอินก็เห็นคนมานั่งทานอาหารร้านนี้กันเยอะเหมือนกัน ดูแล้วน่าจะเป็นร้านที่ป๊อปปูล่าพอสมควร
ออกจากที่พัก (Imsthal) ขับเข้าไปในเมือง La Petite-Pierre เห็น Tourist Information Center จึงเข้าไปถามเขาว่าเท่าที่เคยหาข้อมูลมาทราบว่าแถวๆ นี้มีปราสาทเก่าอยู่หลายที่ ถ้าจะให้เลือกสักหนึ่งที่เขาจะแนะนำให้ไปที่ไหน ซึ่งเขาก็แนะให้ไปชม Chateau de Lichtenberg ซึ่งอยู่ห่างออกไปแค่ครึ่งชั่วโมง
Chateau de Lichtenberg อยู่บนยอดเขา พวกเราจอดรถไว้ในหมู่บ้านใกล้ๆ โบส์ถแล้วก็เดินขึ้นไป เดินไกลเหมือนกัน แต่ก็ถ่ายรูปบ้านระหว่างทางที่เดินไปเรื่อย
เจอนกระหว่างทางด้วย
เดินไปถึง (เดินช้ามากๆ) ปรากฎว่าปราสาทปิดแล้ว จึงได้แต่เดินเที่ยวข้างนอก ไม่มีโอกาสได้ดูข้างใน แล้วก็ตัดสินใจกลับที่พัก ระหว่างทางเห็นปั้มน้ำมันและร้านคาฟูร์ ก็ลงไปดูสำรวจตลาดกัน ได้เสบียงและอุปกรณ์สำหรับเตรียมอาหารเช้ามาหลายอย่าง เช่น กาต้มน้ำ กาแฟ ไข่ เนย แฮม ขมมปัง และยังได้ไวน์มากินเย็นนี้อีกด้วย คิดไว้ว่าตอนทานมื้อเย็นคงจะต้องแจ้งยกเลิกอาหารเช้ากับทางที่พัก จะได้ประหยัดมื้อเช้าไป 40 ยูโร (ค่าอาหารเช้าคนละ 10 ยูโร) ที่ซื้อของมานั้นจ่ายไป 50 ยูโรแต่คิดว่าคงจะทำกินได้หลายมื้อเหมือนกัน
มื้อเย็นเป็นอาหารตามสั่ง สั่งกันคนละอย่าง แล้วก็มาแชร์และชิมกัน รสชาติดีทุกจานไม่รู้เป็นเพราะผมกับเพื่อนซัดไวน์กันไป 1 ขวดก่อนลงจากห้องมาทานมื้อเย็นหรือเปล่าก็ไม่รู้
เอาภาพเมนูปลากับเมนูเนื้อมาให้ดู
ตอนกินทีแรกรู้สึกว่ารสชาติอาหารดีมาก แต่พอกินไปเรื่อยๆ เริ่มนึกด่าเชฟว่าทำไมทำอาหารเค็มจัง สังเกตเห็นว่าทุกคนกินไปแล้วก็เติมพริกไทยไป (คนละหลายรอบ)
ดูไปดูมานี่มันเกลือนี่หว่า ถึงว่าอาหารตอนแรกอร่อยแต่ตอนหลังเค็มมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมาหรือเป็นความสะเพร่าของร้านนี้ที่ดันเลือกสีขวดเกลือสีเหมือนขวดพริกไทย แถมยังเป็นขวดเดียวที่วางอยู่บนโต๊ะและก็ไม่มีใครเฉลียวใจเลยสักนิดว่ามันคือเกลือ ตอนนี้พอสังเกตใกล้ๆ เพิ่งเห็นตัวอักษรตัว S (Salt) อยู่ด้านบนของขวดก็เลยไม่รู้จะโทษใคร แต่ถึงอย่างไรก็ประทับใจอาหารร้านนี้ และบรรยากาศรอบๆ ที่พักที่นี่ ซึ่งพรุ่งนี้ (ตอนต่อไป) คงจะได้มีโอกาสนำภาพมาให้ดูเพิ่มเติมครับ
อ่านตอนต่อไปได้ที่ https://pantip.com/topic/36402025