
พี่ปุ่น: “ตั๋วไป – กลับญี่ปุ่น 9,000 กว่าบาทอ่ะ”
ลูกไผ่: “เฮ้ย อยากไป จองเลยค่า”
พี่ปุ่น: “ไม่มี transit เวลาโอเคด้วย”
ลูกไผ่: “ไปกี่วันคะนี่”
พี่ปุ่น: “18 วันไปเล้ยยย”
ลูกไผ่: “โอเค ดีล ไป!”
ไอพวกบ้าจี้ 2 คนนี้อีกแล้วสินะ (- -“)
นี่เป็นบทสนทนาและการจองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นข้ามปีของเรา ตอนนั้นเราจองไว้เมื่อเดือนเมษา 2016 เพื่อจะเดินทางกับ Air Asia ในวันที่ 20 มีนา – 6 เมษา 2017 โดยที่
20 มีนา เราลงเครื่องที่นาริตะ โตเกียว
6 เมษา เราขึ้นเครื่องกลับที่โอซาก้า
ไม่มีโหลดกระเป๋าให้นะคะ เราต้องมาซื้อเพิ่มเอง ตอนนั้นเราซื้อไว้คนละ 25 kg. ค่ะ
ทิ้งช่วงนานมาก กว่าจะมาเริ่มแพลนเริ่มหาข้อมูลว่าจะไปไหนบ้างก็เดือนตุลาแล้ว 555
เราหาข้อมูลจากไหน ?
แหล่งข้อมูลเรามาจาก 2 ที่ค่ะ คือ
อินเตอร์เน็ต อ่านทั้งเวปท่องเที่ยวและกระทู้รีวิวต่างๆ (แต่น่าจะหนักไปทางเวปท่องเที่ยวซะส่วนใหญ่)
หนังสือ Japan All-around เที่ยวญี่ปุ่นจากเหนือจรดใต้ เล่มละ 420 บาท (ตอนแรกกะจะพกติดตัวไปญี่ปุ่น แต่สุดท้ายได้ข้อมูลแล้วก็ทิ้งไว้บ้านดีกว่า หนัก 555)
เพราะไปตั้ง 17 วัน เราเลยกะเที่ยวแบบแวะแต่ละเมืองไปเรื่อยๆค่ะ
และนี่คือแพลนของเรา ซึ่งปรับกันอยู่ประมาณ 2-3 รอบ เราดูเรื่องเวลา สถานที่เที่ยว และการเดินทางเป็นหลัก ตัดเมืองนั้น ใส่เมืองนี้เข้าไป เพื่อ flow การเดินทางที่ smooth กว่า สรุปก็ออกมาได้เป็นแบบนี้ค่ะ



อัดแน่น และเป็นแพลนที่ค่อนข้างละเอียดเลยทีเดียว แต่! พอไปจริงๆ เราทำตามแพลนนี้เป๊ะๆ ไม่ได้ทั้งหมดหรอกค่ะ แต่ก็ใช่ว่าแพลนนี้จะไม่มีประโยชน์เลย ค่อนข้างมีประโยชน์มากทีเดียวค่ะ มันทำให้เรารู้ค่าใช้จ่ายที่เราจะต้องเตรียม รู้ว่าจะต้องไปไหนบ้าง พอรู้ว่าต้องซื้อตั๋วการเดินทางยังไงบ้าง
ตั๋วหลักๆที่เราจะซื้อแน่นอนคือ
ตั๋ว Subway แบบเหมาจ่าย 3 วัน สำหรับใช้ตอนที่เราอยู่ที่โตเกียว ตั๋วนี้ซื้อที่ญี่ปุ่นได้นะคะ เค้าให้สำหรับนักท่องเที่ยวใช้เท่านั้น คนญี่ปุ่นจะไม่มีสิทธิ์ซื้อบัตรนี้ใช้ค่ะ
JR Pass แบบ Ordinary 7 วัน คือใช้เดินทางได้ตั้งแต่โตเกียวยันโอซาก้า คือครอบคลุมรูทที่เราจะไปทั้งหมดค่ะ JR Pass จะไม่มีขายในญี่ปุ่นนะคะ เพราะเค้าทำมาเพื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ ต้องซื้อก่อนไปค่ะ
เราใช้แพลนนี้เป็นตัวหลักค่ะ แล้วก็ flexible เอาตามความเหมาะสมตอนไปเที่ยวจริงๆ
อ่ะ พอได้แพลนหลักเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไป หาที่พัก
เนื่องจากเราไปค่อนข้างหลายวัน ต้องคุมเรื่องค่าที่พักกันซักหน่อย แพลนกันไว้ว่าให้ตกคืนละ 1,000 – 1,500 บาท พยายามไม่ให้เกินนั้น ไม่งั้นงบบานแน่นอนค่ะ
เราเริ่มหาห้องพักในช่วงเดือนพฤศจิกา เริ่มจากหาใน Agoda ก่อนเลย เราเข้าใจว่าช่วงที่เราเริ่มหา โรงแรมที่ญี่ปุ่นอาจจะยังไม่เปิดให้จองมากนัก และด้วยงบประมาณที่เรากำหนดไว้ โรงแรมส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นแบบนอนในแคปซูล เราเลยหาที่พักใน airbnb เป็นอีกทางเลือกนึง หาไปหามาได้ผลดังนี้ค่ะ

โอเค สบายใจละ ยังไงไปก็มีที่นอน
ระหว่างนี้ก็มองๆหาเสื้อผ้าสำหรับ 18 วันไปค่ะ ก่อนไปเรา search หาข้อมูลตามเวป ช่วงที่เราไปอุณหภูมิจะประมาณ 18-19 องศา เสื้อตัวที่เราเตรียมไปที่หนาหน่อยก็จะเป็นเสื้อโค้ท 2 ตัว นอกนั้นก็จะเป็นเสื้อยืด กางเกงขายาว ชุดแซ๊ก กระโปรง เลกกิ้ง บลาๆๆ ตามประสาผู้หญิงอ่ะค่ะ 555 แต่ที่จำเป็นและควรติดไปด้วยคือ Heathtech นะคะ ตอนเราไปปักกิ่งช่วงอุณหภูมิประมาณ 19 – 20 องศา ช่วยได้เยอะเลย
ซื้อ JR Pass ที่ไหน?
ช่วงวันที่ 15 – 19 ก.พ. ที่ผ่านมา ศูนย์สิริกิตติ์มีงานไทยเที่ยวไทยพอดี และเราไปเจอ feed ใน Facebook ว่ามีบูทนึงขายตั๋ว JR Pass แบบ Ordinary promotion ราคา 8,400 บาท โห ถือว่าถูกมาก! เราเลยไปซื้อที่งาน สรุปเราซื้อกับบริษัท Compax World ได้ในราคา 8,500 บาท (8,400 บาทจะขายในกรณีที่จ่ายเป็นเงินสด แต่เราจ่ายเป็นบัตรเครดิตเลยเพิ่มขึ้นมาอีก 100 นึง)
พอซื้อแล้ว เราจะไม่ได้ตั๋วเลยนะคะ เราจะได้เป็น Voucher แล้วต้องเอาไปแลกตั๋วจริงที่ญี่ปุ่น Voucher จะเป็นชื่อเรานะคะ ขายต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องเก็บรักษายิ่งชีพ แล้วอย่าลืมเอาไปค่ะ!
ถ้าไม่มีงานไทยเที่ยวไทย แล้วจะซื้อ JR Pass ได้ที่ไหน?
ซื้อได้ตาม Agent tour ญี่ปุ่นทั่วไปเลยค่ะ HIS, Compax world หรือ search ใน google ก็มีขึ้นมาเยอะแยะ เลือกเอาราคาและที่ที่เราไปซื้อสะดวกได้เลยค่ะ
อย่างสุดท้ายสำหรับเราที่ต้องเตรียมไปคือ Visa!
เดี๋ยวนี้ไปญี่ปุ่นเค้าไม่ต้องทำ Visa กันแล้วจ่ะเธ๊อออ ใช่ค่ะ ไม่ต้องทำ ในกรณีที่ไปไม่เกิน 15 วัน แต่ของเรามันดั๊นนนเกินมาจึ๋งนึง เลยต้องไปเสียตังค์ทำ Visa ตามระเบียบค่ะ
เราไปทำที่ศูนย์ JVAC อยู่ที่ตึกแปซิฟิก เพลส ตรง BTS นานาค่ะ ตอนเราไปถึงคนโล่งมากกกค่ะ เรียกได้ว่ามีแค่เรากับพี่ปุ่น 2 คน แหมะ ก็คนทั่วไปเค้าก็ไม่บ้าไปกันเกิน 15 วันแงะ การทำ Visa ของเรารอบนี้เลยเร็วมากค่ะ ประมาณ 20 นาทีก็เสร็จแล้ว
ตอนเราไป ค่าทำวีซ่า 840 บาท และมีค่าบริการอีก 500 บาท รวมแล้วก็คนละ 1,340 บาท
เข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ
http://www.th.emb-japan.go.jp/th/consular/visaindex.htm
พอยื่นเอกสารเสร็จแล้ว ประมาณ 2 วัน จะมีเจ้าหน้าที่โทรมาสอบถามข้อมูลนิดหน่อย และไม่เกิน 1 อาทิตย์เค้าก็โทรมาแจ้งว่า Visa เราผ่านเรียบร้อยแล้ว มารับได้เลย
โอเค ทุกอย่างพร้อม! เตรียมตัวเดินทางกัน ดูสิทุกอย่างจะเหมือนอย่างที่แพลนไว้ป่าว!
Day 1:
วันนี้เราบิน 10:30 น. จองตั๋วข้ามปีจริง แต่เพิ่งจัดกระเป๋าเมื่อคืน ทั้งรีดผ้าสำหรับชุด 18 วัน ยัดของทุกอย่างลงกระเป๋า กว่าจะได้นอน ไม่มีพัฒนาการใดๆไม่ว่าจะไปที่ไหน 555
ไอนอนดึกไม่เท่าไหร่ แต่นอนไม่หลับนี่ดิ อ๋อยยย...ไปหลับบนเครื่องละกันนะ
พี่ปุ่น: “ไม่ลืมอะไรนะไผ่”
ลูกไผ่: “อื้อ ไม่ลืมค่ะ”
เช้านี้เราใช้บริการ Grab Taxi นั่งไปถึงสนามบินดอนเมืองแบบเวลาเหลือๆ เดิน check-in สวยๆ เข้าไปหาข้าวทานในสนามบิน
ลูกไผ่: “เง้อ พี่ปุ่นไผ่มีตังค์ไทยอยู่ 250 อ่ะค่ะ หมดตัวแล้ว”
พี่ปุ่น: เปิดกระเป๋าตังค์มาดู “เออ แฮะ เราก็มีอยู่ 150 กว่าบาท ลืมกด”
นั่นแงะ ทานข้าวในสนามบิน มีตังค์ติดตัวกันอยู่ 400 บาทสำหรับ 2 คน แถมบิน 6 ชั่วโมงแบบไม่ Full Service ต้องซื้อของกินขึ้นไปตุนเองด้วย นี่มันเริ่มรายการกินอยู่อย่างประหยัดตั้งกะยังไม่ถึงญี่ปุ่นเลยเหรอเนี่ย (- -“)
จากที่เดินๆดูแล้ว ร้าน Piri Piri น่าจะเป็นอาหารที่ดูสมเหตุสมผลที่สุดแล้วกับเราในมื้อนี้

และดีใจที่ S&P มีพายไก่ราคาไม่แพงมากให้เราซื้อไปตุนทานบนเครื่องได้
อ้อ! ในภาคปฐมบท เราลืมเล่าเรื่องการเตรียมตัวอีกเรื่องนึงไป Sim โทรศัพท์นั่นเอง เราตัดสินใจซื้อ Sim to fly ของ AIS ไป ราคา 350 สามารถใช้ internet 4G ได้ 8 วัน แต่! เราไป 18 วัน นี่
พี่ปุ่น: “ละถ้าผมไป 18 วันต้องทำยังไงครับ”
พนง.: “ลูกค้าก็ซื้อบัตรเติมเงินเพิ่มอีก 300 บาท แล้วเติมเงินจากที่ไทยไว้เลยครับ แล้วระบบจะต่อวันให้เอง”
พี่ปุ่น: “ต่อให้เองเลยเหรอครับ ไม่ต้องกดอะไรใช่มั้ย”
พนง: “ใช่ครับ ระบบจะต่อเวลาให้เองเลย”
โอเค สรุปเราซื้อ Sim to fly ราคา 350 บาท ใช้ Internet 4G ได้ 8 วัน และซื้อบัตรเติมเงิน 350 บาทเพื่อใช้ Internet 4G เพิ่มอีก 8 วัน รวมเป็น Internet 8G ในเวลา 16 วัน ราคา 700 บาท
พอถึงเวลา broading เราก็มานั่งเปลี่ยนกันอย่างกุลีกุจอ (ไม่เคยมีครั้งไหนที่ไม่ต้องทำอะไรแบบ last minute สินะ (- -“) เอาน่ะอย่างน้อนเราก็ไม่ตกเครื่อง
จากที่นั่งหลับแล้วหลับอีก อ่านโคนันบ้าง กินขนมบ้าง 19:00 น. เราก็มาถึงญี่ปุ่นซักที!!!!! เย้!
ได้กระเป๋าแล้วก็ลาก คร๊ากๆๆๆ มาหาซื้อตั๋ว Subway สำหรับเหมาใช้ 3 วัน และหา counter สำหรับแลกเอาตั๋ว JR Pass Ordinary สำหรับใช้ 7 วันที่นี่ พอถึงหน้า counter
ลูกไผ่: “Voucher ที่ใช้แลก JR Pass อ่ะคะ”
พี่ปุ่น: “เห?”
ลูกไผ่: “อยู่ที่พี่ปุ่นใช่มั้ย ที่เค้าให้เป็น Voucher มาตอนเราซื้อ แล้วเค้าบอกให้เอามาแลกตั๋วจริงที่นี่อ่ะค่ะ”
พี่ปุ่น: “เออ หวะ เฮ้ยยย ไม่ได้อยู่ที่ไผ่ใช่มั้ย”
ลูกไผ่: “ไม่ได้อยู่ที่ไผ่ ก็ตอนซื้อแล้วให้เก็บไว้ที่พี่ปุ่นไง”
ณ จุดนี้ เริ่มมาคุละ ชิท!!!! พวกเราไม่ได้เอา Voucher ที่ใช้แลก JR Pass มา
คือ 8,500 เลยไง ละแพลนการเดินทางที่วางไว้ก็ต้องใช้ JR Pass เป็นหลักอยู่ 7 วันไง ละ JR Pass ไม่มีขายที่ญี่ปุ่นเลยไง!!!
หายนะตั้งแต่ก้าวเท้าลงญี่ปุ่นวันแรก ม๊ายยยยย!!!!
เรารีบ search เบอร์ agent ที่เราซื้อตั๋ว JR Pass จากเค้ามา แล้วกดโทรไป
ลูกไผ่: “ขอโทษนะคะ พอดีซื้อ JR Pass ตอนงานไทยเที่ยวไทยอ่ะค่ะ แล้วลืมเอา Voucher มา มันพอจะทำอะไรได้บ้างมั้ยคะ
Agent: “อ๋อ งั้นรอซักครู่นะคะ”
หายไปซักพัก ทำให้เรามีความหวังว่า เฮ้ย เค้าต้องมีวิธีช่วยแน่ๆ เช่น แสดง passport แทน หรืออะไรก็ได้
Agent: “คือทำอะไรไม่ได้เลยค่ะ”
ลูกไผ่: “คือใช้อย่างอื่นแสดงไม่ได้เลยเหรอคะ”
Agent: “ไม่ได้เลยอ่ะค่ะ”
ลูกไผ่: ช๊อค....”โอเค ขอบคุณค่ะ”
……………………………………………………………..
พี่ปุ่น: “เค้าว่าไงมั่ง”
ลูกไผ่: “ก็ทำอะไรไม่ได้อ่ะค่ะ” หน้าเซ็งอย่างเต็มที่ อาการเหวี่ยงเริ่มมา และความเงียบก็เริ่มเข้ามาแทนที่
พี่ปุ่น: “เราไม่น่าลืมเลย งั้นซื้อ Subway ก่อนละกันนะ”
ลูกไผ่: “อืม”
คือจุดนั้นรู้นะว่าไม่ใช่เวลามาเหวี่ยงแล้วทำหน้าเซ็ง ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่พอเจอเรื่องเซ็งทีไรเรามักจะดึงตัวเองกลับมาทันทีไม่ได้ซักที ต้องปล่อยไปซักพัก ให้เราได้คิดก่อน
เราซื้อตั๋ว Subway สำหรับเหมาใช้ 3 วัน ใน Tokyo และตั๋วรถไฟ Narita Express ไปลงในเมืองราคาคนละ 3,500 เยน
พอซื้อตั๋วแล้วเราเดินตามป้าย ลากกระเป่าอย่างเซ็งมารอรถไฟ นี่เป็นการมาญี่ปุ่นครั้งแรกของเราเลยทำให้เรางงกับสถานีมากว่าต้องยืนรอตรงไหน ที่นี่ไม่ใช่ว่ายืนตรงประตูไหนก็ได้ไปที่เดียวเหมือนกันหมดเหมือนบ้านเรานะ คือขึ้นผิดประตูชีวิตเปลี่ยน เราอาศัยหน้างอเดินตามพี่ปุ่น ผู้เคยมาแล้ว 2 ครั้งก่อนหน้าเรา แต่ก็ยังต้องงมๆกันบ้าง ละเราก็มายืนตรงประตูที่คิดว่า คงประตูนี้ล่ะวะ 555
เราผู้ซึ่งยังคงหน้าเซ็ง และพยายามคุยกับตัวเองในหัวให้คิดบวกๆๆ
พี่ปุ่นผู้ซี่งหน้าหงอยรู้สึกผิดสุดๆที่ตัวเองไม่ได้หยิบ Voucher JR Pass มา เดินมากอดเราแล้วบอกว่า
พี่ปุ่น: “อ๋อยย...เดี๋ยวเราจ่ายค่า JR ให้เองนะ”
คือจุดนั้นสงสารพี่ปุ่นมาก นานๆจะเห็นรู้สึกผิดอะไรอย่างนี้ที
ลูกไผ่: “อืม! ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวมันก็มีทางไปอ่ะเนอะ”
คือสติกลับมาแล้ว บอกแล้วต้องปล่อยเราให้คิดได้เองซักพัก ถ้าคิดได้แล้วจะเปลี่ยนอารมณ์แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย 555 อย่าเสียเวลาไปกับอารมณ์ขุ่นๆมัวๆ ที่ทำไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา กลับมาช่าง

แล้วตื่นตากับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า เที่ยวให้สนุกดีกว่า เดี๋ยวมันก็มีทางไปของมัน เนอะ!
[CR] 17 Days in Japan: ตะลุยญี่ปุ่น 17 วัน แบบไปเองไม่ง้อทัวร์
พี่ปุ่น: “ตั๋วไป – กลับญี่ปุ่น 9,000 กว่าบาทอ่ะ”
ลูกไผ่: “เฮ้ย อยากไป จองเลยค่า”
พี่ปุ่น: “ไม่มี transit เวลาโอเคด้วย”
ลูกไผ่: “ไปกี่วันคะนี่”
พี่ปุ่น: “18 วันไปเล้ยยย”
ลูกไผ่: “โอเค ดีล ไป!”
ไอพวกบ้าจี้ 2 คนนี้อีกแล้วสินะ (- -“)
นี่เป็นบทสนทนาและการจองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นข้ามปีของเรา ตอนนั้นเราจองไว้เมื่อเดือนเมษา 2016 เพื่อจะเดินทางกับ Air Asia ในวันที่ 20 มีนา – 6 เมษา 2017 โดยที่
20 มีนา เราลงเครื่องที่นาริตะ โตเกียว
6 เมษา เราขึ้นเครื่องกลับที่โอซาก้า
ไม่มีโหลดกระเป๋าให้นะคะ เราต้องมาซื้อเพิ่มเอง ตอนนั้นเราซื้อไว้คนละ 25 kg. ค่ะ
ทิ้งช่วงนานมาก กว่าจะมาเริ่มแพลนเริ่มหาข้อมูลว่าจะไปไหนบ้างก็เดือนตุลาแล้ว 555
เราหาข้อมูลจากไหน ?
แหล่งข้อมูลเรามาจาก 2 ที่ค่ะ คือ
อินเตอร์เน็ต อ่านทั้งเวปท่องเที่ยวและกระทู้รีวิวต่างๆ (แต่น่าจะหนักไปทางเวปท่องเที่ยวซะส่วนใหญ่)
หนังสือ Japan All-around เที่ยวญี่ปุ่นจากเหนือจรดใต้ เล่มละ 420 บาท (ตอนแรกกะจะพกติดตัวไปญี่ปุ่น แต่สุดท้ายได้ข้อมูลแล้วก็ทิ้งไว้บ้านดีกว่า หนัก 555)
เพราะไปตั้ง 17 วัน เราเลยกะเที่ยวแบบแวะแต่ละเมืองไปเรื่อยๆค่ะ
และนี่คือแพลนของเรา ซึ่งปรับกันอยู่ประมาณ 2-3 รอบ เราดูเรื่องเวลา สถานที่เที่ยว และการเดินทางเป็นหลัก ตัดเมืองนั้น ใส่เมืองนี้เข้าไป เพื่อ flow การเดินทางที่ smooth กว่า สรุปก็ออกมาได้เป็นแบบนี้ค่ะ
อัดแน่น และเป็นแพลนที่ค่อนข้างละเอียดเลยทีเดียว แต่! พอไปจริงๆ เราทำตามแพลนนี้เป๊ะๆ ไม่ได้ทั้งหมดหรอกค่ะ แต่ก็ใช่ว่าแพลนนี้จะไม่มีประโยชน์เลย ค่อนข้างมีประโยชน์มากทีเดียวค่ะ มันทำให้เรารู้ค่าใช้จ่ายที่เราจะต้องเตรียม รู้ว่าจะต้องไปไหนบ้าง พอรู้ว่าต้องซื้อตั๋วการเดินทางยังไงบ้าง
ตั๋วหลักๆที่เราจะซื้อแน่นอนคือ
ตั๋ว Subway แบบเหมาจ่าย 3 วัน สำหรับใช้ตอนที่เราอยู่ที่โตเกียว ตั๋วนี้ซื้อที่ญี่ปุ่นได้นะคะ เค้าให้สำหรับนักท่องเที่ยวใช้เท่านั้น คนญี่ปุ่นจะไม่มีสิทธิ์ซื้อบัตรนี้ใช้ค่ะ
JR Pass แบบ Ordinary 7 วัน คือใช้เดินทางได้ตั้งแต่โตเกียวยันโอซาก้า คือครอบคลุมรูทที่เราจะไปทั้งหมดค่ะ JR Pass จะไม่มีขายในญี่ปุ่นนะคะ เพราะเค้าทำมาเพื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ ต้องซื้อก่อนไปค่ะ
เราใช้แพลนนี้เป็นตัวหลักค่ะ แล้วก็ flexible เอาตามความเหมาะสมตอนไปเที่ยวจริงๆ
อ่ะ พอได้แพลนหลักเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไป หาที่พัก
เนื่องจากเราไปค่อนข้างหลายวัน ต้องคุมเรื่องค่าที่พักกันซักหน่อย แพลนกันไว้ว่าให้ตกคืนละ 1,000 – 1,500 บาท พยายามไม่ให้เกินนั้น ไม่งั้นงบบานแน่นอนค่ะ
เราเริ่มหาห้องพักในช่วงเดือนพฤศจิกา เริ่มจากหาใน Agoda ก่อนเลย เราเข้าใจว่าช่วงที่เราเริ่มหา โรงแรมที่ญี่ปุ่นอาจจะยังไม่เปิดให้จองมากนัก และด้วยงบประมาณที่เรากำหนดไว้ โรงแรมส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นแบบนอนในแคปซูล เราเลยหาที่พักใน airbnb เป็นอีกทางเลือกนึง หาไปหามาได้ผลดังนี้ค่ะ
โอเค สบายใจละ ยังไงไปก็มีที่นอน
ระหว่างนี้ก็มองๆหาเสื้อผ้าสำหรับ 18 วันไปค่ะ ก่อนไปเรา search หาข้อมูลตามเวป ช่วงที่เราไปอุณหภูมิจะประมาณ 18-19 องศา เสื้อตัวที่เราเตรียมไปที่หนาหน่อยก็จะเป็นเสื้อโค้ท 2 ตัว นอกนั้นก็จะเป็นเสื้อยืด กางเกงขายาว ชุดแซ๊ก กระโปรง เลกกิ้ง บลาๆๆ ตามประสาผู้หญิงอ่ะค่ะ 555 แต่ที่จำเป็นและควรติดไปด้วยคือ Heathtech นะคะ ตอนเราไปปักกิ่งช่วงอุณหภูมิประมาณ 19 – 20 องศา ช่วยได้เยอะเลย
ซื้อ JR Pass ที่ไหน?
ช่วงวันที่ 15 – 19 ก.พ. ที่ผ่านมา ศูนย์สิริกิตติ์มีงานไทยเที่ยวไทยพอดี และเราไปเจอ feed ใน Facebook ว่ามีบูทนึงขายตั๋ว JR Pass แบบ Ordinary promotion ราคา 8,400 บาท โห ถือว่าถูกมาก! เราเลยไปซื้อที่งาน สรุปเราซื้อกับบริษัท Compax World ได้ในราคา 8,500 บาท (8,400 บาทจะขายในกรณีที่จ่ายเป็นเงินสด แต่เราจ่ายเป็นบัตรเครดิตเลยเพิ่มขึ้นมาอีก 100 นึง)
พอซื้อแล้ว เราจะไม่ได้ตั๋วเลยนะคะ เราจะได้เป็น Voucher แล้วต้องเอาไปแลกตั๋วจริงที่ญี่ปุ่น Voucher จะเป็นชื่อเรานะคะ ขายต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องเก็บรักษายิ่งชีพ แล้วอย่าลืมเอาไปค่ะ!
ถ้าไม่มีงานไทยเที่ยวไทย แล้วจะซื้อ JR Pass ได้ที่ไหน?
ซื้อได้ตาม Agent tour ญี่ปุ่นทั่วไปเลยค่ะ HIS, Compax world หรือ search ใน google ก็มีขึ้นมาเยอะแยะ เลือกเอาราคาและที่ที่เราไปซื้อสะดวกได้เลยค่ะ
อย่างสุดท้ายสำหรับเราที่ต้องเตรียมไปคือ Visa!
เดี๋ยวนี้ไปญี่ปุ่นเค้าไม่ต้องทำ Visa กันแล้วจ่ะเธ๊อออ ใช่ค่ะ ไม่ต้องทำ ในกรณีที่ไปไม่เกิน 15 วัน แต่ของเรามันดั๊นนนเกินมาจึ๋งนึง เลยต้องไปเสียตังค์ทำ Visa ตามระเบียบค่ะ
เราไปทำที่ศูนย์ JVAC อยู่ที่ตึกแปซิฟิก เพลส ตรง BTS นานาค่ะ ตอนเราไปถึงคนโล่งมากกกค่ะ เรียกได้ว่ามีแค่เรากับพี่ปุ่น 2 คน แหมะ ก็คนทั่วไปเค้าก็ไม่บ้าไปกันเกิน 15 วันแงะ การทำ Visa ของเรารอบนี้เลยเร็วมากค่ะ ประมาณ 20 นาทีก็เสร็จแล้ว
ตอนเราไป ค่าทำวีซ่า 840 บาท และมีค่าบริการอีก 500 บาท รวมแล้วก็คนละ 1,340 บาท
เข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ http://www.th.emb-japan.go.jp/th/consular/visaindex.htm
พอยื่นเอกสารเสร็จแล้ว ประมาณ 2 วัน จะมีเจ้าหน้าที่โทรมาสอบถามข้อมูลนิดหน่อย และไม่เกิน 1 อาทิตย์เค้าก็โทรมาแจ้งว่า Visa เราผ่านเรียบร้อยแล้ว มารับได้เลย
โอเค ทุกอย่างพร้อม! เตรียมตัวเดินทางกัน ดูสิทุกอย่างจะเหมือนอย่างที่แพลนไว้ป่าว!
Day 1:
วันนี้เราบิน 10:30 น. จองตั๋วข้ามปีจริง แต่เพิ่งจัดกระเป๋าเมื่อคืน ทั้งรีดผ้าสำหรับชุด 18 วัน ยัดของทุกอย่างลงกระเป๋า กว่าจะได้นอน ไม่มีพัฒนาการใดๆไม่ว่าจะไปที่ไหน 555
ไอนอนดึกไม่เท่าไหร่ แต่นอนไม่หลับนี่ดิ อ๋อยยย...ไปหลับบนเครื่องละกันนะ
พี่ปุ่น: “ไม่ลืมอะไรนะไผ่”
ลูกไผ่: “อื้อ ไม่ลืมค่ะ”
เช้านี้เราใช้บริการ Grab Taxi นั่งไปถึงสนามบินดอนเมืองแบบเวลาเหลือๆ เดิน check-in สวยๆ เข้าไปหาข้าวทานในสนามบิน
ลูกไผ่: “เง้อ พี่ปุ่นไผ่มีตังค์ไทยอยู่ 250 อ่ะค่ะ หมดตัวแล้ว”
พี่ปุ่น: เปิดกระเป๋าตังค์มาดู “เออ แฮะ เราก็มีอยู่ 150 กว่าบาท ลืมกด”
นั่นแงะ ทานข้าวในสนามบิน มีตังค์ติดตัวกันอยู่ 400 บาทสำหรับ 2 คน แถมบิน 6 ชั่วโมงแบบไม่ Full Service ต้องซื้อของกินขึ้นไปตุนเองด้วย นี่มันเริ่มรายการกินอยู่อย่างประหยัดตั้งกะยังไม่ถึงญี่ปุ่นเลยเหรอเนี่ย (- -“)
จากที่เดินๆดูแล้ว ร้าน Piri Piri น่าจะเป็นอาหารที่ดูสมเหตุสมผลที่สุดแล้วกับเราในมื้อนี้
และดีใจที่ S&P มีพายไก่ราคาไม่แพงมากให้เราซื้อไปตุนทานบนเครื่องได้
อ้อ! ในภาคปฐมบท เราลืมเล่าเรื่องการเตรียมตัวอีกเรื่องนึงไป Sim โทรศัพท์นั่นเอง เราตัดสินใจซื้อ Sim to fly ของ AIS ไป ราคา 350 สามารถใช้ internet 4G ได้ 8 วัน แต่! เราไป 18 วัน นี่
พี่ปุ่น: “ละถ้าผมไป 18 วันต้องทำยังไงครับ”
พนง.: “ลูกค้าก็ซื้อบัตรเติมเงินเพิ่มอีก 300 บาท แล้วเติมเงินจากที่ไทยไว้เลยครับ แล้วระบบจะต่อวันให้เอง”
พี่ปุ่น: “ต่อให้เองเลยเหรอครับ ไม่ต้องกดอะไรใช่มั้ย”
พนง: “ใช่ครับ ระบบจะต่อเวลาให้เองเลย”
โอเค สรุปเราซื้อ Sim to fly ราคา 350 บาท ใช้ Internet 4G ได้ 8 วัน และซื้อบัตรเติมเงิน 350 บาทเพื่อใช้ Internet 4G เพิ่มอีก 8 วัน รวมเป็น Internet 8G ในเวลา 16 วัน ราคา 700 บาท
พอถึงเวลา broading เราก็มานั่งเปลี่ยนกันอย่างกุลีกุจอ (ไม่เคยมีครั้งไหนที่ไม่ต้องทำอะไรแบบ last minute สินะ (- -“) เอาน่ะอย่างน้อนเราก็ไม่ตกเครื่อง
จากที่นั่งหลับแล้วหลับอีก อ่านโคนันบ้าง กินขนมบ้าง 19:00 น. เราก็มาถึงญี่ปุ่นซักที!!!!! เย้!
ได้กระเป๋าแล้วก็ลาก คร๊ากๆๆๆ มาหาซื้อตั๋ว Subway สำหรับเหมาใช้ 3 วัน และหา counter สำหรับแลกเอาตั๋ว JR Pass Ordinary สำหรับใช้ 7 วันที่นี่ พอถึงหน้า counter
ลูกไผ่: “Voucher ที่ใช้แลก JR Pass อ่ะคะ”
พี่ปุ่น: “เห?”
ลูกไผ่: “อยู่ที่พี่ปุ่นใช่มั้ย ที่เค้าให้เป็น Voucher มาตอนเราซื้อ แล้วเค้าบอกให้เอามาแลกตั๋วจริงที่นี่อ่ะค่ะ”
พี่ปุ่น: “เออ หวะ เฮ้ยยย ไม่ได้อยู่ที่ไผ่ใช่มั้ย”
ลูกไผ่: “ไม่ได้อยู่ที่ไผ่ ก็ตอนซื้อแล้วให้เก็บไว้ที่พี่ปุ่นไง”
ณ จุดนี้ เริ่มมาคุละ ชิท!!!! พวกเราไม่ได้เอา Voucher ที่ใช้แลก JR Pass มา
คือ 8,500 เลยไง ละแพลนการเดินทางที่วางไว้ก็ต้องใช้ JR Pass เป็นหลักอยู่ 7 วันไง ละ JR Pass ไม่มีขายที่ญี่ปุ่นเลยไง!!!
หายนะตั้งแต่ก้าวเท้าลงญี่ปุ่นวันแรก ม๊ายยยยย!!!!
เรารีบ search เบอร์ agent ที่เราซื้อตั๋ว JR Pass จากเค้ามา แล้วกดโทรไป
ลูกไผ่: “ขอโทษนะคะ พอดีซื้อ JR Pass ตอนงานไทยเที่ยวไทยอ่ะค่ะ แล้วลืมเอา Voucher มา มันพอจะทำอะไรได้บ้างมั้ยคะ
Agent: “อ๋อ งั้นรอซักครู่นะคะ”
หายไปซักพัก ทำให้เรามีความหวังว่า เฮ้ย เค้าต้องมีวิธีช่วยแน่ๆ เช่น แสดง passport แทน หรืออะไรก็ได้
Agent: “คือทำอะไรไม่ได้เลยค่ะ”
ลูกไผ่: “คือใช้อย่างอื่นแสดงไม่ได้เลยเหรอคะ”
Agent: “ไม่ได้เลยอ่ะค่ะ”
ลูกไผ่: ช๊อค....”โอเค ขอบคุณค่ะ”
……………………………………………………………..
พี่ปุ่น: “เค้าว่าไงมั่ง”
ลูกไผ่: “ก็ทำอะไรไม่ได้อ่ะค่ะ” หน้าเซ็งอย่างเต็มที่ อาการเหวี่ยงเริ่มมา และความเงียบก็เริ่มเข้ามาแทนที่
พี่ปุ่น: “เราไม่น่าลืมเลย งั้นซื้อ Subway ก่อนละกันนะ”
ลูกไผ่: “อืม”
คือจุดนั้นรู้นะว่าไม่ใช่เวลามาเหวี่ยงแล้วทำหน้าเซ็ง ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่พอเจอเรื่องเซ็งทีไรเรามักจะดึงตัวเองกลับมาทันทีไม่ได้ซักที ต้องปล่อยไปซักพัก ให้เราได้คิดก่อน
เราซื้อตั๋ว Subway สำหรับเหมาใช้ 3 วัน ใน Tokyo และตั๋วรถไฟ Narita Express ไปลงในเมืองราคาคนละ 3,500 เยน
พอซื้อตั๋วแล้วเราเดินตามป้าย ลากกระเป่าอย่างเซ็งมารอรถไฟ นี่เป็นการมาญี่ปุ่นครั้งแรกของเราเลยทำให้เรางงกับสถานีมากว่าต้องยืนรอตรงไหน ที่นี่ไม่ใช่ว่ายืนตรงประตูไหนก็ได้ไปที่เดียวเหมือนกันหมดเหมือนบ้านเรานะ คือขึ้นผิดประตูชีวิตเปลี่ยน เราอาศัยหน้างอเดินตามพี่ปุ่น ผู้เคยมาแล้ว 2 ครั้งก่อนหน้าเรา แต่ก็ยังต้องงมๆกันบ้าง ละเราก็มายืนตรงประตูที่คิดว่า คงประตูนี้ล่ะวะ 555
เราผู้ซึ่งยังคงหน้าเซ็ง และพยายามคุยกับตัวเองในหัวให้คิดบวกๆๆ
พี่ปุ่นผู้ซี่งหน้าหงอยรู้สึกผิดสุดๆที่ตัวเองไม่ได้หยิบ Voucher JR Pass มา เดินมากอดเราแล้วบอกว่า
พี่ปุ่น: “อ๋อยย...เดี๋ยวเราจ่ายค่า JR ให้เองนะ”
คือจุดนั้นสงสารพี่ปุ่นมาก นานๆจะเห็นรู้สึกผิดอะไรอย่างนี้ที
ลูกไผ่: “อืม! ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวมันก็มีทางไปอ่ะเนอะ”
คือสติกลับมาแล้ว บอกแล้วต้องปล่อยเราให้คิดได้เองซักพัก ถ้าคิดได้แล้วจะเปลี่ยนอารมณ์แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย 555 อย่าเสียเวลาไปกับอารมณ์ขุ่นๆมัวๆ ที่ทำไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา กลับมาช่าง