*ฉบับปรับปรุง by kradardkhao
"ผมอยู่กับคุณ ตอนคุณอ่านหนังสือ ช่วงที่คุณกำลังเขียนเรื่องราวใหม่ๆผมอยู่ข้างคุณ ผมเห็นคุณเสียใจน้อยที่สุด ตอนคุณอ่านเนื้อเรื่องบนหนังสือ ผมอยู่กับคุณ ถึงหนังสือของคุณยังไม่มีบนชั้นวางหนังสือของผม”
บทความที่ชวนฉงวนสงสัยนี้ ไม่รู้มีที่มาจากไหน ไม่รู้เขียนขึ้นตอนไหน ไม่รู้ใครเป็นคนเขียนขึ้น และฝากข้อความไว้ให้ใครกัน
หนังสือเปรียบเสมือนเรื่องราวของชีวิต นั่นคือสิ่งที่ผมรู้มา
ใช่ ผมรู้จักเขา ถึงแม้เขาคนนั้นจะไม่มีตัวตนอยู่แล้ว
ผมจะใบ้ให้แล้วกันบทความข้างต้นนี้
ไม่ใช่ ข้อความจากนักเขียนรักโรแมนติกหรือรักดราม่า
ไม่ใช่ ...........................................................................
ไม่ใช่ ...........................................................................
ไม่ใช่ ...........................................................................
ใช่ ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ข้อความนี้ถูกเขียนขึ้นโดยชายคนหนึ่ง ส่งถึงหญิงสาวคนหนึ่งและเพื่อนสนิทของเขาในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา และถูกเขียนขึ้นบนโลกแห่งความเป็นจริงในยุคปัจจุบัน
สำหรับที่มาของข้อความ คงต้องย้อนกลับไปดูอดีตกันสักหน่อย เพื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
ชายคนนี้มีชื่อว่าเหลียง
เขาเป็นคนชอบคึกษาเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
และผมเป็นคนที่ชอบค้นคว้าเรื่องพวกนี้ เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นความสนใจของเรายังเหมือนกันในหลายเรื่อง มีเฉพาะบางเรื่องเท่านั้นที่เราสนใจแตกต่างกัน
ทำให้ ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าเหลียงเป็นเพื่อนสนิทของผม
บางทีผมรู้จักเขาดียิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก เหลียงเป็นคนขยันมากคนหนึ่งที่ใฝ่เรียนรู้ หมั่นศึกษาตลอดเวลา จนดูคล้ายกับคนเป็นสมาธิสั้น
และเขายังเป็นคนมีมุมมองกับทัศนคติที่ไม่เหมือนคนทั่วไปอีกด้วย
เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ผมได้มีโอกาสรับรู้ความคิดของเหลียงต่อเรื่องของกาลเวลา
เหลียงคิดว่า ห้วงเวลาไม่มีอยู่จริง เวลาเป็นแค่ศัพท์เรียกสิ่งๆหนึ่งที่มนุษย์สมมุติขึ้น เพื่อความสะดวกในการสื่อสารและดำเนินชีวิต เนื่องจากเขาเข้าใจว่านาฬิกาก็คือเครื่องกลชนิดหนึ่ง ที่ถูกออกแบบโดยอ้างอิงฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับด้านดาราศาสตร์
มีประโยคหนึ่งที่ผมจำได้แม่น คือ "there is no time , the time is none .”
เหลียงได้ตั้งสมมุติฐานขึ้นมาว่า
ถ้าเอโยนขวดน้ำทิ้งไว้ สักพักบีเดินมาเห็นเข้าจังหวะที่บีเดินมาเห็นขวดน้ำ คือจังหวะที่บีเริ่มรับรู้ว่ามีขวดน้ำถูกทิ้งไว้ และถ้าเกิดเวลาไม่มีอยู่จริงเป็นไปได้ไหมที่จะรวบเหตุการณ์ตอนเอทิ้งขวดน้ำและการเจอขวดน้ำของบีเข้าด้วยกัน โดยไม่มีช่องห่างทางความรู้สึกของห้วงเวลา
หรือสรุปง่ายๆ ก็คือการตัดช่องว่างทางกาลเวลาทิ้งไป เพื่อรวบความรู้สึกของช่วงที่เกิดการกระทำและการรับรู้ของเอกับบีมาชนกัน
โดยความคิดเห็นส่วนตัวของผม สมมุติฐานของเขาไม่สามารถหากลุ่มตัวอย่างทดลองได้ และยังขัดกับหลักทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่ใช้โดยแพร่หลายในปัจจุบัน
ทว่าหากมีการนำมาปฎิบัติในสังคมจริงคงกลายเป็นเหมือน กฏระเบียบที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ปฎิบัติกันทั่วไปในสังคมปัจจุบัน อย่างเช่น การแบ่งเพศ การเหยียดเชื้อชาติ บรรยัดตามกฎหมาย หรือกระทั้งหลักธรรมทางศาสนา
แต่อย่างนั้นคงก็ไม่ต่างจากศาสนาหรือกฎหมายที่ช่วยให้คนไม่กระทำความผิด เนื่องมาจากความกลัวหรือความศรัทธา
ถ้าสมมุติฐานของเขาไปโผล่ในยุคของกาลิเลโอ หรือก่อนหน้านั้นไปอีก และโลกเชื่อเช่นนั้น จึงได้มีการถูกนำมาตีเป็นทฤษฎีจริง สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขนมธรรมเนียมและวัฒนธรรม ภาษาและการสื่อสาร หรือกระทั้งตารางเวลาการเดินทางและการนับวัน/เดือน/ปี ทุกอย่างจะเปลี่ยนรูปแบบไปหมดโดยเฉพาะด้านการรับรู้ทางความรู้สึก
หากในยุคปัจจุบันมีคนเชื่ออย่างนั้นๆจริง..
มนุษย์สามารถที่จะปรับตัวเข้ากับสถาณการณ์หรือวิถีการดำเนินชีวิตในรูปแบบใหม่ได้มากขนาดไหนกัน
๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘
ข้อความ
"ผมอยู่กับคุณ ตอนคุณอ่านหนังสือ ช่วงที่คุณกำลังเขียนเรื่องราวใหม่ๆผมอยู่ข้างคุณ ผมเห็นคุณเสียใจน้อยที่สุด ตอนคุณอ่านเนื้อเรื่องบนหนังสือ ผมอยู่กับคุณ ถึงหนังสือของคุณยังไม่มีบนชั้นวางหนังสือของผม”
บทความที่ชวนฉงวนสงสัยนี้ ไม่รู้มีที่มาจากไหน ไม่รู้เขียนขึ้นตอนไหน ไม่รู้ใครเป็นคนเขียนขึ้น และฝากข้อความไว้ให้ใครกัน
หนังสือเปรียบเสมือนเรื่องราวของชีวิต นั่นคือสิ่งที่ผมรู้มา
ใช่ ผมรู้จักเขา ถึงแม้เขาคนนั้นจะไม่มีตัวตนอยู่แล้ว
ผมจะใบ้ให้แล้วกันบทความข้างต้นนี้
ไม่ใช่ ข้อความจากนักเขียนรักโรแมนติกหรือรักดราม่า
ไม่ใช่ ...........................................................................
ไม่ใช่ ...........................................................................
ไม่ใช่ ...........................................................................
ใช่ ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ข้อความนี้ถูกเขียนขึ้นโดยชายคนหนึ่ง ส่งถึงหญิงสาวคนหนึ่งและเพื่อนสนิทของเขาในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา และถูกเขียนขึ้นบนโลกแห่งความเป็นจริงในยุคปัจจุบัน
สำหรับที่มาของข้อความ คงต้องย้อนกลับไปดูอดีตกันสักหน่อย เพื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
ชายคนนี้มีชื่อว่าเหลียง
เขาเป็นคนชอบคึกษาเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
และผมเป็นคนที่ชอบค้นคว้าเรื่องพวกนี้ เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นความสนใจของเรายังเหมือนกันในหลายเรื่อง มีเฉพาะบางเรื่องเท่านั้นที่เราสนใจแตกต่างกัน
ทำให้ ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าเหลียงเป็นเพื่อนสนิทของผม
บางทีผมรู้จักเขาดียิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก เหลียงเป็นคนขยันมากคนหนึ่งที่ใฝ่เรียนรู้ หมั่นศึกษาตลอดเวลา จนดูคล้ายกับคนเป็นสมาธิสั้น
และเขายังเป็นคนมีมุมมองกับทัศนคติที่ไม่เหมือนคนทั่วไปอีกด้วย
เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ผมได้มีโอกาสรับรู้ความคิดของเหลียงต่อเรื่องของกาลเวลา
เหลียงคิดว่า ห้วงเวลาไม่มีอยู่จริง เวลาเป็นแค่ศัพท์เรียกสิ่งๆหนึ่งที่มนุษย์สมมุติขึ้น เพื่อความสะดวกในการสื่อสารและดำเนินชีวิต เนื่องจากเขาเข้าใจว่านาฬิกาก็คือเครื่องกลชนิดหนึ่ง ที่ถูกออกแบบโดยอ้างอิงฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับด้านดาราศาสตร์
มีประโยคหนึ่งที่ผมจำได้แม่น คือ "there is no time , the time is none .”
เหลียงได้ตั้งสมมุติฐานขึ้นมาว่า
ถ้าเอโยนขวดน้ำทิ้งไว้ สักพักบีเดินมาเห็นเข้าจังหวะที่บีเดินมาเห็นขวดน้ำ คือจังหวะที่บีเริ่มรับรู้ว่ามีขวดน้ำถูกทิ้งไว้ และถ้าเกิดเวลาไม่มีอยู่จริงเป็นไปได้ไหมที่จะรวบเหตุการณ์ตอนเอทิ้งขวดน้ำและการเจอขวดน้ำของบีเข้าด้วยกัน โดยไม่มีช่องห่างทางความรู้สึกของห้วงเวลา
หรือสรุปง่ายๆ ก็คือการตัดช่องว่างทางกาลเวลาทิ้งไป เพื่อรวบความรู้สึกของช่วงที่เกิดการกระทำและการรับรู้ของเอกับบีมาชนกัน
โดยความคิดเห็นส่วนตัวของผม สมมุติฐานของเขาไม่สามารถหากลุ่มตัวอย่างทดลองได้ และยังขัดกับหลักทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่ใช้โดยแพร่หลายในปัจจุบัน
ทว่าหากมีการนำมาปฎิบัติในสังคมจริงคงกลายเป็นเหมือน กฏระเบียบที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ปฎิบัติกันทั่วไปในสังคมปัจจุบัน อย่างเช่น การแบ่งเพศ การเหยียดเชื้อชาติ บรรยัดตามกฎหมาย หรือกระทั้งหลักธรรมทางศาสนา
แต่อย่างนั้นคงก็ไม่ต่างจากศาสนาหรือกฎหมายที่ช่วยให้คนไม่กระทำความผิด เนื่องมาจากความกลัวหรือความศรัทธา
ถ้าสมมุติฐานของเขาไปโผล่ในยุคของกาลิเลโอ หรือก่อนหน้านั้นไปอีก และโลกเชื่อเช่นนั้น จึงได้มีการถูกนำมาตีเป็นทฤษฎีจริง สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขนมธรรมเนียมและวัฒนธรรม ภาษาและการสื่อสาร หรือกระทั้งตารางเวลาการเดินทางและการนับวัน/เดือน/ปี ทุกอย่างจะเปลี่ยนรูปแบบไปหมดโดยเฉพาะด้านการรับรู้ทางความรู้สึก
หากในยุคปัจจุบันมีคนเชื่ออย่างนั้นๆจริง..
มนุษย์สามารถที่จะปรับตัวเข้ากับสถาณการณ์หรือวิถีการดำเนินชีวิตในรูปแบบใหม่ได้มากขนาดไหนกัน
๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘๗๘