บุปผาร่ายรัก ตอนที่ 1 หลุมพราง

กระทู้สนทนา
เรื่องย่อและแนะนำตัวละครเรื่องบุปผาร่ายรัก





1.หลุมพราง




อาชาสีน้ำตาลเข้มพุ่งทะยานไปดุจลูกธนูที่พุ่งออกจากเกาทัณฑ์ รวดเร็วพอที่จะเข้าขวางไม่ให้คนที่อยู่บนอาชาอีกตัวฟาดดาบลงทำร้ายคนอีกผู้หนึ่งได้สำเร็จ ดวงตาคมกริบตวัดมองอย่างยากจะคาดเดาอารมณ์ บังคับบังเหียนม้าด้วยมือเพียงข้างเดียวขณะที่ยกกระบี่จ่อที่ลำคอของอีกฝ่ายที่ล่วงรู้ความพ่ายแพ้ของตนแล้ว

“จะฆ่าก็ฆ่าเลย ข้าไม่ต้องการความปราณีของพวกเจ้า!”  

คิ้วงามขมวดอย่างครุ่นคิดแต่สีหน้ายังเรียบนิ่ง หางตารับรู้การเคลื่อนไหวของคนบนหลังอาชาสีขาวงามสง่า มือใหญ่ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนล่วงรู้ว่าหัวหน้าโจรป่าพ่ายแพ้ในการสู้รบครั้งนี้แล้ว

“เจ้าตายก็มิได้อะไรขึ้นมา สู้รักษาชีวิตอยู่กับลูกเมียไม่ดีกว่าหรือ?”  เป็นน้ำเสียงของ จ้าวจิ่นสือ บุรุษหนุ่มผู้นำทหารมาปราบเหล่าโจรป่าที่ดักซุ่มปล้นเสบียงของทางราชสำนักหลายครั้ง

“พวกเจ้าหมายความเช่นใดกัน”

“ความตายไม่ช่วยอะไร แต่กลับตัวกลับใจเป็นฝ่ายเดียวกับทางการ ชีวิตเจ้ายังจะมีประโยชน์เสียกว่า” คราวนี้เป็นน้ำเสียงของหญิงสาว ทำให้คนฟังตะลึงไป เพราะเจ้าของเสียงถือกระบี่จ่อที่คอของโจรป่า

“เหอะ! ทางการนะเรอะ! ข้าไม่หลงเชื่อพวกเจ้าหรอก! เอาแต่ขูดรีดประชาชน”  หัวหน้าโจรตะโกนใส่อย่างไม่กลัวตาย

ปลายกระบี่ลดลงพร้อมเสียงทอดถอนหายใจ เจ้าของกระบี่มองดูคราบเลือดที่ยังเปรอะเปื้อนอยู่จนหยดลงบนพื้น หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องการให้กระบี่ต้องดื่มโลหิตผู้ใด  หัวหน้าโจรมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายลดกระบี่ที่จ่อคออยู่ลง

“ข้าเข้าใจ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจมืออีกข้างปล่อยบังเหียนแล้วปลดผ้าที่ปิดครึ่งหน้าอยู่ลง “พ่อของข้าก็เคยเป็นเช่นท่าน แต่นับว่าโชคดีที่พ่อของข้าได้พบกับ แม่ทัพจ้าวซื่อก่วง ทำให้รู้ว่าคนในราชสำนักยังมีคนดีให้นับถืออยู่”

“พ่อของเจ้าคือ...”

“ข้าคือเคอหลิ่งหลินบุตรสาวเพียงคนเดียวของขุนโจรแห่งเขาชิงซาน”

นางแนะนำตัวอย่างสุภาพ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อบิดาผู้ล่วงลับของนางออกไปก็ทำให้คนที่อยู่ตรงหน้าอ้าปากค้างก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ บิดาของนางคือเคอตงตงเป็นเจ้าของฉายาขุนโจรแห่งหุบเขาชิงซาน  แม้บิดาของนางจะจากไปหลายปีแล้ว แต่กระนั้นชื่อเสียงของบิดายังคงคุ้มครองนางอยู่เสมอจนถึงวันที่นางอายุยี่สิบปีแล้วก็ตาม

“ถ้าเป็นเช่นนั้น”

“หากพวกเจ้าทั้งหลายกลับตัวกลับใจไม่กระทำการเยี่ยงโจรอีก ข้าเคอหลิ่งหลินขอเอาชีวิตเป็นประกันว่าจะไม่มีผู้ใดทำร้ายพวกเจ้า”

“ได้! ข้าจะลองเชื่อใจพวกเจ้าดู”

“ถ้าเช่นนั้นขอเชิญท่านตามพวกเรากลับไปที่จวนเถิด  เพื่อจะได้พูดคุยเจรจาตกลงให้เข้าใจกัน”

หญิงสาวในชุดทหารสีน้ำเงินเข้มเก็บกระบี่เข้าที่แล้วผายมือเชิญ  จอมโจรยอมทำตามอย่างว่าง่าย  ชายหนุ่มผู้อยู่หลังอาชาสีขาวกระตุกม้าให้เดินเข้ามาใกล้ยื่นมือไปตบไหล่หญิงสาว

“ทำดีมาก”

“อึก!”หญิงสาวกัดฟันข่มความเจ็บที่แล่นขึ้นมา


ชายหนุ่มเห็นสีหน้ากลั้นความเจ็บปวดของอีกฝ่าย

“หลิ่งหลิน?เจ้าเป็นอะไร”  

หญิงสาวฝืนทนแล้วส่ายหน้าไปมา “กลับจวนเถิด ข้าหิวจนจะกินห่านได้ทั้งตัว”

“ดี...ครึ่งเดือนมานี่ลำบากเจ้ามากจริงๆ”  

‘จ้าวจิ่นสือ’ ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาได้รับคำสั่งจากบิดาให้ออกมาปราบกองโจรที่ออกปล้นทรัพย์สินโดยเฉพาะคนจากราชสำนัก ผู้ที่รู้เส้นทางในป่าเขาแทบทุกซอกก้อนหินก็คือหญิงสาวที่นั่งบนหลังม้าชื่อเดิมของนางคือ ‘เคอหลิ่งหลิน’ แต่ตอนนี้นางคือ ‘จ้าวหลิ่งหลิน’ บิดาของเขารับนางเป็นบุตรบุญธรรมหลังจากที่เคอตงตง-พ่อบังเกิดเกล้าของนางตายจากไปเมื่อหกปีก่อน

“เจ้านำหน้ากลับจวนไปก่อนเถอะ ข้าจะคุ้มกันด้านหลังให้เอง” เคอหลิ่งหลินเผลอสั่งบุรุษบนหลังม้า ตามด้วยเสียงถอนหายใจโล่งอกหลังจากทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว

“ได้” จ้าวจิ่นสือพยักหน้ารับ กลั้นยิ้มทำหน้าเคร่งขรึม  อ้อ! นี่เขากลายเป็นน้องชายตัวน้อยในสายตานางไปอีกแล้วละซิ ถึงได้ออกปากสั่งเขาให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้

“ข้าจะให้คนที่จวนเร่งทำอาหารไว้รอเจ้า”

“ฝากดูแลหัวหน้าโจรด้วย ข้าเชื่อว่าเขาไม่มีเจตนาทำร้ายผู้อื่น”

“ข้ารู้แล้ว” จ้าวจิ่นสือเห็นเคอหลิ่งหลินมีท่าทางเหน็ดเหนื่อยจึงกระตุ้นม้าให้เดินนำหน้าไปก่อนเพื่อคุมผู้คน

เคอหลิ่งหลินรั้งม้าให้เดินช้าลงสายตาของนางมองบรรดาโจรกลับใจราวๆ สามสิบคนที่เดินเท้ามุ่งหน้ากลับจวนของ ‘แม่ทัพจ้าวซื่อก่วง’ ที่มอบหมายหน้าที่นี่ให้บุตรชาย แน่ล่ะ นางไม่ได้ถูกส่งให้มาปราบโจรด้วย แต่นางเองที่เสนอตัวมาช่วยจ้าวจิ่นสือเอง  และมันก็เป็นอย่างนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

หญิงสาวในชุดทหารองอาจสีน้ำเงินเข้มที่ตัดเย็บเพื่อให้นางได้ออกสนามรบเคียงบ่าเคียงไหล่จ้าวจิ่นสือ  สำหรับนางแล้วแม้ตัวเองจะอยู่ในฐานะบุตรบุญธรรมของ ‘แม่ทัพจ้าวซื่อก่วง’ และ ‘ฮูหยินอี้ซิ่ว’  และนางข่มเหงจ้าวจิ่นสือทำให้ผู้ชายตัวโตอย่างเขาต้องยอมเรียกนางว่า ‘พี่สาว’

ใบหน้าสวยได้รูป แม้จะไม่สวยเลิศเท่าหญิงสาวในเมืองหลวง แต่นางก็มีเครื่องหน้าที่ชวนมอง ไม่ว่าจะเป็นคิ้วโกงหรือดวงตาพราวระยับและริมฝีปากน่าหลงใหล หากไม่เพราะนางชอบทำหน้าเรียบนิ่งดุจแผ่นน้ำแข็งและมือไม่ได้จับกระบี่อยู่เป็นนิจ  นางก็เป็นสาวงามคนหนึ่งเลยทีเดียว ขณะอยู่บนหลังม้าเคอหลิ่งหลินนึกถึงเรื่องราวเมื่อเกือบสิบปีที่ผ่านมา บิดาของนางเป็นจอมโจรที่ถูกทางการหมายหัวแต่อาจเพราะนางเป็นเด็กจึงไม่ได้เข้าใจความหมายนั้น จนเมื่อบิดาของนางได้พบกับแม่ทัพจ้าวซึ่งถูกส่งออกมาปราบโจรป่าก่อนจะออกไปประจำที่หัวเมืองชายแดน  ช่วงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงในราชสำนักการขึ้นครองราชของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ บิดาของนางได้พบกับแม่ทัพจ้าวที่ช่วยเหลือชาวบ้านด้วยใจจริงจึงยอมติดตามออกร่วมรบ แน่นอนว่ามีนางติดสอยห้อยตามไปด้วย  เคอหลิ่นหลิงใช้ชีวิตในป่าเขาเชี่ยวชาญเรื่องเส้นทางในป่าและการแกะรอย บิดาของนางฝึกวรยุทธให้นาง  มารดาของนางจากไปตั้งแต่นางไม่ถึงขวบและบิดาไม่แต่งภรรยาใหม่  บิดาจึงเลี้ยงดูนางเหมือนเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงเพียงเพราะให้นางดูแลตัวเองได้ยามเมื่อไร้เงาของบิดา

เมื่อชายแดนสงบแม่ทัพจ้าวได้กลับมาอยู่จวนกับครอบครัว นางกับบิดาก็ติดตามกลับมาด้วย ฮูหยินอี้ซิ่วมีใจเมตตาต่อนาง ยิ่งรู้ว่านางเป็นกำพร้าต้องติดตามบิดาไปร่วมรบกับท่านแม่ทัพก็ยิ่งสงสาร ฮูหยินมีบุตรชายเพียงคนเดียวซึ่งเกิดปีเดียวกับนางแต่อ่อนเดือนกว่าชื่อจ้าวจิ่นสือ

“ข้าอยากมีลูกสาวมานานแล้ว เจ้ามาเป็นลูกสาวของข้าได้ไหม หลิ่งหลิน”

หญิงสาวจำได้ว่าตอนนั้นนางเอาแต่สั่นหน้าปฏิเสธจนผมยาวสะบัดไปมา การปฏิเสธครั้งนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง มีเพียงจ้าวจิ่นสือที่แสดงท่าทางไม่พอใจเหมือนเด็กที่กลัวถูกแย่งความรักจากพ่อแม่...ก็แน่ละ บิดาของเขาไปอยู่ชายแดนนานหลายเดือน   เขาแทบไม่ได้เจอบิดาของตนเลย แต่นางกลับได้อยู่ใกล้บิดาของเขาซ้ำบิดายังฝึกเพลงกระบี่ให้อีกด้วยจะไม่เขาริษยาได้อย่างไรกัน

หญิงสาวกลั้นหัวเราะ นางไม่อยากหัวเราะเพราะมันทำให้รู้สึกเจ็บในกาย แต่กระนั้นก็อดคิดถึงวัยเด็กของตนไม่ได้ ในปีถัดมานางอายุสิบสี่เป็นปี่ที่บิดาตายไปเพราะช่วยชีวิตแม่ทัพจ้าวจากการถูกลอบสังหาร นางเหลือตัวคนเดียวแล้วจริงๆ  เพราะออกจากหุบเขาชิงซานมานานจนไม่แน่ใจว่านางเคยมีญาติพี่น้องที่ใดหรือไม่ นางควรจะร้องไห้ให้การจากไปของบิดา ทว่ากลับไม่มีน้ำตารินไหล หลายคืนล่วงผ่านนางยืนมองเงาจันทร์ในสระบัวของจวนแม่ทัพจ้าว ขณะครุ่นคิดถึงหนทางชีวิตของตัวเองอยู่นั้น  ร่างของจ้าวจิ่นสือก็ปรากฏอยู่เบื้องหลังพร้อมเสียงกระแอมไอให้นางรู้ตัวถึงการมาของเขา

“คุณชายจิ่นสือมีอะไรจะให้ข้ารับใช้เหรอเจ้าคะ”

นางถูกบิดาสั่งสอนมาให้วางตัวเสมือนเป็นหญิงรับใช้เมื่ออยู่กับบุตรชายแม่ทัพเจ้า นางเคยเถียงบิดาหลายครั้ง ก็ทำไมนางต้องกลายเป็นหญิงรับใช้ด้วยเล่า?  นางก็อยู่ของนางดีๆ ไยให้ไปรับใช้ผู้อื่นล่ะ แต่ตอนนี้สถานะนางเปลี่ยนไป นางไม่มีที่ไปแถมไม่มีที่ซุกหัวนอนอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าจะอยู่ในจวนแม่ทัพจ้าวในฐานะอะไร นอกจากหญิงรับใช้ที่บิดาเคยบอก

“ข้าจะมาใช้เจ้าทำไมกัน คนรับใช้มีเยอะแยะไป” เขาขมวดคิ้ว แม้จะอายุเท่ากันแต่เขาดูสง่างามสมกับเป็นบุตรของฮูหยินอี้ซิ่วและท่านแม่ทัพ

“อ้าว”   มือน้อยๆของนางยกขึ้นเกาศีรษะอย่างงุนงง

“แล้วเจ้ามายืนคนเดียวที่นี่ทำไมตั้งนาน ดึกแล้วน้ำค้างแรงนัก”

“อ่อ”  นางพยักหน้าอย่างนึกได้แล้วเพิ่งรู้สึกว่าน้ำค้างแตะไหล่จนซึมทะลุผ่านเสื้อเนื้อหยาบที่สวมอยู่ มือเล็กปัดหยดน้ำที่บ่าแล้วบ่นพึมพำ  

“ข้ามีเสื้อผ้าไม่เยอะเสียด้วยซิ ซักบ่อยจะเปื่อยเอาเสียก่อน”

คิ้วเข้มของเขาขมวดยุ่งและฮึดฮัดกับท่าทางไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับโชคชะตาของตนเอง จ้าวจิ่นสือยอมรับว่าสงสารนาง  เขาบังเอิญได้ยินบิดาและมารดาสนทนากันเรื่องเคอหลิ่งหลิน   ชีวิตนางน่าสงสารและถ้าบิดาของนางไม่สละชีวิตของตนเองปกป้องบิดาของเขาแล้ว คงเป็นเขาเองนั้นแหละที่จะเป็นกำพร้า   เช่นนั้นแล้วการที่บิดาของเขาจะรับนางเป็นบุตรบุธธรรมจึงเป็นเรื่องที่สมควรอยู่ ปัญหาอยู่ที่นางไม่อยากอยู่ที่นี่แต่นางเองก็ไม่มีที่จะไป.

.............................................................................


ปล.นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่าไร มิได้อิ่งประวัติศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น



เรื่อง "บุปผาร่ายรัก" มีทั้งหมด 30 กว่าตอน (จบภาค 1 แล้ว) จะนำมาให้อ่านกันที่ห้องนี้หรือหากต้องการอ่านรวดเดียวติดตามได้ที่ลิงก์นี้เลยครับ ให้กำลังใจนักเขียนโดยการสนันสนุนผลงานนักเขียนนะครับ ขอบคุณครับ ยิ้ม


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่