สวัสดี เพื่อนๆ
วันนี้อยากลองรีวิวทริปที่เราได้ไป Scandinavia มาเมื่อปลายพฤศจิกายน 2016 ค่ะเผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆที่อยากจะไปบ้างนะค่ะ รีวิวมือใหม่ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยน๊า
ทริปนี้เราไปเที่ยวแถบ Scandinavia คือ สวีเดน เดนมาร์ค นอร์เวย์ เหตุผลที่เลือกดูแสงเหนือที่นอร์เวย์ เพราะอยากไปเที่ยวแถบนี้สักครั้งในชีวิต และการเดินทางสะดวกเมื่อเทียบกับ Iceland หรือ Greenland ทริปนี้เวลาน้อยมากเราไป 7 วัน รวมวันเดินทางเพราะลาได้เต็มที่เท่านี้จริงๆ ที่จริง 7 วันสำหรับ 3 ประเทศจะค่อนข้างเป็นชะโงกทัวร์ 555 แต่ด้วยเวลาที่จำกัดก็เก็บแต่แลนมาร์คที่สำคัญไปก่อนล่ะกัน และเหตุที่เที่ยวแบบเวลาจำกัดแต่อยากเที่ยวหลายประเทศ เพราะจริงๆแล้วไม่ใช่คนรวยเพียงแต่อยากทำตามฝันของตัวเองซักครั้ง เราไม่รู้จะได้กลับมาที่นี่อีกหรือปล่าว เลยจัดเต็มเดินทางมัน 3 ประเทศเลย ไปชมกันเลย
วันเดินทาง

เมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ออกจาก ต.ม. เข้า duty free โซนที่ชอบที่สุดและต้องแวะมาทุกครั้งที่เดินทางก็โซนเครื่องสำอางและน้ำหอมนี่แหละ รอบนี้รีบไปใช้สิทธิวันเกิดของเราซื้อของให้เพื่อนที่รางน้ำก่อนเดินทางโดยเพื่อนได้เครื่องสำอางราคาต่ำกว่าเคาน์เตอร์ส่วนเราอ่ะหราได้น้ำหอมฟรี 1 ขวดจ้า เลิศที่สุดในสามโลก win-win ทั้ง 2 ฝ่ายอิอิ
น้ำหอมฟรีเจ้าได้แต่ใดมา ตามนี้เลยจ้า>>>>>>>>>
เพื่อนฝากซื้อ Estée Lauder Crescent White Full Cycle Brightening Spot Correcting Essence 100mlราคาปกติ 6,090.00 THB ใช้สิทธิวันเกิด 30% ได้ e-purse คืนในบัตร 1,827 บาท
ใช้สิทธิวันเกิดต่อที่ 2 ซื้อที่สนามบินสุวรรณภูมิ
- Lamer The Intensive Revitalizing Mask 75ml ราคา 5,950 (ราคาปกติ)
ใช้สิทธิวันเกิด 25% ได้ e-purse คืนในบัตรมาอีก 1,487.50 บาท
(รวมตอนนี้ เรามี e-purse อยู่ 1,827+1,487.50 = 3,314.50 บาท)
- Yves Saint Laurent L'Homme Sport EDT 100 MLราคา 3,400 บาท -5% = 3,230
เราใช้ e-purse ที่มีอยู่ 3,314.50 จ่ายค่าน้ำหอมเป็นของขวัญวันเกิดให้พ่อราคาหลังจากลดตามหน้าบัตร 5% = 3,230 บาท
ยังเหลือ e-purse ในบัตรอีก 84.50 ว๊าวววว แค่นี้ก็เลิศมากล่ะค่ะสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา

เข้า duty free ทำภารกิจเสร็จแล้ว เลี้ยวซ้ายไปถึงศาลาทรงไทย ซ้ายมือเป็น lounge king power ตัวเลาจน์อยู่ใกล้ Gate A มีpower บัตรสมาชิกบัตรสมาชิก 1 ใบ ใช้สิทธิ์ผู้ติดตามได้ 2 คน

ขั้นตอนการเข้าใช้บริการ
1.ยื่น passport, boarding pass, และบัตรสมาชิก KING POWER
2.ฝากกระเป๋าเดินทางไว้หน้าcounter
รายการอาหารจะเป็นประเภท ขนมปังปิ้ง, แยม,โกโก้ครันช์, ชากาแฟ น้ำอัดลม, น้ำผลไม้,น้ำสมุนไพร ต่างๆ รวมถึงขนมทานเล่นและอาหารว่าง อย่างคุ้กกี้ และแซนวิช และที่เลอค่าสุด ของที่นี่เลยคือ โจ้กไก่ อร่อยมากนะคะเราเคยเดินทางทั้ง flight เช้าและดึก อาหารจะไม่ค่อยแตกต่างกันมากนะค่ะ เพียงแต่รอบดึกจะไม่มีโจ๊กไก่ค่ะ แต่จะมีข้าวต้มไก่มาแทน ใน lounge ยังมีโซนอินเตอร์เนตไว้ให้ใช้บริการและ มีจอแจ้ง flight การเดินทางโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะตกเครื่องเลยค่ะ
ช่วงที่เราไปคือปลายพ.ย เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการชมแสงเหนือ ตอนกลางคืนในช่วงเวลาดังกล่าวอากาศจะหนาวเย็นมาก แม้แต่ในตอนกลางวันก็ตาม ซึ่งอุณหภูมิจะอยู่ในช่วง 10ถึง 2 องศาเซลเซียส
ดังนั้นการเตรียมเสื้อผ้าเป็นสิ่งสำคัญมาก ลองจอน เสื้อขนเป็ด ถุงมือ ที่ปิดหู ถ้ามีผ้าปิดปากด้วยก็ดีจัดไปให้พร้อม
การเดินทางของเราจะไปลงสวีเดนก่อนเที่ยวเสร็จนั่งเครื่องไปลงเดนมาร์คเที่ยวต่อเสร็จนั่งเรือไปลงออสโลแวะเที่ยวแปปนึงขึ้นเครื่องไปลงทรอมโซดูแสงเหนือเสร็จนั่งเครื่องมาลง Bergen เที่ยวเสร็จนั่งเครื่องมาลงเดนมาร์คสุดท้ายต่อเครื่องจบทริปที่สวีเดน ขอบอกว่าค่อนข้างเหนื่อยกับการเดินทางนิดหน่อยแต่แลกมาด้วยประสบการณ์ที่คุ้มค่าถือว่าคุ้มมากมาย
การขอวีซ่าท่องเที่ยวประเทศสวีเดน
เนื่องจากประเทศสวีเดนเป็นสมาชิกในสหภาพยุโรป (EU) ดังนั้นจึงขอเพียงแค่วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) ก็สามารถใช้ท่องเที่ยวทั้ง 3 ประเทศนี้ได้แล้ว ซึ่งโดยปกติการขอวีซ่าเชงเก้นนี้จะสามารถขอล่วงหน้าได้ประมาณ 3 เดือนก่อนเดินทาง
ทีนี้จะขอวีซ่าจากประเทศอะไรดีล่ะ ซึ่งโดยทั่วไปเค้าให้พิจารณาว่าอยู่ที่ประเทศไหนนานที่สุดให้ขอวีซ่าจากประเทศนั้น แต่หากใช้เวลาอยู่ท่องเที่ยวเท่ากันก็ให้พิจารณาว่าเดินทางเข้าประเทศไหนก่อนก็ให้ขอวีซ่าจากประเทศนั้น ซึ่งเมื่อพิจารณาจากแผนการท่องเที่ยวของเราแล้วพบใช้เวลาอยู่ในแต่ละประเทศเท่ากันเลยที่เดินทางเข้าก่อนคือ สวีเดน
ปัจจุบันการยื่นขอวีซ่าเชงเก้นจากประเทศสวีเดนต้องยื่นผ่านศูนย์ยื่นคำร้องขอวีซ่า (VSF) เท่านั้น ตั้งอยู่ที่อาคารเทรนดี้ ชั้น 8 สุขุมวิท ซอย 13 อยู่ใกล้กับ BTS นานา เมื่อถึงแล้วก็ลงทะเบียนด้านหน้า ปิดโทรศัพท์มือถือให้เรียบร้อย แล้วเข้าไปนั่งรอเรียกตามคิว จากนั้นก็ยื่นเอกสารทั้งหมดที่เราเตรียมมา ตอบคำถามเจ้าหน้าที่นิดหน่อย ก็เรียบร้อยกลับบ้านมารอผลการอนุมัติครับ (ของเรายื่นวันศุกร์ วันอังคารมี SMS ส่งมาให้ไปรับ Passport คืนแล้ว) เร็วมากเร็วจนคิดว่าหรือว่าวีซ่าจะไม่ผ่าน555 วันไปรับรีบเปิด passport ดูมันผ่านแล้วผ่านแล้วจริงๆ ดีใจประหนึ่งถูกหวยรางวัลที่ 1 กันเลยทีเดียว
ได้เวลาเริ่มเดินทางตามความฝันแล้วซินะ...

1. ออโรราคืออะไร
ออโรรา เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มีแสงเรืองบนท้องฟ้าในเวลากลางคืน โดยมักจะขึ้นในบริเวณแถบขั้วโลก โดยบางครั้งจะเรียกว่า แสงเหนือ หรือ แสงใต้ ขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิด
ปรากฏการออโรราเป็นตัวอย่างปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ที่น่าทึ่งที่สุดที่เกิดขึ้นในอวกาศที่ใกล้พื้นโลก มันอาจปรากฏจากสิ่งจางๆ เป็นวงนิ่ง แล้วระเบิดออกมาเป็นสีต่าง ๆ พุ่งกระจายภายในเวลาไม่กี่วินาที บางครั้งจะปรากฏเหมือนมันจะแตะกับพื้น หรือในเวลาอื่นอาจเห็นมันพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ความจริงแล้ว แสงออโรรานั้นเกิดขึ้นที่ความสูงจากพื้นโลก (altitudes) ประมาณ 100 ถึง 300 กิโลเมตร บริเวณที่อยู่บริเวณบรรยากาศชั้นบนที่อยู่ใกล้กับอวกาศ
2.สถานที่และโอกาสการเกิดออโรรา
ในเขตที่มีการปรากฏของออโรรา สามารถสังเกตออโรราได้ทุกคืนที่ฟ้าโล่งในฤดูหนาว โดยมีข้อสังเกตดังนี้
• ออโรราจะปรากฏบ่อยครั้ง ตั้งแต่เวลา 22.00 น ถึง เที่ยงคืน
• ออโรราจะสว่างจ้าในช่วง 27 วันที่ดวงอาทิตย์หันด้านแอคทีฟ (Active Area) มายังโลก
• ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงจนถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ ในเดือนตุลาคม กุมภาพันธ์ และ มีนาคม เป็นเดือนที่เหมาะสำหรับการชมออโรราทางซีกโลกเหนือ
(ข้อมูลจาก wikipedia)
ภารกิจหลักของทริปคือการไปดูแสงเหนือ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกในการมาเที่ยวยุโรปของเรา ดังนั้นจะให้ขึ้นไปรอชมแสงเหนืออย่างเดียวมันไม่คุ้มสำหรับเรา เพราะการจะได้เห็นแสงเหนือสักครั้งเหมือนการลุ้นหวย ออกไปดู 7 วันอาจไม่เจอเลยก็ได้ เราเลยต้องมีทริปเสริมดูความสวยงามด้านอื่นของประเทศแถบ Scandinavia ซะหน่อย เพราะหากโชคร้ายไม่เห็นแสงเหนือก็คุ้มค่าในการได้เห็นความสวยงามทั้งทางธรรมชาติ และสถาปัตยกรรมของประเทศแถบนี้แทน
วันที่ 1

ทริปนี้เราเดินทางด้วย Norwegian Airlines ที่เลือกบินกับสายการบินนี้ก็เพราะปัจจัยหลักเลย คือ บินตรงและราคาถูกที่สุด นั่นเองซึ่งเหมาะมากสำหรับคนงบน้อยอย่างเรา เมื่อมาถึงสตอกโฮล์ม สนามบิน Arlanda เราเข้าเมืองโดยเลือกนั่งรถบัสของ Flygbussarna.sp รถจะออกทุกๆ 15 นาที ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 40 นาทีราคาตั๋วไป-กลับอยู่ที่ประมาณ 198 SEK/คนเราสามารถซื้อตั๋วได้จากเคาน์เตอร์ของบริษัทหรือจากเครื่องขายอัตโนมัติที่สนามบิน ถึงโรงแรมก็เป็นเวลาค่ำแล้ว เพลียจากการเดินทางไม่ได้เที่ยวที่ไหน อาบน้ำนอนตุนแรงเดินเที่ยวพรุ่งนี้ต่อ
วันที่ 2
ตื่นมาแต่เช้าวันนี้มีเวลาถึงเย็นในการเที่ยวเพราะต้องไปขึ้นเครื่องต่อไปโคเปนเฮเก้น การเที่ยวในสต็อกโฮมเราใช้วิธีเดินเท้าเป็นหลัก เราพักที่ Comfort Hotel Stockholm ซึ่งเป็นทำเลที่ดีมากๆ จากตรงนี้สามารถเดินไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆได้ พนักงานโรงแรมก็ให้ความช่วยเหลือในการสอบถามเส้นทางอย่างดี ส่วน Wifi ของโรงแรมสัญญาณดีมาก ใกล้ๆในระยะเดินได้มีมินิมาร์ทอยู่ จากโรงแรมมองไปไกลๆจะเห็นอาคารสีอิฐขนาดใหญ่มีหอสูงตั้งอยู่ริมน้ำ นั่นคือ Stadshuset หรือ City Hall 10 โมงเศษๆ เดินข้ามสะพานประมาณ 10 นาทีก็ถึง Stadshuset แล้ว การเที่ยวชมใน City Hall นั้นจะมีรอบการพาชมตามรอบเวลา แต่ด้วยเวลาอันน้อยเราเลยเดินดูและถ่ายรูปมุมต่างๆของที่นี่




เสร็จแล้วก็เดินข้ามสะพาน Stadshusbron ถึง Gamla Stan เดินตามตรอกแคบๆ ของเมืองเก่าไปจนถึงทางเข้า Kungliga Slottet หรือ The Royal Palace พระราชวังเปิดให้เข้าชมได้ในระหว่าง10.00-16.00 ในเดือนตุลาคม – เมษายน ปิดทุกวันจันทร์ เราเดินชมรอบๆเหมือนเดิม แค่เดินชมรอบๆ ยังเก็บภาพมาได้เยอะมาก พระราชวังเค้าอลังการจริงๆ

เดินเล่นบริเวณ Gamla Stan ช็อปของที่ระลึกไปเรื่อยๆ จนเริ่มหิว เห็นร้านนึงท่าทางโอเค พอเข้าไปก็ไม่ผิดหวัง สั่งอาหารมาทานกัน แบบว่าอาหารเค้าจานใหญ่มากกินคนเดียวไม่หมดเสียดายมากอยากห่อกลับ 555

หลังจากได้พักผ่อนกันเล็กน้อย ก็ออกเดินทางต่อเพื่อที่จะหา Landmark ที่นักท่องเที่ยวชอบไปถ่ายรูปก็คือ Stotorget จตุรัสขนาดเล็กย่านเมืองเก่าและเป็นจตุรัสที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงสตอกโฮล์มหายากมากๆ
ภาพที่ฝัน

ภาพที่เห็น

ถามทางคนก็หลายรอบ จนเริ่มถอดใจ ก็เห็นตึกข้างหน้า เอ่ะ มันก็สีตึกคุ้นๆ ลักษณะเป็นลานกว้างตรงกลางเหมือนกัน แต่ไม่มีเก้าอี้นั่งชิวๆให้ถ่ายรูปสวยๆ แต่มีคอนเทนเนอร์มาตั้งแทน เมื่อพินิจดูแล้ว ใช่ล่ะเราเจอแล้ว Stotorget ที่เกินคาดฝันเพราะไม่เหมือนกับที่คิดคาดว่าคงอยู่ในช่วงที่เค้าจะมีเทศกาลอะไรตรงนั้น (แอบเศร้าเบาๆ)จบการเดินทางในวันที่ 2 เตรียมตัวขึ้นเครื่องไปโคเปนเฮเก้น
วันที่3
ตื่นมาแต่เช้าวันนี้มีเวลาถึงเย็นในการเที่ยวเพราะต้องไปขึ้นเรือต่อไปออสโล การเที่ยวในโคเปนฮาเก้นเราใช้วิธีเดินเท้าเป็นหลัก เราขึ้นรถไฟไปปราสาทเฟดเดอริกบอร์กซึ่งเป็นปราสาทที่ล้อมรอบด้วยทะเลสาบค่ะ ปราสาทแห่งนี้เป็นวังแบบเรอเนสซองส์ที่ใหญ่ที่สุดในสแกนดิเนเวีย
ภายในตัวปราสาทก็จะมีรูปปั้น น้ำพุตกแต่งไว้มากมาย แต่พอดีว่าช่วงที่ไปเมื่อปีที่แล้ว ทางปราสาทเค้าปิดซ่อมแซม ปรับปรุง ก็เลยถ่ายรูปได้มาบางส่วน

มีสวนแบบบาร๊อกข้างหลังปราสาทด้วย ข้อดีของการมาเที่ยวช่วงหน้าหนาว คือนักท่องเที่ยวไม่เยอะ ถ่ายรูปไม่ติดคน ประหนึ่งปราสาทเป็นของเรา 555 นั่งรถไฟกลับมาเพื่อไปตามหารูปปั้น little mermaid ผ่าน Kasstellet เป็นป้อมปราการ ผังเป็นเหมือนรูปดาว 5 แฉก และใหญ่มากก แต่ตอนนี้กลายเป็นสวนสาธารณะไปแล้ว
[CR] Scandinavia : ภารกิจตามล่าแสงเหนือ ล่องเรือชมฟยอร์ด พร้อมโชว์น้ำหอมที่ได้ฟรีจาก king power
วันนี้อยากลองรีวิวทริปที่เราได้ไป Scandinavia มาเมื่อปลายพฤศจิกายน 2016 ค่ะเผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆที่อยากจะไปบ้างนะค่ะ รีวิวมือใหม่ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยน๊า
ทริปนี้เราไปเที่ยวแถบ Scandinavia คือ สวีเดน เดนมาร์ค นอร์เวย์ เหตุผลที่เลือกดูแสงเหนือที่นอร์เวย์ เพราะอยากไปเที่ยวแถบนี้สักครั้งในชีวิต และการเดินทางสะดวกเมื่อเทียบกับ Iceland หรือ Greenland ทริปนี้เวลาน้อยมากเราไป 7 วัน รวมวันเดินทางเพราะลาได้เต็มที่เท่านี้จริงๆ ที่จริง 7 วันสำหรับ 3 ประเทศจะค่อนข้างเป็นชะโงกทัวร์ 555 แต่ด้วยเวลาที่จำกัดก็เก็บแต่แลนมาร์คที่สำคัญไปก่อนล่ะกัน และเหตุที่เที่ยวแบบเวลาจำกัดแต่อยากเที่ยวหลายประเทศ เพราะจริงๆแล้วไม่ใช่คนรวยเพียงแต่อยากทำตามฝันของตัวเองซักครั้ง เราไม่รู้จะได้กลับมาที่นี่อีกหรือปล่าว เลยจัดเต็มเดินทางมัน 3 ประเทศเลย ไปชมกันเลย
วันเดินทาง
น้ำหอมฟรีเจ้าได้แต่ใดมา ตามนี้เลยจ้า>>>>>>>>>
เพื่อนฝากซื้อ Estée Lauder Crescent White Full Cycle Brightening Spot Correcting Essence 100mlราคาปกติ 6,090.00 THB ใช้สิทธิวันเกิด 30% ได้ e-purse คืนในบัตร 1,827 บาท
ใช้สิทธิวันเกิดต่อที่ 2 ซื้อที่สนามบินสุวรรณภูมิ
- Lamer The Intensive Revitalizing Mask 75ml ราคา 5,950 (ราคาปกติ)
ใช้สิทธิวันเกิด 25% ได้ e-purse คืนในบัตรมาอีก 1,487.50 บาท
(รวมตอนนี้ เรามี e-purse อยู่ 1,827+1,487.50 = 3,314.50 บาท)
- Yves Saint Laurent L'Homme Sport EDT 100 MLราคา 3,400 บาท -5% = 3,230
เราใช้ e-purse ที่มีอยู่ 3,314.50 จ่ายค่าน้ำหอมเป็นของขวัญวันเกิดให้พ่อราคาหลังจากลดตามหน้าบัตร 5% = 3,230 บาท
ยังเหลือ e-purse ในบัตรอีก 84.50 ว๊าวววว แค่นี้ก็เลิศมากล่ะค่ะสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา
เข้า duty free ทำภารกิจเสร็จแล้ว เลี้ยวซ้ายไปถึงศาลาทรงไทย ซ้ายมือเป็น lounge king power ตัวเลาจน์อยู่ใกล้ Gate A มีpower บัตรสมาชิกบัตรสมาชิก 1 ใบ ใช้สิทธิ์ผู้ติดตามได้ 2 คน
ขั้นตอนการเข้าใช้บริการ
1.ยื่น passport, boarding pass, และบัตรสมาชิก KING POWER
2.ฝากกระเป๋าเดินทางไว้หน้าcounter
รายการอาหารจะเป็นประเภท ขนมปังปิ้ง, แยม,โกโก้ครันช์, ชากาแฟ น้ำอัดลม, น้ำผลไม้,น้ำสมุนไพร ต่างๆ รวมถึงขนมทานเล่นและอาหารว่าง อย่างคุ้กกี้ และแซนวิช และที่เลอค่าสุด ของที่นี่เลยคือ โจ้กไก่ อร่อยมากนะคะเราเคยเดินทางทั้ง flight เช้าและดึก อาหารจะไม่ค่อยแตกต่างกันมากนะค่ะ เพียงแต่รอบดึกจะไม่มีโจ๊กไก่ค่ะ แต่จะมีข้าวต้มไก่มาแทน ใน lounge ยังมีโซนอินเตอร์เนตไว้ให้ใช้บริการและ มีจอแจ้ง flight การเดินทางโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะตกเครื่องเลยค่ะ
ช่วงที่เราไปคือปลายพ.ย เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการชมแสงเหนือ ตอนกลางคืนในช่วงเวลาดังกล่าวอากาศจะหนาวเย็นมาก แม้แต่ในตอนกลางวันก็ตาม ซึ่งอุณหภูมิจะอยู่ในช่วง 10ถึง 2 องศาเซลเซียส
ดังนั้นการเตรียมเสื้อผ้าเป็นสิ่งสำคัญมาก ลองจอน เสื้อขนเป็ด ถุงมือ ที่ปิดหู ถ้ามีผ้าปิดปากด้วยก็ดีจัดไปให้พร้อม
การเดินทางของเราจะไปลงสวีเดนก่อนเที่ยวเสร็จนั่งเครื่องไปลงเดนมาร์คเที่ยวต่อเสร็จนั่งเรือไปลงออสโลแวะเที่ยวแปปนึงขึ้นเครื่องไปลงทรอมโซดูแสงเหนือเสร็จนั่งเครื่องมาลง Bergen เที่ยวเสร็จนั่งเครื่องมาลงเดนมาร์คสุดท้ายต่อเครื่องจบทริปที่สวีเดน ขอบอกว่าค่อนข้างเหนื่อยกับการเดินทางนิดหน่อยแต่แลกมาด้วยประสบการณ์ที่คุ้มค่าถือว่าคุ้มมากมาย
การขอวีซ่าท่องเที่ยวประเทศสวีเดน
เนื่องจากประเทศสวีเดนเป็นสมาชิกในสหภาพยุโรป (EU) ดังนั้นจึงขอเพียงแค่วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) ก็สามารถใช้ท่องเที่ยวทั้ง 3 ประเทศนี้ได้แล้ว ซึ่งโดยปกติการขอวีซ่าเชงเก้นนี้จะสามารถขอล่วงหน้าได้ประมาณ 3 เดือนก่อนเดินทาง
ทีนี้จะขอวีซ่าจากประเทศอะไรดีล่ะ ซึ่งโดยทั่วไปเค้าให้พิจารณาว่าอยู่ที่ประเทศไหนนานที่สุดให้ขอวีซ่าจากประเทศนั้น แต่หากใช้เวลาอยู่ท่องเที่ยวเท่ากันก็ให้พิจารณาว่าเดินทางเข้าประเทศไหนก่อนก็ให้ขอวีซ่าจากประเทศนั้น ซึ่งเมื่อพิจารณาจากแผนการท่องเที่ยวของเราแล้วพบใช้เวลาอยู่ในแต่ละประเทศเท่ากันเลยที่เดินทางเข้าก่อนคือ สวีเดน
ปัจจุบันการยื่นขอวีซ่าเชงเก้นจากประเทศสวีเดนต้องยื่นผ่านศูนย์ยื่นคำร้องขอวีซ่า (VSF) เท่านั้น ตั้งอยู่ที่อาคารเทรนดี้ ชั้น 8 สุขุมวิท ซอย 13 อยู่ใกล้กับ BTS นานา เมื่อถึงแล้วก็ลงทะเบียนด้านหน้า ปิดโทรศัพท์มือถือให้เรียบร้อย แล้วเข้าไปนั่งรอเรียกตามคิว จากนั้นก็ยื่นเอกสารทั้งหมดที่เราเตรียมมา ตอบคำถามเจ้าหน้าที่นิดหน่อย ก็เรียบร้อยกลับบ้านมารอผลการอนุมัติครับ (ของเรายื่นวันศุกร์ วันอังคารมี SMS ส่งมาให้ไปรับ Passport คืนแล้ว) เร็วมากเร็วจนคิดว่าหรือว่าวีซ่าจะไม่ผ่าน555 วันไปรับรีบเปิด passport ดูมันผ่านแล้วผ่านแล้วจริงๆ ดีใจประหนึ่งถูกหวยรางวัลที่ 1 กันเลยทีเดียว
ได้เวลาเริ่มเดินทางตามความฝันแล้วซินะ...
1. ออโรราคืออะไร
ออโรรา เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มีแสงเรืองบนท้องฟ้าในเวลากลางคืน โดยมักจะขึ้นในบริเวณแถบขั้วโลก โดยบางครั้งจะเรียกว่า แสงเหนือ หรือ แสงใต้ ขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิด
ปรากฏการออโรราเป็นตัวอย่างปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ที่น่าทึ่งที่สุดที่เกิดขึ้นในอวกาศที่ใกล้พื้นโลก มันอาจปรากฏจากสิ่งจางๆ เป็นวงนิ่ง แล้วระเบิดออกมาเป็นสีต่าง ๆ พุ่งกระจายภายในเวลาไม่กี่วินาที บางครั้งจะปรากฏเหมือนมันจะแตะกับพื้น หรือในเวลาอื่นอาจเห็นมันพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ความจริงแล้ว แสงออโรรานั้นเกิดขึ้นที่ความสูงจากพื้นโลก (altitudes) ประมาณ 100 ถึง 300 กิโลเมตร บริเวณที่อยู่บริเวณบรรยากาศชั้นบนที่อยู่ใกล้กับอวกาศ
2.สถานที่และโอกาสการเกิดออโรรา
ในเขตที่มีการปรากฏของออโรรา สามารถสังเกตออโรราได้ทุกคืนที่ฟ้าโล่งในฤดูหนาว โดยมีข้อสังเกตดังนี้
• ออโรราจะปรากฏบ่อยครั้ง ตั้งแต่เวลา 22.00 น ถึง เที่ยงคืน
• ออโรราจะสว่างจ้าในช่วง 27 วันที่ดวงอาทิตย์หันด้านแอคทีฟ (Active Area) มายังโลก
• ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงจนถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ ในเดือนตุลาคม กุมภาพันธ์ และ มีนาคม เป็นเดือนที่เหมาะสำหรับการชมออโรราทางซีกโลกเหนือ
(ข้อมูลจาก wikipedia)
ภารกิจหลักของทริปคือการไปดูแสงเหนือ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกในการมาเที่ยวยุโรปของเรา ดังนั้นจะให้ขึ้นไปรอชมแสงเหนืออย่างเดียวมันไม่คุ้มสำหรับเรา เพราะการจะได้เห็นแสงเหนือสักครั้งเหมือนการลุ้นหวย ออกไปดู 7 วันอาจไม่เจอเลยก็ได้ เราเลยต้องมีทริปเสริมดูความสวยงามด้านอื่นของประเทศแถบ Scandinavia ซะหน่อย เพราะหากโชคร้ายไม่เห็นแสงเหนือก็คุ้มค่าในการได้เห็นความสวยงามทั้งทางธรรมชาติ และสถาปัตยกรรมของประเทศแถบนี้แทน
วันที่ 1
ทริปนี้เราเดินทางด้วย Norwegian Airlines ที่เลือกบินกับสายการบินนี้ก็เพราะปัจจัยหลักเลย คือ บินตรงและราคาถูกที่สุด นั่นเองซึ่งเหมาะมากสำหรับคนงบน้อยอย่างเรา เมื่อมาถึงสตอกโฮล์ม สนามบิน Arlanda เราเข้าเมืองโดยเลือกนั่งรถบัสของ Flygbussarna.sp รถจะออกทุกๆ 15 นาที ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 40 นาทีราคาตั๋วไป-กลับอยู่ที่ประมาณ 198 SEK/คนเราสามารถซื้อตั๋วได้จากเคาน์เตอร์ของบริษัทหรือจากเครื่องขายอัตโนมัติที่สนามบิน ถึงโรงแรมก็เป็นเวลาค่ำแล้ว เพลียจากการเดินทางไม่ได้เที่ยวที่ไหน อาบน้ำนอนตุนแรงเดินเที่ยวพรุ่งนี้ต่อ
วันที่ 2
ตื่นมาแต่เช้าวันนี้มีเวลาถึงเย็นในการเที่ยวเพราะต้องไปขึ้นเครื่องต่อไปโคเปนเฮเก้น การเที่ยวในสต็อกโฮมเราใช้วิธีเดินเท้าเป็นหลัก เราพักที่ Comfort Hotel Stockholm ซึ่งเป็นทำเลที่ดีมากๆ จากตรงนี้สามารถเดินไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆได้ พนักงานโรงแรมก็ให้ความช่วยเหลือในการสอบถามเส้นทางอย่างดี ส่วน Wifi ของโรงแรมสัญญาณดีมาก ใกล้ๆในระยะเดินได้มีมินิมาร์ทอยู่ จากโรงแรมมองไปไกลๆจะเห็นอาคารสีอิฐขนาดใหญ่มีหอสูงตั้งอยู่ริมน้ำ นั่นคือ Stadshuset หรือ City Hall 10 โมงเศษๆ เดินข้ามสะพานประมาณ 10 นาทีก็ถึง Stadshuset แล้ว การเที่ยวชมใน City Hall นั้นจะมีรอบการพาชมตามรอบเวลา แต่ด้วยเวลาอันน้อยเราเลยเดินดูและถ่ายรูปมุมต่างๆของที่นี่
เสร็จแล้วก็เดินข้ามสะพาน Stadshusbron ถึง Gamla Stan เดินตามตรอกแคบๆ ของเมืองเก่าไปจนถึงทางเข้า Kungliga Slottet หรือ The Royal Palace พระราชวังเปิดให้เข้าชมได้ในระหว่าง10.00-16.00 ในเดือนตุลาคม – เมษายน ปิดทุกวันจันทร์ เราเดินชมรอบๆเหมือนเดิม แค่เดินชมรอบๆ ยังเก็บภาพมาได้เยอะมาก พระราชวังเค้าอลังการจริงๆ
เดินเล่นบริเวณ Gamla Stan ช็อปของที่ระลึกไปเรื่อยๆ จนเริ่มหิว เห็นร้านนึงท่าทางโอเค พอเข้าไปก็ไม่ผิดหวัง สั่งอาหารมาทานกัน แบบว่าอาหารเค้าจานใหญ่มากกินคนเดียวไม่หมดเสียดายมากอยากห่อกลับ 555
หลังจากได้พักผ่อนกันเล็กน้อย ก็ออกเดินทางต่อเพื่อที่จะหา Landmark ที่นักท่องเที่ยวชอบไปถ่ายรูปก็คือ Stotorget จตุรัสขนาดเล็กย่านเมืองเก่าและเป็นจตุรัสที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงสตอกโฮล์มหายากมากๆ
ภาพที่ฝัน
ภาพที่เห็น
ถามทางคนก็หลายรอบ จนเริ่มถอดใจ ก็เห็นตึกข้างหน้า เอ่ะ มันก็สีตึกคุ้นๆ ลักษณะเป็นลานกว้างตรงกลางเหมือนกัน แต่ไม่มีเก้าอี้นั่งชิวๆให้ถ่ายรูปสวยๆ แต่มีคอนเทนเนอร์มาตั้งแทน เมื่อพินิจดูแล้ว ใช่ล่ะเราเจอแล้ว Stotorget ที่เกินคาดฝันเพราะไม่เหมือนกับที่คิดคาดว่าคงอยู่ในช่วงที่เค้าจะมีเทศกาลอะไรตรงนั้น (แอบเศร้าเบาๆ)จบการเดินทางในวันที่ 2 เตรียมตัวขึ้นเครื่องไปโคเปนเฮเก้น
วันที่3
ตื่นมาแต่เช้าวันนี้มีเวลาถึงเย็นในการเที่ยวเพราะต้องไปขึ้นเรือต่อไปออสโล การเที่ยวในโคเปนฮาเก้นเราใช้วิธีเดินเท้าเป็นหลัก เราขึ้นรถไฟไปปราสาทเฟดเดอริกบอร์กซึ่งเป็นปราสาทที่ล้อมรอบด้วยทะเลสาบค่ะ ปราสาทแห่งนี้เป็นวังแบบเรอเนสซองส์ที่ใหญ่ที่สุดในสแกนดิเนเวีย
ภายในตัวปราสาทก็จะมีรูปปั้น น้ำพุตกแต่งไว้มากมาย แต่พอดีว่าช่วงที่ไปเมื่อปีที่แล้ว ทางปราสาทเค้าปิดซ่อมแซม ปรับปรุง ก็เลยถ่ายรูปได้มาบางส่วน
มีสวนแบบบาร๊อกข้างหลังปราสาทด้วย ข้อดีของการมาเที่ยวช่วงหน้าหนาว คือนักท่องเที่ยวไม่เยอะ ถ่ายรูปไม่ติดคน ประหนึ่งปราสาทเป็นของเรา 555 นั่งรถไฟกลับมาเพื่อไปตามหารูปปั้น little mermaid ผ่าน Kasstellet เป็นป้อมปราการ ผังเป็นเหมือนรูปดาว 5 แฉก และใหญ่มากก แต่ตอนนี้กลายเป็นสวนสาธารณะไปแล้ว