ผมตัดสินใจจากผู้หญิงที่รักมากที่สุด เพื่อให้เค้าได้เจอสิ่งที่ดีๆ
ก่อนอื่นต้องขออนุญาตเกริ่นนำก่อนว่านี่คือกระทู้แรก กระทู้เดียว และ จะกระทู้สุดท้าย ตั้งใจจะเขียนขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าผมคิดถึงเค้าแต่ไม่กล้าที่จะกลับไปคุยกับเธออีก ผมอึดอัดกับความรู้สึกตอนนี้มาก ไม่กล้าที่จะมีรักใหม่ และยังหวังอยากให้เค้ากลับมาเป็นนางฟ้าที่น่ารักของผม
เรื่องก็มีอยู่ว่าผมคบกับแฟนมาประมาณ6ปีและมีความตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะแต่งงานและใช้ชีวิตกับเธอให้ได้
ผมได้รู้จักกับผู้หญิงคนนี้จากเพื่อนผม ต้องเล่าย้อนไปเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้วที่เพิ่งเลิกกับแฟนคนก่อน ตอนนั้นเฮิร์ทมากครับ แต่ด้วยความที่ชีวิตนี้อกหักมาตลอด (ก็พยามสำรวจตัวเองตลอดว่ามีจุดบกพร่องอะไรบ้าง ก็แก้ไขและปรับปรุงตัวเองเรื่อยมา)
ช่วงที่กำลังอกหักอยู่นั้นก็ได้ คุยกับเพื่อนเพื่อปรับทุกข์ตามปกติ เพื่อนผมคนนี้ก็ช่วยผมโดยการ หาสาวมาให้รีวิวในเฟสบุ๊ค 5 คน (เป็นเพื่อนที่ประเสริฐมากกกก) ดูหน้าตาดีทุกคน แต่ละคนดูคุณหนู ดูไฮโซมาก ไปสะดุด ผู้หญิงคนนึงเข้า รูปถ่ายของเธอนั้น ทำให้ผมรู้สึกว่าเธอเป็นคนร่าเริง สดใส ติดดิน และน่าจะเข้ากับคนง่ายดูมีอารมณ์ขัน โดยอ่านจากการตอบคอมเม้นท์ต่างๆ ผมรู้สึกอยากจะรู้จักคนนี้เสียจริงๆ (จิ้นไปก่อนทั้งนั้น)
ผมจึงรีบรบเร้าให้เพื่อนรีบติดต่อให้ เนื่องจากเป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน ผมจึงได้แอดเฟสบุ๊คไป ครั้งแรกเค้าไม่รับกดรับเพื่อน หลังจากนั้นประมาณ 1-2วัน ผมก็แอดไปใหม่อีกรอบ ปรากฎว่าเค้ารับเป็นเพื่อนแล้ว (เข้าทางหล่ะ)
เราได้เริ่มคุยกัน และคุยกันเรื่อย บ่อยขึ้น บ่อยชึ้น จนได้ตัดสินใจนัดเจอกันที่ห้างสรรพสินค้าดังแห่งหนึ่งแถวสยาม วันนั้นผมตื่นเต้นมากออกรีบออกจากออฟฟิสโดยใส่เสื้อสูทลำลองไปด้วย(หน้าตาไม่ดีขอพร็อพเต็มไว้ก่อน) ก็โทรคุยกัน และได้นัดแนะจุดนัดพบ ระหว่างที่เดินไปนั้นเหมือนมีออร่าสว่างวาปมาเข้าตา ในตอนนั้นผมคิดว่าต้องเป็นคนนี้แน่ๆ เหมือนกับว่าคนทุกคนที่เดินผ่านนั้นเป็นอนูธาตุสีเทา และผมเห็นเธอคนนี้คนเดียวที่เปร่งประกาย ดุจดั่งเพชรแท้ที่ตามหา เราก็คุยกันเรื่อยมาและตัดสินใจเป็นแฟนกันในที่สุด โดยหลอกให้เค้านับเลขหนึ่งถึงห้า พอเค้านับ 1…2…3…4..5 ผมก็ถามเค้าว่า “คบยางงง” เค้าบอกคบแล้ว ผมก็เลยรีบบอกไปว่า “คบแล้วห้ามเลิกนะ” เราก็คุยกันทั่วไปเรื่องอุปนิสัย เค้าเคยบอกว่าเค้านิสัยไม่ดีอย่างไร ผมก็บอกเค้าว่าผมรับได้หมด(เพราะผมคิดว่าผมรับได้จริงๆ) ผมเคยบอกเค้าก่อนเป็นแฟนแล้วว่า ผมจะไปเรียนต่อปริญญาโท ที่ต่างประเทศก่อนที่จะคบกัน เค้าก็ดูไม่ได้ว่าอะไร จนผมคบเค้าได้อยู่ประมาณ 3 เดือนผมจึงไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ระหว่างนั้นก็ยังคบกันอยู่ ผมรายงานความเป็นไปแทบว่าจะทุกเวลา ก็มีบางครั้งที่ไม่ได้ รายงานตัว ก็มักจะโดน งอน โดนโกรธอยู่เป็นประจำ เรามีการเฟสไทม์แทบจะทุกคืนก่อนนอนกัน ฉะนั้นผมจึงไม่มีปัญหาเรื่องระยะทางในความสัมพันธ์ ช่วงนั้นผมมีความสุข และความทุกข์จากการคิดถึงแฟนมาก ผมพยามทำหน้าทีแฟนให้ดีที่สุด โดยคิดถึงความสุขของเค้าเป็นหลัก
ระหว่างปีแรกที่ผมเรียนอยู่นั้นก็ได้กลับมาเพื่อเยี่ยมบ้านและมาหาเค้า 2 รอบ รอบที่สองก็เพื่อหมั้นกัน เพราะว่าเค้าสมัคร Working Holiday Visa ผ่านสามารถไปทำงานที่นู่นได้ 1ปี ที่หมั้นกันก็เพื่อให้ครอบครัวเค้าสบายใจ ตอนไปอยู่ปีแรกผมย้ายบ้านหลายที่เพื่อที่จะหาประสพการณ์เคยอยู่ห้องเล็กๆเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ยอมนอนบนโซฟาเก่าที่ห้องรับแขกเพื่อประหยัดตังเวลาที่เค้ามาอยู่จะได้หาห้องเช่าดีๆ ทำเลดีๆเพื่อให้เค้าอยู่สบาย หาซื้อรถมือสองเพื่อให้เค้าได้สบาย ทุกอย่างผมคิดและวางแผนไว้หมดแล้ว ผมทำงานร้านอาหาร เงินที่ได้มารายอาทิตย์ผมให้เค้าทั้งหมดเพื่อบริหารจัดการตามความเหมาะสม ผมมีความสุขมากที่เค้ามาอยู่กับผมที่นี่ ได้ไปเที่ยวที่ต่างๆด้วยกัน หาของกินอะไรใหม่ๆ ด้วยกัน ได้ตื่นมาเจอหน้าเค้า ได้ดูแลเค้า เหมือนกับว่าเราจะได้ทดลองอยู่ด้วยกันก่อนที่จะแต่งงานกันด้วยเลย
ความรักของเรามันก็ไม่ได้หวานไปซะทีเดียวครับ มีทะเลาะกันบ้างแต่น้อยมากช่วงแรกๆก่อนที่ผมจะไปเรียน ระหว่างตอนที่เรียนนั้นเราได้เริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้น ถ้าปกติคือผมจะขับรถไปส่งแฟนทำงานแม้จะตื่นเช้า หรือกี่โมงผมก็จะไปรับไปส่งแฟน จากที่พักไปในเมือง หรือกลับจากเมือง ถ้างอนเธอก็จะไม่ให้ผมไปส่ง จะขึ้นรถประจำทางไปเอง ผมพยามเดินตามง้อเพื่อที่ว่าผมอยากจะไปส่งเองเพราะความเป็นห่วงและอยากจะง้อ แต่เธอเป็นคนที่ ถ้าโกรธแล้ว เธอจะไม่เห็นหน้าไม่เห็นหัวผมซักนิด เธอไม่แคร์ใครเวลาที่โกรธ ซึ่งผมก็พยามง้อแบบนี้มาตลอด ทะเลาะกันบ่อยขึ้น งอนผมบ่อยขึ้น แต่ทะเลาะกันเรื่องอะไรผมจำไม่ได้และไม่อยากจำ เพราะผมเชื่อว่าสิ่งที่ไม่ดีเราไม่ควรจำมาไว้ว่ากล่าวกันในตอนหลัง ผมได้แต่บอกว่าผมจะปรับปรุงตัวนะ เราทะเลาะอย่างนี้อยู่เป็นประจำ จนเธอตัดสินใจกลับไทยเพราะว่าเธอคงเบื่อผมหรืออย่างไรไม่รู้แต่เธอบอกว่าเธอได้งาน เธออยู่กับผมประมาณ 8 เดือน แต่ใจผมอยากให้อยู่เพราะคนที่เรียนต่างประเทศคนเดียวยังไงก็ต้องการกำลังใจ เพื่อนก็มีนะแต่ต่างคนต่างก็มีงานส่งมีโปรเจ็คของตัวเอง เจอกันก็ตอนมหาลัย ไปดื่มเบียร์กันบ้าง นั่งคุยเรื่อยเปื่อยตามประสาผู้ชายจนบางครั้งก็ลืมที่จะรายงานตัวว่าทำอะไรอยู่ ส่งสติกเกอร์น่ารักๆให้ เค้าก็ให้เหตุผลว่าแค่ส่งสติกเกอร์มานี่มันเสียเวลามากนักใช่ไหม ผมก็เถียงอะไรไม่ได้เพราะเค้าก็พูดถูก แต่ในเวลาที่เค้าไปกับเพื่อนเค้า เค้าก็หายไปไม่มีติดต่อเรามาเลย ผมก็เคยแย๊บๆถามนะ ก็แกล้งหัวเราะกลบเกลื่อน ซึ่งผมก็แอบคิดว่ามันไม่แฟร์เลย แต่เราก็ยังคบกันโดยที่ง๊องแง๊งกันมาตลอด แต่ผมก็รักของผมนะ พอผมเรียนจบทางบ้านอยากให้ผมหางานอยู่ต่อและอยากให้ทำ Permanent Residential แต่ด้วยความคิดถึงแฟนและพ่อแม่มาก จึงตัดสินใจทิ้งโอกาสตรงนั้นและรีบกลับมา ผมจบมาในสายงานที่ประเทศเรายังไม่ค่อยเห็นความสำคัญและไม่รู้คุณค่า ทำให้รายได้ไม่สูงมาก ถ้าเทียบกับแฟนผม เค้าเป็นคนหน้าตาดี หมวยๆ ขาว และฉลาดมีความสามารถ จึงทำให้เธอมีรายได้เหยียบแสนบาทต่อเดือน ซึ่งรายได้ผมเพิ่งจะแตะๆครึ่งนึงของเค้าเลย ขนาดผมจบ ป โท ต่างประเทศ (ตั้งแต่ ม ต้น จน ป ตรี ผมเรียนหลักสูตรอินเตอร์มาตลอด) แต่แฟนผมจบ ป ตรี มหาวิทยาลัยดัง เพราะฉะนั้นระดับการศึกษาไม่ได้ระบุว่าคุณจะได้เงินมากเงินน้อย ขึ้นอยู่กับความสามารถ จังหวะชีวิต และโอกาส
ผมกับเค้าได้เริ่มวางแผนที่จะแต่งงานกัน แต่เนื่องด้วยรายได้ที่น้อยนิดของผม ผมพยามดิ้นรน หางานนอกทำบ้าง หางานที่ใหม่ที่ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าบ้าง ซึ่งผมเปลี่ยนงานมาทำในตำแหน่งที่มีโอกาสก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น และได้เรื่มศึกษาการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ผมและเค้าได้เริ่มเก็บเงินร่วมกันเพื่อที่จะแต่งงานกัน แต่ผมก็มีภาระที่ต้องผ่อนคอนโด ผมชอบที่จะใช้ชีวิตเอง แต่ในทางกลับกัน เค้าชอบที่จะอยู่กับพ่อแม่ ซึ่งผมก็ไม่ติดอะไร ผมชอบทำทุกอย่างด้วยตัวผมเองและเป็นวิธีของผมเอง แม้ว่าจะผิดหรือถูกผมก็ได้เรียนรู้แก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตัวเอง ผมเป็นคนที่เรียนไม่เก่งเวอร์ ไม่ขยันทำงานทั้งวันทั้งคืน แต่ถ้าผมตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ผมจะต้องทำให้สำเร็จจนได้ ผมว่าผมมีความอดทนสูงพอตัวนะ
บางครั้งที่เราไปเที่ยวต่างประเทศต้องใช้การเดินเท้าเยอะ เยอะจนมันทำให้ผมเป็นตุ่มน้ำใสๆใต้ฝ่าเท้าเดินไม่สะดวก และเจ็บมาก เค้าแม้แต่จะสนใจไถ่ถามว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง เหมือนไม่แคร์ผมแม้แต่นิดเดียว และจะเดินนำไปก่อนไกลเลยทีเดียว
เรายังคงทะเลาะกันเรื่อยมาจนเข้าปีที่ 6 เราเคยทะเลาะกัน แม้กระทั่งในห้างที่มีคนเดินพลุกพล่าน เค้ายังเคยโวยวายเสียงดัง และทุบตีผมเพียงเพราะเธอได้อาหารไม่ตรงตามที่สั่งและผมแค่ทักไปด้วยความสงสัยว่า "หรือว่าที่รักสั่งผิดเพราะตอนที่สั่งเหมือนจะชี้รูปอื่นที่ไม่ตรงกับที่ ที่รักสั่งนะ" จึงทำให้เธอหัวเสียและเดินออกจากร้านไปเลย เธอเป็นแบบนี้อยู่หลายครั้งได้ เธอคงรู้สึกว่าทำไมผมถึงต้องว่าเธอ ว่าเป็นต้นเหตุด้วยแทนที่จะว่าบริกรที่มารับจดรายการอาหารไป และมันอาจะเป็นเพราะ ผมพูดแบบนี้ในวันที่มันเป็นวันเกิดของเธอ ผมรับกับการกระทำแบบนี้ไม่ได้จึงตัดสินใจขอเธอเลิกในวันนั้นด้วยอารมณ์ที่โกรธ โมโหและไม่เข้าใจว่าเรื่องแค่นี้ทำไมมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ ผมเป็นคนที่เวลาโกรธจะหายเร็วมากๆ หลังจากที่ผมบอกเลิกเธอสิบนาที ผมได้ใจเย็นลงและรีบเดินตามง้อเธอจนถึงรถเธอแต่เธอก็ไม่สนใจผมแม้แต่นิดเดียว สตาร์ทรถแล้วซิ่งออกไปเลยด้วยความโกรธ (ผมคิดว่า ผมก็สมควรแล้วแหล่ะ) จนกลับถึงบ้านผมก็ง้อ ง้ออยู่เป็นอาทิตย์จนกลับมาคุยกันอีก แต่มันเหมือนมีแผลในใจเล็กๆและผมเริ่มไม่มั่นใจที่จะแต่งงานกับเธอ เพราะด้วยอารมณ์ที่แปรปรวน และขี้หงุดหงิดมาก เหมือนผมเริ่มไม่รู้จักว่าเธอคนนี้คือใคร นางฟ้าคนเดิมของผมไปไหน เธอเป็นคนที่ไม่เติมหวาน ไม่แคร์ความสึกของผม ไม่เข้าใจสิ่งที่ผมต้องการ ไม่ให้เกียรติผมและครอบครัวผม ธุระบ้านเธอมักยิ่งใหญ่กว่าธุระบ้านผมเสมอ ผมรู้สึกว่ารักของเรามันไม่เท่ากันเสียเลย เค้าทำสองมาตรฐานกับผมตลอดเค้าไม่ชอบให้พูดกูกับเค้า บางทีเค้าโมโหเค้ายังใช้กู ผมเคยพูดกูกับเค้าครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวจิงๆในการบอกรัก แค่บอกว่า "กูรัก" เพราะเพียงแค่อยากให้มันออกมาจากใจผมจริงๆ (บางทีผมคิดในใจ ใช้กู แต่ไม่เคยใช้กับเค้าแม้กระทั่งในใจ จนคราวนั้น คราวเดียว) เค้านี่งอนผมเป็นอาทิตย์เลย.....
ผมเคยเรียกร้องแต่ทุกครั้งจบลงด้วยการทะเลาะกัน จนผมเริ่มตัดสินใจก้าวออกจากชีวิตเค้าแม้ว่าผมจะรักเค้ามากแต่ถ้า อนาคตจะอยู่ด้วยกัน ผมมองว่า การเติมความรักให้กัน การสำรวจความต้องการของอีกฝ่าย เอาใจเค้ามาใส่ใจเรามันควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้สถาบันครอบครัวอบอุ่น เพราะผมมองว่าความรักคือพื้นฐานของสถาบันครอบครัว ถ้าแฟนผมเค้าไม่ใส่ใจ ไม่เอาใจใส่ดูและ อย่างที่ผมพยามทำให้เค้าเห็น มันทำให้ผมรู้สึกสับสนและสิ้นหวังกับความรักครั้งนี้มาก ปัจุบันนี้ผมคิดถึงเค้ามาก ผมได้แต่เค้าไปส่องเฟสเค้า เพราะตอนนี้เค้าบล๊อกผมหมดทุกทาง ผมจะดีใจถ้าเค้ามีความสุขโดยไม่มีผม ผมรู้สึกว่าการที่มีผมมันทำให้เค้าโมโหหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจเค้าด้วยนิสัยผมนั้นเป็นคนที่ชอบกวน ระหว่างที่คบกันผมไม่เคยนอกใจเค้าแม้แต่ครั้งเดียวผมพอใจและภูมิใจที่มีเค้าเป็นแฟนเพราะเค้าหน้าตาดี ทำงานเก่ง แต่ติดตรงที่ว่าเค้าตอนนี้เค้าไม่สามารถทำให้ผมรู้สึกมั่นใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเค้าได้ ถ้าผมรำบากหรือไม่สบายผมไม่มั่นใจว่าเค้าจะดูแลผมได้ ผมเคยลองใจให้เค้าช่วยผมดูและทำความสะอาดคอนโด แต่ผมดันโดนเค้าตอกกลับมาว่าใครอยู่ใครทำรกคนนั้นก็ดูแลเองซึ่งผมก็มองว่าโอเคก็แฟร์ดี ผมทำรกทำสกปรกก็ต้องดูแลเอง มันมีอีกหลายๆเหตุการณ์ซึ่งทำให้ผมรู้สึกไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้ว มันจึงทำให้เรายิ่งมีปัญหา ถ้าผมมองว่าผมคือตัวปัญหางั้นผมควรที่จะตัดปัญหาโดยการเดินออกมา ไม่ดีกว่าเหรอครับ ผมบอกได้เลยว่าผมยังรักและคิดถึงเค้ามากอยู่ ผมหวังลึกๆว่าเค้าจะคิดถึงผมมากและจะกลับมาปรับนิสัยให้เข้ากันได้ เป็นนางฟ้าตัวน้อยๆของผมอีกครั้ง แต่ก็เป็นเพียงแค่หวังเพราะผมรู้ว่าทิฐิเค้าสูงแค่ไหน ซึ่งตอนนี้ผมก็อยากจะลองทำแบบเค้าบ้าง คือไม่สนใจ ไม่ไลน์ ไม่ต้องแคร์ สุดท้ายผลที่ได้มาคือเลิกกัน ตอนนี้ไม่คุยกันมาเป็นเดือนแล้วรู้สึกโหวงเหวง ผมคงจะโง่มากที่ทนเป็นแบบนี้มาตั้ง 4 ปีเพราะหวังว่าเค้าจะทำเพื่อเราได้ ช่วง 2 ปีแรกเธอไม่หงุดหงิดฮาร์ดคอร์แบบนี้ นิดๆหน่อยเป็นหงุดหงิด แต่สุดท้ายก็อย่าไปโทษเค้าเลย ผมโทษตัวเองนี่แหล่ะเพราะรักเค้ามากจึงยอมเค้ามากทำให้เค้าเคยตัวมาก สุดท้ายนี้ผมหวังว่าเค้าจะไปเจอกับคนที่ดีๆ ไม่ทำให้เค้าหงุดหงิด ขอให้เค้ามีความสุขมากๆๆๆๆครับ
เปิดรับทุกความเห็นจะด่าว่าอะไรก็ได้ครับ และขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาเข้ามาอ่านครับ
ผมตัดสินใจจากผู้หญิงที่รักมากที่สุด เพื่อให้เค้า.....
ก่อนอื่นต้องขออนุญาตเกริ่นนำก่อนว่านี่คือกระทู้แรก กระทู้เดียว และ จะกระทู้สุดท้าย ตั้งใจจะเขียนขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าผมคิดถึงเค้าแต่ไม่กล้าที่จะกลับไปคุยกับเธออีก ผมอึดอัดกับความรู้สึกตอนนี้มาก ไม่กล้าที่จะมีรักใหม่ และยังหวังอยากให้เค้ากลับมาเป็นนางฟ้าที่น่ารักของผม
เรื่องก็มีอยู่ว่าผมคบกับแฟนมาประมาณ6ปีและมีความตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะแต่งงานและใช้ชีวิตกับเธอให้ได้
ผมได้รู้จักกับผู้หญิงคนนี้จากเพื่อนผม ต้องเล่าย้อนไปเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้วที่เพิ่งเลิกกับแฟนคนก่อน ตอนนั้นเฮิร์ทมากครับ แต่ด้วยความที่ชีวิตนี้อกหักมาตลอด (ก็พยามสำรวจตัวเองตลอดว่ามีจุดบกพร่องอะไรบ้าง ก็แก้ไขและปรับปรุงตัวเองเรื่อยมา)
ช่วงที่กำลังอกหักอยู่นั้นก็ได้ คุยกับเพื่อนเพื่อปรับทุกข์ตามปกติ เพื่อนผมคนนี้ก็ช่วยผมโดยการ หาสาวมาให้รีวิวในเฟสบุ๊ค 5 คน (เป็นเพื่อนที่ประเสริฐมากกกก) ดูหน้าตาดีทุกคน แต่ละคนดูคุณหนู ดูไฮโซมาก ไปสะดุด ผู้หญิงคนนึงเข้า รูปถ่ายของเธอนั้น ทำให้ผมรู้สึกว่าเธอเป็นคนร่าเริง สดใส ติดดิน และน่าจะเข้ากับคนง่ายดูมีอารมณ์ขัน โดยอ่านจากการตอบคอมเม้นท์ต่างๆ ผมรู้สึกอยากจะรู้จักคนนี้เสียจริงๆ (จิ้นไปก่อนทั้งนั้น)
ผมจึงรีบรบเร้าให้เพื่อนรีบติดต่อให้ เนื่องจากเป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน ผมจึงได้แอดเฟสบุ๊คไป ครั้งแรกเค้าไม่รับกดรับเพื่อน หลังจากนั้นประมาณ 1-2วัน ผมก็แอดไปใหม่อีกรอบ ปรากฎว่าเค้ารับเป็นเพื่อนแล้ว (เข้าทางหล่ะ)
เราได้เริ่มคุยกัน และคุยกันเรื่อย บ่อยขึ้น บ่อยชึ้น จนได้ตัดสินใจนัดเจอกันที่ห้างสรรพสินค้าดังแห่งหนึ่งแถวสยาม วันนั้นผมตื่นเต้นมากออกรีบออกจากออฟฟิสโดยใส่เสื้อสูทลำลองไปด้วย(หน้าตาไม่ดีขอพร็อพเต็มไว้ก่อน) ก็โทรคุยกัน และได้นัดแนะจุดนัดพบ ระหว่างที่เดินไปนั้นเหมือนมีออร่าสว่างวาปมาเข้าตา ในตอนนั้นผมคิดว่าต้องเป็นคนนี้แน่ๆ เหมือนกับว่าคนทุกคนที่เดินผ่านนั้นเป็นอนูธาตุสีเทา และผมเห็นเธอคนนี้คนเดียวที่เปร่งประกาย ดุจดั่งเพชรแท้ที่ตามหา เราก็คุยกันเรื่อยมาและตัดสินใจเป็นแฟนกันในที่สุด โดยหลอกให้เค้านับเลขหนึ่งถึงห้า พอเค้านับ 1…2…3…4..5 ผมก็ถามเค้าว่า “คบยางงง” เค้าบอกคบแล้ว ผมก็เลยรีบบอกไปว่า “คบแล้วห้ามเลิกนะ” เราก็คุยกันทั่วไปเรื่องอุปนิสัย เค้าเคยบอกว่าเค้านิสัยไม่ดีอย่างไร ผมก็บอกเค้าว่าผมรับได้หมด(เพราะผมคิดว่าผมรับได้จริงๆ) ผมเคยบอกเค้าก่อนเป็นแฟนแล้วว่า ผมจะไปเรียนต่อปริญญาโท ที่ต่างประเทศก่อนที่จะคบกัน เค้าก็ดูไม่ได้ว่าอะไร จนผมคบเค้าได้อยู่ประมาณ 3 เดือนผมจึงไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ระหว่างนั้นก็ยังคบกันอยู่ ผมรายงานความเป็นไปแทบว่าจะทุกเวลา ก็มีบางครั้งที่ไม่ได้ รายงานตัว ก็มักจะโดน งอน โดนโกรธอยู่เป็นประจำ เรามีการเฟสไทม์แทบจะทุกคืนก่อนนอนกัน ฉะนั้นผมจึงไม่มีปัญหาเรื่องระยะทางในความสัมพันธ์ ช่วงนั้นผมมีความสุข และความทุกข์จากการคิดถึงแฟนมาก ผมพยามทำหน้าทีแฟนให้ดีที่สุด โดยคิดถึงความสุขของเค้าเป็นหลัก
ระหว่างปีแรกที่ผมเรียนอยู่นั้นก็ได้กลับมาเพื่อเยี่ยมบ้านและมาหาเค้า 2 รอบ รอบที่สองก็เพื่อหมั้นกัน เพราะว่าเค้าสมัคร Working Holiday Visa ผ่านสามารถไปทำงานที่นู่นได้ 1ปี ที่หมั้นกันก็เพื่อให้ครอบครัวเค้าสบายใจ ตอนไปอยู่ปีแรกผมย้ายบ้านหลายที่เพื่อที่จะหาประสพการณ์เคยอยู่ห้องเล็กๆเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ยอมนอนบนโซฟาเก่าที่ห้องรับแขกเพื่อประหยัดตังเวลาที่เค้ามาอยู่จะได้หาห้องเช่าดีๆ ทำเลดีๆเพื่อให้เค้าอยู่สบาย หาซื้อรถมือสองเพื่อให้เค้าได้สบาย ทุกอย่างผมคิดและวางแผนไว้หมดแล้ว ผมทำงานร้านอาหาร เงินที่ได้มารายอาทิตย์ผมให้เค้าทั้งหมดเพื่อบริหารจัดการตามความเหมาะสม ผมมีความสุขมากที่เค้ามาอยู่กับผมที่นี่ ได้ไปเที่ยวที่ต่างๆด้วยกัน หาของกินอะไรใหม่ๆ ด้วยกัน ได้ตื่นมาเจอหน้าเค้า ได้ดูแลเค้า เหมือนกับว่าเราจะได้ทดลองอยู่ด้วยกันก่อนที่จะแต่งงานกันด้วยเลย
ความรักของเรามันก็ไม่ได้หวานไปซะทีเดียวครับ มีทะเลาะกันบ้างแต่น้อยมากช่วงแรกๆก่อนที่ผมจะไปเรียน ระหว่างตอนที่เรียนนั้นเราได้เริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้น ถ้าปกติคือผมจะขับรถไปส่งแฟนทำงานแม้จะตื่นเช้า หรือกี่โมงผมก็จะไปรับไปส่งแฟน จากที่พักไปในเมือง หรือกลับจากเมือง ถ้างอนเธอก็จะไม่ให้ผมไปส่ง จะขึ้นรถประจำทางไปเอง ผมพยามเดินตามง้อเพื่อที่ว่าผมอยากจะไปส่งเองเพราะความเป็นห่วงและอยากจะง้อ แต่เธอเป็นคนที่ ถ้าโกรธแล้ว เธอจะไม่เห็นหน้าไม่เห็นหัวผมซักนิด เธอไม่แคร์ใครเวลาที่โกรธ ซึ่งผมก็พยามง้อแบบนี้มาตลอด ทะเลาะกันบ่อยขึ้น งอนผมบ่อยขึ้น แต่ทะเลาะกันเรื่องอะไรผมจำไม่ได้และไม่อยากจำ เพราะผมเชื่อว่าสิ่งที่ไม่ดีเราไม่ควรจำมาไว้ว่ากล่าวกันในตอนหลัง ผมได้แต่บอกว่าผมจะปรับปรุงตัวนะ เราทะเลาะอย่างนี้อยู่เป็นประจำ จนเธอตัดสินใจกลับไทยเพราะว่าเธอคงเบื่อผมหรืออย่างไรไม่รู้แต่เธอบอกว่าเธอได้งาน เธออยู่กับผมประมาณ 8 เดือน แต่ใจผมอยากให้อยู่เพราะคนที่เรียนต่างประเทศคนเดียวยังไงก็ต้องการกำลังใจ เพื่อนก็มีนะแต่ต่างคนต่างก็มีงานส่งมีโปรเจ็คของตัวเอง เจอกันก็ตอนมหาลัย ไปดื่มเบียร์กันบ้าง นั่งคุยเรื่อยเปื่อยตามประสาผู้ชายจนบางครั้งก็ลืมที่จะรายงานตัวว่าทำอะไรอยู่ ส่งสติกเกอร์น่ารักๆให้ เค้าก็ให้เหตุผลว่าแค่ส่งสติกเกอร์มานี่มันเสียเวลามากนักใช่ไหม ผมก็เถียงอะไรไม่ได้เพราะเค้าก็พูดถูก แต่ในเวลาที่เค้าไปกับเพื่อนเค้า เค้าก็หายไปไม่มีติดต่อเรามาเลย ผมก็เคยแย๊บๆถามนะ ก็แกล้งหัวเราะกลบเกลื่อน ซึ่งผมก็แอบคิดว่ามันไม่แฟร์เลย แต่เราก็ยังคบกันโดยที่ง๊องแง๊งกันมาตลอด แต่ผมก็รักของผมนะ พอผมเรียนจบทางบ้านอยากให้ผมหางานอยู่ต่อและอยากให้ทำ Permanent Residential แต่ด้วยความคิดถึงแฟนและพ่อแม่มาก จึงตัดสินใจทิ้งโอกาสตรงนั้นและรีบกลับมา ผมจบมาในสายงานที่ประเทศเรายังไม่ค่อยเห็นความสำคัญและไม่รู้คุณค่า ทำให้รายได้ไม่สูงมาก ถ้าเทียบกับแฟนผม เค้าเป็นคนหน้าตาดี หมวยๆ ขาว และฉลาดมีความสามารถ จึงทำให้เธอมีรายได้เหยียบแสนบาทต่อเดือน ซึ่งรายได้ผมเพิ่งจะแตะๆครึ่งนึงของเค้าเลย ขนาดผมจบ ป โท ต่างประเทศ (ตั้งแต่ ม ต้น จน ป ตรี ผมเรียนหลักสูตรอินเตอร์มาตลอด) แต่แฟนผมจบ ป ตรี มหาวิทยาลัยดัง เพราะฉะนั้นระดับการศึกษาไม่ได้ระบุว่าคุณจะได้เงินมากเงินน้อย ขึ้นอยู่กับความสามารถ จังหวะชีวิต และโอกาส
ผมกับเค้าได้เริ่มวางแผนที่จะแต่งงานกัน แต่เนื่องด้วยรายได้ที่น้อยนิดของผม ผมพยามดิ้นรน หางานนอกทำบ้าง หางานที่ใหม่ที่ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าบ้าง ซึ่งผมเปลี่ยนงานมาทำในตำแหน่งที่มีโอกาสก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น และได้เรื่มศึกษาการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ผมและเค้าได้เริ่มเก็บเงินร่วมกันเพื่อที่จะแต่งงานกัน แต่ผมก็มีภาระที่ต้องผ่อนคอนโด ผมชอบที่จะใช้ชีวิตเอง แต่ในทางกลับกัน เค้าชอบที่จะอยู่กับพ่อแม่ ซึ่งผมก็ไม่ติดอะไร ผมชอบทำทุกอย่างด้วยตัวผมเองและเป็นวิธีของผมเอง แม้ว่าจะผิดหรือถูกผมก็ได้เรียนรู้แก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตัวเอง ผมเป็นคนที่เรียนไม่เก่งเวอร์ ไม่ขยันทำงานทั้งวันทั้งคืน แต่ถ้าผมตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ผมจะต้องทำให้สำเร็จจนได้ ผมว่าผมมีความอดทนสูงพอตัวนะ
บางครั้งที่เราไปเที่ยวต่างประเทศต้องใช้การเดินเท้าเยอะ เยอะจนมันทำให้ผมเป็นตุ่มน้ำใสๆใต้ฝ่าเท้าเดินไม่สะดวก และเจ็บมาก เค้าแม้แต่จะสนใจไถ่ถามว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง เหมือนไม่แคร์ผมแม้แต่นิดเดียว และจะเดินนำไปก่อนไกลเลยทีเดียว
เรายังคงทะเลาะกันเรื่อยมาจนเข้าปีที่ 6 เราเคยทะเลาะกัน แม้กระทั่งในห้างที่มีคนเดินพลุกพล่าน เค้ายังเคยโวยวายเสียงดัง และทุบตีผมเพียงเพราะเธอได้อาหารไม่ตรงตามที่สั่งและผมแค่ทักไปด้วยความสงสัยว่า "หรือว่าที่รักสั่งผิดเพราะตอนที่สั่งเหมือนจะชี้รูปอื่นที่ไม่ตรงกับที่ ที่รักสั่งนะ" จึงทำให้เธอหัวเสียและเดินออกจากร้านไปเลย เธอเป็นแบบนี้อยู่หลายครั้งได้ เธอคงรู้สึกว่าทำไมผมถึงต้องว่าเธอ ว่าเป็นต้นเหตุด้วยแทนที่จะว่าบริกรที่มารับจดรายการอาหารไป และมันอาจะเป็นเพราะ ผมพูดแบบนี้ในวันที่มันเป็นวันเกิดของเธอ ผมรับกับการกระทำแบบนี้ไม่ได้จึงตัดสินใจขอเธอเลิกในวันนั้นด้วยอารมณ์ที่โกรธ โมโหและไม่เข้าใจว่าเรื่องแค่นี้ทำไมมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ ผมเป็นคนที่เวลาโกรธจะหายเร็วมากๆ หลังจากที่ผมบอกเลิกเธอสิบนาที ผมได้ใจเย็นลงและรีบเดินตามง้อเธอจนถึงรถเธอแต่เธอก็ไม่สนใจผมแม้แต่นิดเดียว สตาร์ทรถแล้วซิ่งออกไปเลยด้วยความโกรธ (ผมคิดว่า ผมก็สมควรแล้วแหล่ะ) จนกลับถึงบ้านผมก็ง้อ ง้ออยู่เป็นอาทิตย์จนกลับมาคุยกันอีก แต่มันเหมือนมีแผลในใจเล็กๆและผมเริ่มไม่มั่นใจที่จะแต่งงานกับเธอ เพราะด้วยอารมณ์ที่แปรปรวน และขี้หงุดหงิดมาก เหมือนผมเริ่มไม่รู้จักว่าเธอคนนี้คือใคร นางฟ้าคนเดิมของผมไปไหน เธอเป็นคนที่ไม่เติมหวาน ไม่แคร์ความสึกของผม ไม่เข้าใจสิ่งที่ผมต้องการ ไม่ให้เกียรติผมและครอบครัวผม ธุระบ้านเธอมักยิ่งใหญ่กว่าธุระบ้านผมเสมอ ผมรู้สึกว่ารักของเรามันไม่เท่ากันเสียเลย เค้าทำสองมาตรฐานกับผมตลอดเค้าไม่ชอบให้พูดกูกับเค้า บางทีเค้าโมโหเค้ายังใช้กู ผมเคยพูดกูกับเค้าครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวจิงๆในการบอกรัก แค่บอกว่า "กูรัก" เพราะเพียงแค่อยากให้มันออกมาจากใจผมจริงๆ (บางทีผมคิดในใจ ใช้กู แต่ไม่เคยใช้กับเค้าแม้กระทั่งในใจ จนคราวนั้น คราวเดียว) เค้านี่งอนผมเป็นอาทิตย์เลย.....
ผมเคยเรียกร้องแต่ทุกครั้งจบลงด้วยการทะเลาะกัน จนผมเริ่มตัดสินใจก้าวออกจากชีวิตเค้าแม้ว่าผมจะรักเค้ามากแต่ถ้า อนาคตจะอยู่ด้วยกัน ผมมองว่า การเติมความรักให้กัน การสำรวจความต้องการของอีกฝ่าย เอาใจเค้ามาใส่ใจเรามันควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้สถาบันครอบครัวอบอุ่น เพราะผมมองว่าความรักคือพื้นฐานของสถาบันครอบครัว ถ้าแฟนผมเค้าไม่ใส่ใจ ไม่เอาใจใส่ดูและ อย่างที่ผมพยามทำให้เค้าเห็น มันทำให้ผมรู้สึกสับสนและสิ้นหวังกับความรักครั้งนี้มาก ปัจุบันนี้ผมคิดถึงเค้ามาก ผมได้แต่เค้าไปส่องเฟสเค้า เพราะตอนนี้เค้าบล๊อกผมหมดทุกทาง ผมจะดีใจถ้าเค้ามีความสุขโดยไม่มีผม ผมรู้สึกว่าการที่มีผมมันทำให้เค้าโมโหหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจเค้าด้วยนิสัยผมนั้นเป็นคนที่ชอบกวน ระหว่างที่คบกันผมไม่เคยนอกใจเค้าแม้แต่ครั้งเดียวผมพอใจและภูมิใจที่มีเค้าเป็นแฟนเพราะเค้าหน้าตาดี ทำงานเก่ง แต่ติดตรงที่ว่าเค้าตอนนี้เค้าไม่สามารถทำให้ผมรู้สึกมั่นใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเค้าได้ ถ้าผมรำบากหรือไม่สบายผมไม่มั่นใจว่าเค้าจะดูแลผมได้ ผมเคยลองใจให้เค้าช่วยผมดูและทำความสะอาดคอนโด แต่ผมดันโดนเค้าตอกกลับมาว่าใครอยู่ใครทำรกคนนั้นก็ดูแลเองซึ่งผมก็มองว่าโอเคก็แฟร์ดี ผมทำรกทำสกปรกก็ต้องดูแลเอง มันมีอีกหลายๆเหตุการณ์ซึ่งทำให้ผมรู้สึกไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้ว มันจึงทำให้เรายิ่งมีปัญหา ถ้าผมมองว่าผมคือตัวปัญหางั้นผมควรที่จะตัดปัญหาโดยการเดินออกมา ไม่ดีกว่าเหรอครับ ผมบอกได้เลยว่าผมยังรักและคิดถึงเค้ามากอยู่ ผมหวังลึกๆว่าเค้าจะคิดถึงผมมากและจะกลับมาปรับนิสัยให้เข้ากันได้ เป็นนางฟ้าตัวน้อยๆของผมอีกครั้ง แต่ก็เป็นเพียงแค่หวังเพราะผมรู้ว่าทิฐิเค้าสูงแค่ไหน ซึ่งตอนนี้ผมก็อยากจะลองทำแบบเค้าบ้าง คือไม่สนใจ ไม่ไลน์ ไม่ต้องแคร์ สุดท้ายผลที่ได้มาคือเลิกกัน ตอนนี้ไม่คุยกันมาเป็นเดือนแล้วรู้สึกโหวงเหวง ผมคงจะโง่มากที่ทนเป็นแบบนี้มาตั้ง 4 ปีเพราะหวังว่าเค้าจะทำเพื่อเราได้ ช่วง 2 ปีแรกเธอไม่หงุดหงิดฮาร์ดคอร์แบบนี้ นิดๆหน่อยเป็นหงุดหงิด แต่สุดท้ายก็อย่าไปโทษเค้าเลย ผมโทษตัวเองนี่แหล่ะเพราะรักเค้ามากจึงยอมเค้ามากทำให้เค้าเคยตัวมาก สุดท้ายนี้ผมหวังว่าเค้าจะไปเจอกับคนที่ดีๆ ไม่ทำให้เค้าหงุดหงิด ขอให้เค้ามีความสุขมากๆๆๆๆครับ
เปิดรับทุกความเห็นจะด่าว่าอะไรก็ได้ครับ และขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาเข้ามาอ่านครับ