การฝึกสมาธิของชาวญี่ปุ่น ฝึกกันเป็นปรกติแม้ไม่รู้จักคำสอนเรื่องสมาธิในพระพุทธศาสนา

เมื่อไม่กี่วันนี้ ทางบริษัทได้จัดอบรมสัมนา และเชิงวิทยากร มาบรรยายความรู้เกี่ยวกับการสร้างจิตสำนึกในงานนะครับ อาจารย์ได้ยกตัวอย่าง การสอนหลักปฏิบัติในการทำงานของชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ที่เคยสอนอาจารย์ไว้ สมัยอาจารย์ยังทำงานอยู่ในโรงงานแห่งหนึ่ง

ซึ่งหลักที่ว่านี้ ชาวญี่ปุ่นปฏิบัติกันเป็นเรื่องปรกติ เพราะโรงงานญี่ปุ่นที่ผมทำงานอยู่ ชาวญี่ปุ่นเขาก็ใช้หลักการนี้เหมือนกันในการทำงาน หลักการที่ว่านี้ คือ หลักการฝึกสมาธิ และหลักการนำสมาธิมาใช้ในการทำงาน ซึ่งชาวญี่ปุ่นเขาปฏิบัติกันทั่วประเทศ แม้เขาไม่รู้จักหลักคำสอนในศาสนาพุทธเลย

ในขณะที่คนไทย เช่น ผม รู้จักหลักคำสอนในศาสนาพุทธ เพราะเรียนมาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา แต่การนำหลักธรรมเหล่านี้ มาปฏิบัติ เช่น สมาธิ นี้ ผมยอมรับเลยว่า ตัวเราเองเป็นคนไทย แม้อยู่ใกล้แหล่งความรู้ด้านนี้มากมาย แต่กลับนำหลักการมาปฏิบัติสู้ชาวญี่ปุ่นไม่ได้เลย ทั้งๆที่เขาแทบไม่ได้รู้จักคำสอนเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ในศาสนาหรือความเชื่อของเขาเลยด้วยซ้ำ

อาจารย์ได้เล่าให้ว่า สมัยอาจารย์ยังทำงานในโรงงาน ในตำแหน่งหัวหน้างาน ซึ่งมีหน้าที่ตรวจตราการทำงานของลูกน้องให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ครั้งหนึ่ง ขณะที่อาจารย์กำลังตรวจตรา รายงานงานตรวจสอบเครื่องจักรของลูกน้องคนหนึ่ง ญี่ปุ่นซึ่งเพิ่งย้ายมาแทนคนเดิมที่หมดวาระไป ก็ได้เข้ามาถามอาจารย์ว่า "คุณ กำลังทำอะไรอยู่"

อาจารย์รู้สึกว่า ถามอะไรปัญญาอ่อนแบบนั้น ก็เห็นๆ อยู่แล้วว่า อาจารย์กำลังดูรายงานการตรวจสอบเครื่องจักรของลูกน้องอยู่ ยังจะถามว่า ทำอะไร แต่เขามาในตำแหน่งผู้จัดการ อาจารย์ซึ่งมีตำแหน่งน้อยกว่า ก็ตอบว่า "ผมกำลังตรวจดูรายงานการตรวจสอบเครื่องจักรของลูกน้องอยู่"

ญี่ปุ่นก็ถามอาจารย์ต่ออีกว่า "แล้ว คุณตรวจดูรายงานอย่างไร" อาจารย์ฟังแล้วเริ่มหงุดหงิด อะไรกันฟะ ก็ใช้ตาดูไง มันจะต้องไปมีอะไรมากกว่านั้นหรือไง แต่ก็ไม่กล้าขึ้นเสียงแบบนั้น จึงตอบไปว่า "ผมก็ดูข้อมูลไปทีละตัวนี่ไง ความดันลม 200 บาร์ อุณหภูมิ 30 องศา ฯลฯ

ญี่ปุ่นก็สอนอาจารย์ทันทีว่า "คุณตรวจดูรายงานแบบนั้น มันเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง" คราวนี้ อาจารย์โมโหเลย อะไรกันเฟ้ย คนไทย ใครๆ เขาก็ทำกันแบบนี้ คือ ทำนำรายงานลูกน้องมาดูไปทีละค่า จะบอกวิธีการแบบนี้ไม่ถูกต้องได้อย่างไร ก็เลยถามแบบขึ้นเสียงใส่ญี่ปุ่นไปว่า "แล้ววิธีการที่ถูกต้องที่คุณว่าเนี่ย มันต้องทำแบบไหนอย่างไร ไหนทำให้ดูหน่อย"

ญี่ปุ่นจึงบอกว่า "ได้ ผมจะทำให้คุณดู แต่ก่อนที่จะทำให้คุณดู ขอถามอีกหนึ่งคำถามว่า อะไรคุณตรวจดูรายงานของลูกน้องน่ะ ตาคุณดูรายงานของลูกน้องจริง แต่ใจคุณน่ะ คิดอะไรอยู่" พอเขาถามเช่นนี้ อาจารย์ถึงกับอึ้ง เพราะที่ผ่านมา อาจารย์ตรวจสอบรายงานลูกน้องตามความเคยชิน หลายครั้งหลายหน ที่อาจารย์ตรวจรายงานไป แต่ใจคิดเรื่องงานอื่น เรื่องโน้นเรื่องนี้เต็มไปหมด นี่เองจึงทำให้บางครั้ง สินค้าไม่ได้คุณภาพก็หลุดไปถึงลูกค้า เพราะค่าต่างๆ ในเครื่องจักรหลุดจากมาตรฐาน แต่ไม่มีใครตรวจเจอ ก็เพราะแบบนี้นี่เอง แล้วเสียงญี่ปุ่นก็ดังต่อไปว่า

"เอาหละ นี่คือ วิธีการตรวจสอบรายงานของลูกน้องที่ถูกต้อง คือ มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่รายงาน (สมาธิ นั่นเอง) โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าช่วย คือ ตา หู มือ ปาก" แล้วเขาก็สาธิต ให้ดู โดยใช้ตาดูที่ค่าความดันลม จากนั้นใช้มือชี้ไปที่ความดันลม แล้วใช้ปากพูดตามค่านั้น สามครั้งว่า "ความดันลม 200 บาร์ ความดันลม 200 บาร์ ความดันลม 200 บาร์"

โอ เขาทำงานกันแบบนี้เอง ประเทศเขาถึงเจริญก้าวหน้ากันได้ขนาดนี้ ตัวผมเองคิดต่อยอดว่า นี่คือ หลักธรรมเรื่องสติ และสมาธิ นั่นเอง ชาวญี่ปุ่นเขานำหลักธรรมนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันกันเป็นจริงเป็นจัง ชีวิตพวกเขาเลยเจริญก้าวหน้า ท่ามกลางภูมิประเทศที่โหดร้าย และมีปูมหลังเป็นประเทศที่เคยแพ้สงคราม ในขณะที่คนไทย รวมถึงผมด้วย มีสภาพภูมิประเทศที่สุขสบาย มีแหล่งความรู้สร้างความสุขความเจริญให้กับชีวิต เช่น ศาสนาพุทธ แต่กลับทำหลักธรรมในพระพุทธศาสนา มาใช้ในชีวิตประจำวันได้น้อยมาก

แต่ก็อาจเป็นเพราะเพียบพร้อม จึงละเลย ในขณะที่อีกฝ่ายขาดแคลน จึงทุ่มเท ซึ่งเรื่องนี้ อาจารย์ได้เล่าให้ฟังต่อว่า คนญี่ปุ่นที่มาเมืองไทย บอกว่า ประเทศเขานั้น บอกช้ำจากความเป็นผู้แพ้สงคราม และภูมิประเทศ ภูมิอากาศไม่เอื้ออำนวย สามารถทำนาได้เพียงแค่ปีละครั้ง(ในบางพื้นที่)เท่านั้น ไม่สามารถทำนาได้มากกว่านั้นได้

ดังนั้น พวกเขาจะเตรียมการทุกสรรพให้พร้อมสรรพก่อนจะทำนา ทุกอย่างต้องคิดก่อนทำ จะมีข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ได้เลย เพราะหากผิดพลาดในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไป นั่นหมายความว่า ปีนี้พวกเขาก็จะไม่มีข้าวกิน ต้องรอไปถึงปีหน้าเลยทีเดียว

ในขณะที่เมืองไทย หากซื้อมะละกอมารับประทาน ทานเสร็จเพียงแค่โยนมะละกอไปหลังบ้าน สักพักมันก็ขึ้นเป็นต้นมะละกอ พร้อมให้ได้รับประทานในอนาคตแล้ว แต่ประเทศญี่ปุ่นไม่ใช่แบบนั้น

นี่เอง ทำให้ผมมาย้อนดูตัวเองว่า ที่ผ่านมา ตัวเรา แม้เรียนรู้หลักธรรมในศาสนามากมาย แต่กลับนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเอง ได้เพียงน้อยนิด ในขณะที่เจ้านายจากประเทศเพื่อนบ้าน แม้ไม่รู้จักหลักธรรมในพระพุทธศาสนา แต่ด้วยความกดดันหลายๆประการในประเทศเขา ทำให้เขานำหลักธรรมมาใช้โดยไม่รู้ตัว แล้วสร้างความเจริญให้กับตัวเขาเอง และประเทศเขาได้เต็มที่

นี่เป็นเรื่องดีๆ ที่อยากนำมาแชร์ให้อ่านกันครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่