สวัสดีค่ะ เมื่ออาทิตย์ก่อนได้ไป ฮิโรชิม่า ทุกคนคงเคยอ่านมาบ้างแล้วเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น 1945/08/06
แล้วมีโอกาศไปฟัง โปรแกรม ‘Come and Listen to a Talk by an A-bomb Legacy Successor‘ โดยที่คนมาเล่าประสบการณ์เป็นลูกสาวของคนที่ผ่านช่วงนั้นมา เลยอยากจะมาเล่าต่อให้ฟังค่ะ
เราอาจจะจำรายละเอียดได้ไม่หมดแต่จะเล่าเท่าที่จำได้แล้วกันนะคะ ตรงไหนผิดก็ขออภัยไว้ณที่นี้
บางคำอาจจะเขียนไม่ดีนะคะ ประโยคอาจจะแปลก เพราะว่าพิมพ์ในคอมที่พิมพ์ไทยไม่ได้ ต้องใช้ google translate แล้วเอามาแปะ ยากนิดนึงค่ะ
ภาพผู้เล่านะคะ ชื่อคุณ Kumiko Seino
คุณ Kumiko Seino เล่าว่า หัดเรียนภาษาอังกฤษเพื่อที่จะมาเล่าให้คนอื่น ๆได้รับรู้เรื่องราวของคนที่ผ่านช่วงนั้นมาได้ ภาษาอาจจะไม่ดีแต่จะพยายามที่สุด แต่เท่าที่เราฟังคือดี อาจจะมีหลุดไปบ้างที่เราฟังไม่ออก คือเป็นเพราะเราเอง 5555
โดยที่เรื่องที่เขาจะเล่าแบ่งเป็น2เรื่อง
เรื่องแรกคือคุณครู เรื่องที่สองคือคุณแม่
เรื่องแรกคุณครู หรือ คุณ Keijiro Matsushima
ตอนที่เป็นเด็ก คุณ Matsushima อาศัยอยู่กับพ่อแม่และพี่ชายอีกสองคน ก่อนสงครามจะเกิดเมืองน่าอยู่มาก เด็กเล่นน้ำกันตรึม
พอสงครามเกิดตอนนั้นเด็กไม่ได้เรียนหนังสือกัน(แบบเรียนแบบตำราอะไรพวกนั้น แต่ไปโรงเรียนเพื่อที่จะไปฝึกพวกช่างมากกว่า) เพราะว่าต้องระดมกำลัง (ไม่แน่ใจว่าถึงกับระดมกำลังหรือเปล่าแต่เขาใช้คำว่า mobilize) เพื่อที่จะมาสร้างนู่นสร้างนี่ อาหารก็ไม่เพียงพอต่อทุกคน แต่ทุกคนก็ทำอะไรไม่ได้ต้องทำงานต่อไป ตอนนั้นที่โรงเรียนได้แต่สอนว่าการทำสงครามมันถูกมันดีมันงาม ญี่ปุ่นต้องสู้เพื่อตัวเอง การตายในหน้าที่นี้มีเกียรติสุดแล้ว
วันหนึ่งเขากำลังนั่งอยู่ที่ห้องเรียน โต๊ะของเขาติดหน้าต่าง พอมองออกไปก็เห็นว่ามีเครื่องบินกำลังบินอยู่ เขาก็นึกเกี่ยวกับนักบินว่าน่าจะดีอย่างนู้นอย่างนี้ อยู่ดีดีก็มีแสงวาบขึ้นมา ทุกคนรู้แล้วว่าเป็นระเบิดแน่นอน ทุกคนจึงหลบใต้โต๊ะ เอานิ้วโป้งอุดหู ส่วนนิ้วที่เหลือปิดตา (ทุกคนถูกฝึกมาแบบนี้) แต่ก็ยังได้ยินเสียงวืดในหูอยู่ดี พอสักพักก็ยืนขึ้นมาได้แล้วก็รู้สึกตัวว่าทั้งหัวและตัวเลอะเลือดเต็มไปหมด เพราะเขานั่งติดหน้าต่าง เศษกระจกจึงแตกมาบาดเต็มไปหมด ขณะที่อยู่ในความมึนงงก็รู้สึกได้ว่ามีคนมาสะกิดที่บ่า เป็นเพื่อนของเขาเรียกให้ช่วย เพื่อนคนนั้นโดนบาดที่หัวเป็นแผลใหญ่มาก เขาจึงประคองเพื่อนลงไปที่สนาม ก็ได้เห็นว่าทุกคนช่วยกันเอาผู้บาดเจ็บมาเรียงกันที่สนาม เขาจึงตัดสินใจพาเพื่อนไปโรงพยาบาลที่ใกล้แทน มีหมอไม่กี่คนแถมหมอก็บาดเจ็บอีกด้วย
เขากลับมาที่โรงเรียนอีกที มีแต่คนร้องให้ช่วย บางคนก็ติดอยู่ใต้ซากตึก ก็พยายามจะช่วยดึงออกมา แต่ก็ไม่สำเร็จบ้าง แล้วเขาก็ช่วยทุกคนไม่ได้ ได้แต่รีบเดินผ่านแล้วบอกว่าขอโทษ (อันนี้ไม่แน่ใจว่ากลับมาทำไม แล้วทำไมถึงช่วยไม่ได้) ทุกวันนี้ยังรู้สึกผิดที่ตอนนั้นไม่ได้ช่วย
เขาตัดสินใจนั่งรถไฟออกจากฮิโรชิมาตอนเย็น ตอนที่กำลังเดินทางไปที่สถานีเขาได้เห็นคนมากมายที่บาดเจ็บ โดนไฟไหม้ทั้งตัวเสื้อผ้าขาดไปหมด เดินเอามือมาไว้ข้างหน้า คล้ายซอมบี้ (สงสัยว่าถ้าเดินปรกติคงจะเจ็บ? แบบเนื้อเสียดสี?)
พอไปถึงที่สถานีก็เห็นว่าคนไม่เยอะเลย จึงรู้ว่ามีบางคนที่คงไม่สามารถมาถึงได้ แบบว่าเลิกกลางคัน ตายระหว่างทาง
เขาก็นั่งรถกลับบ้าน ครอบครัวก็ดีใจที่กลับมาถึงเพราะนึกว่าตายแล้วแน่
3วันผ่านไป ก็ท้องเสียถ่ายเป็นเลือดอย่างที่คนหลายคนเป็น จากนั้นก็ดีขึ้น
พอสงครามจบก็ได้มาเป็นครู ไปต่อที่อเมริกา1ปีแล้วกลับมาเป็นครูต่อ หลังจากเกษียณก็ได้เดินทางรอบโลกเพื่อเล่าเรื่องราวของตัวเองให้คนฟัง ต่อมาเป็นมะเร็ง เขาเล่าว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะได้รับการรักษา แต่เขาก็ยังเดินทางเพื่อเล่าเรื่องนี้ต่อไปเพื่อที่จะไม่ให้อะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีก
คุณ Keijiro Matsushima ได้เสียชีวิตเมื่อ พฤศจิกายน 2014 นี่เอง
เรื่องที่สองคือคุณแม่ ของคุณ Kumiko Seino
จะขอแทนว่าเธอนะคะ เพราะพิมพ์ง่ายกว่า
ตอนนั้นเธออายุ15 อาศัยอยู่กับแม่และน้องชาย บ้านของเขาอยู่แถว hypocenter หรือจุดศูนย์กลางระเบิดนั่นเอง
วันนั้นเธอก็จะต้องออกไปทำงานเช่นทุกวัน น้องชายที่อายุ2ขวบ ร้องไห้งองแงปาข้าวของ เธอก็ยังบ่นน้องแล้วคุยกับแม่ว่าน้องทำไมเป็นแบบนี้ หารู้ไม่ว่านั่นจะเป็นการพูดคุยครั้งสุดท้ายของครอบครัว
เธอและเพื่อนไปทำงานนอกฮิโรชิมา(ใกล้ๆนั่นแหละ) ตอนประมาณ8โมง ได้ยินเสียงเตือน และได้ยินเสียงของ B29 (ลำที่มาปล่อยระเบิด) เธอก็บอกเพื่อนว่าเป็น เครื่องบินของฝ่ายศัตรู พวกเขาเลยไปซ่อนที่ที่หลบภัยแถวนั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคุยกันอยู่เลยว่าระเบิดไปลงที่ไหน ซักพักก็มีฝนสีดำ (Black rain เป็นผลมาจากระเบิด) ตกลงมา
ต่อมาก็ได้เห็นว่าเป็นฮิโรชิมานี้เองที่โดนระเบิด คนจากฮิโรชิมาเริ่มทยอยออกมา เธอจึงไปช่วยให้ first aid ที่โรงเรียนแถวนั้น ตอนนั้นต้องใช้แตงกวาแทนเพราะว่ายามีไม่พอสำหรับทุกคน
แล้วเธอก็ไปช่วยวิดน้ำจากบ่อน้ำ ตอนนั้นมีคนมากมายมาขอน้ำแต่เธอไม่สามารถให้น้ำกับคนที่โดนไฟไหม้ได้ (เขาเชื่อกันว่าถ้าให้กินน้ำแล้วจะตาย แล้วคนที่โดนไหม้ ปรกติแล้วจะหิวน้ำมาก) มีคนหนึ่งบอกว่าไม่กินหรอกจะล้างหน้าเท่านั้น เธอจึงให้ไป แต่เขาก็กินมันจนหมดแล้วได้เสียชีวิตในวันต่อมา เธอคิดเสมอว่ามันเป็นความผิดของเธอที่ให้ไป (แต่ไม่จริงนะคะ ยังไงก็ต้องตายอยู่แล้ว)
เธอได้ออกตามหาครอบครัวตามสถานที่ต่างๆ แต่ก็ไม่เจอ เธอไม่สามารถเข้าไปฮิโรชิมาได้วันนั้น มองไปก็เห็นว่าเป็นสีแดงไปหมด
เช้าวันต่อมาเธอจึงเริ่มเข้าเมือง ตลอดทางเธอได้เห็นคนบาดเจ็บล้มตายมากมายเสื้อก็ขาดๆ เดินเป็นซอมบี้ ได้เห็นรถบัสที่คนขับและผู้โดยสารตายหมด ถนนก็ไม่มีเหลืออีกแล้ว เธอทำได้แค่ตามรถบรรทุกไป ในขณะที่เดินอยู่ดีๆก็มีคนพูดขึ้นมาว่า hey girl ขอน้ำหน่อย เธอตกใจมากเพราะไม่คิดว่าจะมีคนที่มีชีวิตเหลือรอด เธอได้แต่ตกใจกรี๊ดๆ แล้ววิ่งหนี เซอไพรส์ที่เห็นว่ายังมีคนมีชีวิตรอด
เดินต่อมาได้เห็นว่ามีทหารอเมริกัน12คนซึ่งยังไม่ตาย แต่มีแต่คนโยนอิฐใส่ ได้ความว่าทหารพวกนั้นเป็น POW (prisoner of war) คงโดนเกลียดมาก
เธอได้หยิบเอาถ่านมาเขียนว่าเธอปลอดภัยดีเผื่อคนที่รู้จักเธอมาเห็นจะได้รู้ว่าเธอยังมีชีวิต เธอเดินต่อไปจนเห็นถังน้ำจึงได้รู้ว่าใกล้บ้านแล้ว
ได้เห็นศพมากมายก็ได้แต่สงสัยว่าหนึ่งในศพนั้นเป็นแม่ของเธอหรือเปล่า เธอร้องไห้ตลอดทางที่เดินผ่าน พอผ่าน A-bomb building ใกล้ๆ บ้านของเธอ สักพักได้เห็นว่ามีศพของผู้หญิงคนหนึ่งคว่ำหน้าอยู่ ข้างกายมีศพเด็ก2ศพขนาบข้าง เธอสงสัยว่านั่นเป็นแม่กับน้องของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้พลิกศพมาดูว่าใช่หรือเปล่า เธอเสียใจมาถึงทุกวันนี้ว่าทำไมวันนั้นไม่ดู แต่ถึงจะพลิกกลับมาก็คงไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ดี เธอคิดว่าคงใช่ครอบครัวของเธอนั่นแหละ
แนบรูปตึกนะคะ
วันต่อมาเธอได้ไปบ้านญาติเพื่อที่จะดูว่ามีใครเหลืออยู่ ได้เจอกับแว่นตาของแม่ที่ละลายคล้ายลูกกวาด(มันร้อนมากเนอะ) ก็เก็บเอาไว้
จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถหาครอบครัวของเธอได้...
ก็เลยต้องไปรวมหลุมศพแบบนี้
จนสงครามจบเธอได้หางานทำ โชคดีมากที่ได้งาน บ้านของลุงได้ให้เธอไปอยู่ด้วยแต่ก็ยังกลัวผลจากรังสีก็ไม่ได้การต้อนรับที่ดีเท่าไหร่ เธอจึงย้ายออกก็ได้รับการช่วยเหลือจากคนรอบข้างอย่างดี แล้วก็ยังมีชีวิตมาจบถึงทุกวันนี้ค่ะ
เธอจะมีการเจอกับเพื่อนๆทุกๆปี ซึ่งปีที่ผ่านมาเพื่อนก็เริ่มทยอยตายกันไปเยอะแล้ว ซึ่งเพื่อนทุกๆคนเป็นมะเร็งรวมถึงเธอด้วยค่ะ แต่หายแล้ว
จบแล้วววววววววววววว
ขอจบด้วยตึกยามค่ำคืน
เรื่องเล่าของคนที่ผ่านประสบการณ์ Atomic Bomb ใน Hiroshima
แล้วมีโอกาศไปฟัง โปรแกรม ‘Come and Listen to a Talk by an A-bomb Legacy Successor‘ โดยที่คนมาเล่าประสบการณ์เป็นลูกสาวของคนที่ผ่านช่วงนั้นมา เลยอยากจะมาเล่าต่อให้ฟังค่ะ
เราอาจจะจำรายละเอียดได้ไม่หมดแต่จะเล่าเท่าที่จำได้แล้วกันนะคะ ตรงไหนผิดก็ขออภัยไว้ณที่นี้
บางคำอาจจะเขียนไม่ดีนะคะ ประโยคอาจจะแปลก เพราะว่าพิมพ์ในคอมที่พิมพ์ไทยไม่ได้ ต้องใช้ google translate แล้วเอามาแปะ ยากนิดนึงค่ะ
คุณ Kumiko Seino เล่าว่า หัดเรียนภาษาอังกฤษเพื่อที่จะมาเล่าให้คนอื่น ๆได้รับรู้เรื่องราวของคนที่ผ่านช่วงนั้นมาได้ ภาษาอาจจะไม่ดีแต่จะพยายามที่สุด แต่เท่าที่เราฟังคือดี อาจจะมีหลุดไปบ้างที่เราฟังไม่ออก คือเป็นเพราะเราเอง 5555
โดยที่เรื่องที่เขาจะเล่าแบ่งเป็น2เรื่อง
เรื่องแรกคือคุณครู เรื่องที่สองคือคุณแม่
เรื่องแรกคุณครู หรือ คุณ Keijiro Matsushima
ตอนที่เป็นเด็ก คุณ Matsushima อาศัยอยู่กับพ่อแม่และพี่ชายอีกสองคน ก่อนสงครามจะเกิดเมืองน่าอยู่มาก เด็กเล่นน้ำกันตรึม
พอสงครามเกิดตอนนั้นเด็กไม่ได้เรียนหนังสือกัน(แบบเรียนแบบตำราอะไรพวกนั้น แต่ไปโรงเรียนเพื่อที่จะไปฝึกพวกช่างมากกว่า) เพราะว่าต้องระดมกำลัง (ไม่แน่ใจว่าถึงกับระดมกำลังหรือเปล่าแต่เขาใช้คำว่า mobilize) เพื่อที่จะมาสร้างนู่นสร้างนี่ อาหารก็ไม่เพียงพอต่อทุกคน แต่ทุกคนก็ทำอะไรไม่ได้ต้องทำงานต่อไป ตอนนั้นที่โรงเรียนได้แต่สอนว่าการทำสงครามมันถูกมันดีมันงาม ญี่ปุ่นต้องสู้เพื่อตัวเอง การตายในหน้าที่นี้มีเกียรติสุดแล้ว
วันหนึ่งเขากำลังนั่งอยู่ที่ห้องเรียน โต๊ะของเขาติดหน้าต่าง พอมองออกไปก็เห็นว่ามีเครื่องบินกำลังบินอยู่ เขาก็นึกเกี่ยวกับนักบินว่าน่าจะดีอย่างนู้นอย่างนี้ อยู่ดีดีก็มีแสงวาบขึ้นมา ทุกคนรู้แล้วว่าเป็นระเบิดแน่นอน ทุกคนจึงหลบใต้โต๊ะ เอานิ้วโป้งอุดหู ส่วนนิ้วที่เหลือปิดตา (ทุกคนถูกฝึกมาแบบนี้) แต่ก็ยังได้ยินเสียงวืดในหูอยู่ดี พอสักพักก็ยืนขึ้นมาได้แล้วก็รู้สึกตัวว่าทั้งหัวและตัวเลอะเลือดเต็มไปหมด เพราะเขานั่งติดหน้าต่าง เศษกระจกจึงแตกมาบาดเต็มไปหมด ขณะที่อยู่ในความมึนงงก็รู้สึกได้ว่ามีคนมาสะกิดที่บ่า เป็นเพื่อนของเขาเรียกให้ช่วย เพื่อนคนนั้นโดนบาดที่หัวเป็นแผลใหญ่มาก เขาจึงประคองเพื่อนลงไปที่สนาม ก็ได้เห็นว่าทุกคนช่วยกันเอาผู้บาดเจ็บมาเรียงกันที่สนาม เขาจึงตัดสินใจพาเพื่อนไปโรงพยาบาลที่ใกล้แทน มีหมอไม่กี่คนแถมหมอก็บาดเจ็บอีกด้วย
เขากลับมาที่โรงเรียนอีกที มีแต่คนร้องให้ช่วย บางคนก็ติดอยู่ใต้ซากตึก ก็พยายามจะช่วยดึงออกมา แต่ก็ไม่สำเร็จบ้าง แล้วเขาก็ช่วยทุกคนไม่ได้ ได้แต่รีบเดินผ่านแล้วบอกว่าขอโทษ (อันนี้ไม่แน่ใจว่ากลับมาทำไม แล้วทำไมถึงช่วยไม่ได้) ทุกวันนี้ยังรู้สึกผิดที่ตอนนั้นไม่ได้ช่วย
เขาตัดสินใจนั่งรถไฟออกจากฮิโรชิมาตอนเย็น ตอนที่กำลังเดินทางไปที่สถานีเขาได้เห็นคนมากมายที่บาดเจ็บ โดนไฟไหม้ทั้งตัวเสื้อผ้าขาดไปหมด เดินเอามือมาไว้ข้างหน้า คล้ายซอมบี้ (สงสัยว่าถ้าเดินปรกติคงจะเจ็บ? แบบเนื้อเสียดสี?)
พอไปถึงที่สถานีก็เห็นว่าคนไม่เยอะเลย จึงรู้ว่ามีบางคนที่คงไม่สามารถมาถึงได้ แบบว่าเลิกกลางคัน ตายระหว่างทาง
เขาก็นั่งรถกลับบ้าน ครอบครัวก็ดีใจที่กลับมาถึงเพราะนึกว่าตายแล้วแน่
3วันผ่านไป ก็ท้องเสียถ่ายเป็นเลือดอย่างที่คนหลายคนเป็น จากนั้นก็ดีขึ้น
พอสงครามจบก็ได้มาเป็นครู ไปต่อที่อเมริกา1ปีแล้วกลับมาเป็นครูต่อ หลังจากเกษียณก็ได้เดินทางรอบโลกเพื่อเล่าเรื่องราวของตัวเองให้คนฟัง ต่อมาเป็นมะเร็ง เขาเล่าว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะได้รับการรักษา แต่เขาก็ยังเดินทางเพื่อเล่าเรื่องนี้ต่อไปเพื่อที่จะไม่ให้อะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีก
คุณ Keijiro Matsushima ได้เสียชีวิตเมื่อ พฤศจิกายน 2014 นี่เอง
เรื่องที่สองคือคุณแม่ ของคุณ Kumiko Seino
จะขอแทนว่าเธอนะคะ เพราะพิมพ์ง่ายกว่า
ตอนนั้นเธออายุ15 อาศัยอยู่กับแม่และน้องชาย บ้านของเขาอยู่แถว hypocenter หรือจุดศูนย์กลางระเบิดนั่นเอง
วันนั้นเธอก็จะต้องออกไปทำงานเช่นทุกวัน น้องชายที่อายุ2ขวบ ร้องไห้งองแงปาข้าวของ เธอก็ยังบ่นน้องแล้วคุยกับแม่ว่าน้องทำไมเป็นแบบนี้ หารู้ไม่ว่านั่นจะเป็นการพูดคุยครั้งสุดท้ายของครอบครัว
เธอและเพื่อนไปทำงานนอกฮิโรชิมา(ใกล้ๆนั่นแหละ) ตอนประมาณ8โมง ได้ยินเสียงเตือน และได้ยินเสียงของ B29 (ลำที่มาปล่อยระเบิด) เธอก็บอกเพื่อนว่าเป็น เครื่องบินของฝ่ายศัตรู พวกเขาเลยไปซ่อนที่ที่หลบภัยแถวนั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคุยกันอยู่เลยว่าระเบิดไปลงที่ไหน ซักพักก็มีฝนสีดำ (Black rain เป็นผลมาจากระเบิด) ตกลงมา
ต่อมาก็ได้เห็นว่าเป็นฮิโรชิมานี้เองที่โดนระเบิด คนจากฮิโรชิมาเริ่มทยอยออกมา เธอจึงไปช่วยให้ first aid ที่โรงเรียนแถวนั้น ตอนนั้นต้องใช้แตงกวาแทนเพราะว่ายามีไม่พอสำหรับทุกคน
แล้วเธอก็ไปช่วยวิดน้ำจากบ่อน้ำ ตอนนั้นมีคนมากมายมาขอน้ำแต่เธอไม่สามารถให้น้ำกับคนที่โดนไฟไหม้ได้ (เขาเชื่อกันว่าถ้าให้กินน้ำแล้วจะตาย แล้วคนที่โดนไหม้ ปรกติแล้วจะหิวน้ำมาก) มีคนหนึ่งบอกว่าไม่กินหรอกจะล้างหน้าเท่านั้น เธอจึงให้ไป แต่เขาก็กินมันจนหมดแล้วได้เสียชีวิตในวันต่อมา เธอคิดเสมอว่ามันเป็นความผิดของเธอที่ให้ไป (แต่ไม่จริงนะคะ ยังไงก็ต้องตายอยู่แล้ว)
เธอได้ออกตามหาครอบครัวตามสถานที่ต่างๆ แต่ก็ไม่เจอ เธอไม่สามารถเข้าไปฮิโรชิมาได้วันนั้น มองไปก็เห็นว่าเป็นสีแดงไปหมด
เช้าวันต่อมาเธอจึงเริ่มเข้าเมือง ตลอดทางเธอได้เห็นคนบาดเจ็บล้มตายมากมายเสื้อก็ขาดๆ เดินเป็นซอมบี้ ได้เห็นรถบัสที่คนขับและผู้โดยสารตายหมด ถนนก็ไม่มีเหลืออีกแล้ว เธอทำได้แค่ตามรถบรรทุกไป ในขณะที่เดินอยู่ดีๆก็มีคนพูดขึ้นมาว่า hey girl ขอน้ำหน่อย เธอตกใจมากเพราะไม่คิดว่าจะมีคนที่มีชีวิตเหลือรอด เธอได้แต่ตกใจกรี๊ดๆ แล้ววิ่งหนี เซอไพรส์ที่เห็นว่ายังมีคนมีชีวิตรอด
เดินต่อมาได้เห็นว่ามีทหารอเมริกัน12คนซึ่งยังไม่ตาย แต่มีแต่คนโยนอิฐใส่ ได้ความว่าทหารพวกนั้นเป็น POW (prisoner of war) คงโดนเกลียดมาก
เธอได้หยิบเอาถ่านมาเขียนว่าเธอปลอดภัยดีเผื่อคนที่รู้จักเธอมาเห็นจะได้รู้ว่าเธอยังมีชีวิต เธอเดินต่อไปจนเห็นถังน้ำจึงได้รู้ว่าใกล้บ้านแล้ว
ได้เห็นศพมากมายก็ได้แต่สงสัยว่าหนึ่งในศพนั้นเป็นแม่ของเธอหรือเปล่า เธอร้องไห้ตลอดทางที่เดินผ่าน พอผ่าน A-bomb building ใกล้ๆ บ้านของเธอ สักพักได้เห็นว่ามีศพของผู้หญิงคนหนึ่งคว่ำหน้าอยู่ ข้างกายมีศพเด็ก2ศพขนาบข้าง เธอสงสัยว่านั่นเป็นแม่กับน้องของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้พลิกศพมาดูว่าใช่หรือเปล่า เธอเสียใจมาถึงทุกวันนี้ว่าทำไมวันนั้นไม่ดู แต่ถึงจะพลิกกลับมาก็คงไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ดี เธอคิดว่าคงใช่ครอบครัวของเธอนั่นแหละ
วันต่อมาเธอได้ไปบ้านญาติเพื่อที่จะดูว่ามีใครเหลืออยู่ ได้เจอกับแว่นตาของแม่ที่ละลายคล้ายลูกกวาด(มันร้อนมากเนอะ) ก็เก็บเอาไว้
จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถหาครอบครัวของเธอได้...
ก็เลยต้องไปรวมหลุมศพแบบนี้
จนสงครามจบเธอได้หางานทำ โชคดีมากที่ได้งาน บ้านของลุงได้ให้เธอไปอยู่ด้วยแต่ก็ยังกลัวผลจากรังสีก็ไม่ได้การต้อนรับที่ดีเท่าไหร่ เธอจึงย้ายออกก็ได้รับการช่วยเหลือจากคนรอบข้างอย่างดี แล้วก็ยังมีชีวิตมาจบถึงทุกวันนี้ค่ะ
เธอจะมีการเจอกับเพื่อนๆทุกๆปี ซึ่งปีที่ผ่านมาเพื่อนก็เริ่มทยอยตายกันไปเยอะแล้ว ซึ่งเพื่อนทุกๆคนเป็นมะเร็งรวมถึงเธอด้วยค่ะ แต่หายแล้ว