ก็พุทธศาสนาปฏิเสธแน่ๆ แล้วว่า การเวียนว่ายตายเกิด มีวิญญาณเป็นตัวเป็นตนไปเกิด เป็น สัสสตทิฏฐิ เอาล่ะ ทีนี้มันดันมีไอ้สิ่งที่เรียกว่าคนมีสัตว์เกิดมาแล้วนี่ คนพวกนี้ก็เลยบอกว่างั้นก็แสดงว่าคนสัตว์เกิดมาแล้วตายแล้วก็สูญสิ เอ่อ ก็คือถ้าพูดแบบมีตัวมีตนมันก็แบบนั้นแหละก็ตายแล้วไม่มีไปเกิดอีก เพราะถ้ามีก็แสดงว่าคำสอนเรื่องสัสสตทิฎฐิผิด จะเรียกว่าตายแล้วสูญก็ได้ แต่พุทธไม่ได้สอนให้เห็นคนสัตว์ที่เกิดมามีเป็นตัวเป็นตนไง ถึงบอกว่าคนที่คิดแบบนั้นเป็น อุจเฉททิฎฐิ
ทีนี้เรื่องตัวตนเนี่ยมันเข้าใจยาก เพราะร้อยทั้งร้อย จะมีความรู้สึกถึงความมีตัวตนอยู่ ดังนั้นเมื่อปฏิเสธการเวียนว่ายแล้ว มันเลยตกลงไปที่ คำว่าตายแล้วสูญทันที เพราะคนพวกนี้เห็นว่าตัวเองมีตัวตนอยู่ในปัจจุบันตลอดเวลา
ลองอ่านจากพุทธธรรมดูครับ ถ้าคนมีปัญญาสร้างเหตุปัจจัยมาเพื่อที่จะให้เข้าใจได้ ก็คงเข้าใจได้ครับ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจก็อาจจะต้องเถียงกันไปเรื่อยๆ ครับว่า ตายแล้วไปเกิดอีก หรือ ตายแล้วสูญ สุดแต่กุศลที่สร้างมาครับ
(หน้า ๑๐๐)
“…ความหลงผิดอีกอย่างหนึ่งที่มักชักพาคนให้เข้าไปติด ก็คือ
การแล่นจากสุดโต่งแห่งความคิดเห็นด้านหนึ่ง ไปยังสุดโต่งอีกด้านหนึ่ง
กล่าวคือ คนพวกหนึ่งยึดติดถือมั่นในตัวตนว่าเป็นของจริงแท้คงที่ถาวร
สัตว์ บุคคล เป็นตัวตนอย่างนั้น ซึ่งมีจริง มิใช่สิ่งสมมติ
สัตว์ บุคคล มีตัวจริงตัวแท้ที่ยั่งยืนคงอยู่ตลอดไป
ไม่ว่าคนจะตาย ชีวิตจะสิ้นสุด ตัวสัตว์ ตัวบุคคล ตัวตน
ดวงชีวะ อาตมัน หรืออัตตา (soul)
นี้ก็จะคงอยู่อย่างเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่สูญสลายด้วย
บ้างก็ว่าอัตตาตัวนี้ไปเวียนว่ายตายเกิด
บ้างก็ว่าอัตตาตัวนี้รออยู่เพื่อไปสู่นรกหรือสวรรค์นิรันดร
สุดแต่คำตัดสินของเทพสูงสุด
ความเห็นของคนพวกนี้ เรียกว่า “สัสสตทิฏฐิ” หรือ “สัสสตวาท”
แปลว่า ความเห็นว่าเที่ยง คือเห็นว่า สัตว์บุคคลตัวตนหรืออัตตา
เที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดไป
ส่วนคนอีกพวกหนึ่งก็เห็นว่ามีตัวตนเช่นนั้นอยู่
คือยึดถือสัตว์ บุคคล เป็นตัวแท้ตัวจริง
แต่สัตว์ บุคคลนั้นไม่เที่ยงแท้ถาวร สูญสลายไปได้
เมื่อคนตาย ชีวิตจบสิ้น สัตว์บุคคล ก็ขาดสูญ ตัวตนก็หมดไป
ความเห็นของคนพวกนี้ เรียกว่า “อุจเฉททิฏฐิ” หรือ “อุจเฉทวาท”
แปลว่า ความเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นว่า
สัตว์บุคคล ตัวตน หรืออัตตา ไม่เที่ยงแท้ถาวร
ดำรงอยู่ชั่วคราวแล้วก็สูญสิ้นไป
แม้แต่ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา ถ้าเข้าใจไม่ชัดเจนถ่องแท้
ก็อาจตกไปในทิฐิ ๒ อย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
โดยเฉพาะผู้ที่ศึกษาหลักกรรมในแง่สังสารวัฏ (เวียนตายเวียนเกิด)
ถ้าเข้าใจพลาด ก็อาจกลายเป็นสัสสตทิฏฐิ คือเห็นว่าเที่ยง
ผู้ที่ศึกษาหลักอนัตตา ถ้าเข้าใจพลาด
ก็อาจกลายเป็นอุจเฉททิฏฐิ คือเห็นว่าขาดสูญ
จุดพลาดที่เหมือนกันของทิฏฐิสุดโต่งทั้งสองอย่าง ก็คือ
ความเห็นว่า หรือยึดถือว่า มีสัตว์ บุคคล ที่เป็นตัวแท้ตัวจริง
แต่พวกหนึ่งยึดว่าสัตว์ บุคคล ตัวตนนั้น คงตัวอยู่ยั่งยืนตลอดไป
ส่วนอีกพวกหนึ่งเห็นไปว่าสัตว์ บุคคล ตัวตนที่มีอยู่นั้นมาถึงจุดหนึ่งตอนหนึ่ง
โดยเฉพาะเมื่อกายแตกสลาย ชีวิตนี้สิ้นสุด
สัตว์ บุคคล ตัวตน หรืออัตตา ก็ถูกตัดขาดสูญสิ้นไปด้วย
นอกจากนี้ ยังมีพวกหนึ่งที่เห็นเลยเถิดไปอีกทางหนึ่งว่า
ความไม่มีตัวตนก็คือ ไม่มีอะไรเลย
ความไม่มีสัตว์ บุคคล ก็คือไม่มีผู้รับผล
เมื่อไม่มีใครรับผล การกระทำใดๆก็ไม่มีผล
ทำก็ไม่เป็นอันทำ ไม่มีความรับผิดชอบต่อกรรม
หรือพูดง่ายๆ ว่ากรรมไม่มีนั่นเอง…”
(หน้า ๑๐๔)
“…พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติถูกต้อง หรือท่านผู้มีปัญญาเข้าใจถูกต้องแล้ว
ย่อมไม่มีทั้งความยึดถือตัวตนและทั้งความยึดถือว่าไม่มีตัวตน (ตัวตนขาดสูญ)
ไม่มีทั้งสิ่งที่ยึดถือเอาไว้ และทั้งสิ่งที่จะต้องละต้องปล่อยหรือต้องสลัดทิ้ง
คัมภีร์มหานิทเทสอธิบายต่อไปอีกว่า
ผู้ใดมีสิ่งที่ยึดถือไว้ ผู้นั้นก็มีสิ่งที่จะต้องปล่อยละ
ผู้ใดมีสิ่งที่จะต้องปล่อยละ ผู้นั้นก็มีสิ่งที่ยึดถือไว้
พระอรหันต์ล่วงพ้นการยึดถือและการปล่อยละไปแล้ว
ความเข้าใจในพุทธพจน์และอรรถธิบายข้างต้นนี้
จะช่วยให้เข้าใจความหมายของหลักอนัตตาครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น…”
“พุทธธรรม” ฉบับปรับขยาย
ประพันธ์โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต)
ผู้เป็นประดุจดั่งอัญมณีอันล้ำค่าของพระพุทธศาสนา
ผมว่ามีคนเข้าใจผิดเรื่อง ตายแล้วไปเกิดชาติหน้า กับ ตายแล้วสูญ พอปฏิเสธอย่างหนึ่งก็เลยไปตกที่อีกอย่างตลอด
ทีนี้เรื่องตัวตนเนี่ยมันเข้าใจยาก เพราะร้อยทั้งร้อย จะมีความรู้สึกถึงความมีตัวตนอยู่ ดังนั้นเมื่อปฏิเสธการเวียนว่ายแล้ว มันเลยตกลงไปที่ คำว่าตายแล้วสูญทันที เพราะคนพวกนี้เห็นว่าตัวเองมีตัวตนอยู่ในปัจจุบันตลอดเวลา
ลองอ่านจากพุทธธรรมดูครับ ถ้าคนมีปัญญาสร้างเหตุปัจจัยมาเพื่อที่จะให้เข้าใจได้ ก็คงเข้าใจได้ครับ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจก็อาจจะต้องเถียงกันไปเรื่อยๆ ครับว่า ตายแล้วไปเกิดอีก หรือ ตายแล้วสูญ สุดแต่กุศลที่สร้างมาครับ
(หน้า ๑๐๐)
“…ความหลงผิดอีกอย่างหนึ่งที่มักชักพาคนให้เข้าไปติด ก็คือ
การแล่นจากสุดโต่งแห่งความคิดเห็นด้านหนึ่ง ไปยังสุดโต่งอีกด้านหนึ่ง
กล่าวคือ คนพวกหนึ่งยึดติดถือมั่นในตัวตนว่าเป็นของจริงแท้คงที่ถาวร
สัตว์ บุคคล เป็นตัวตนอย่างนั้น ซึ่งมีจริง มิใช่สิ่งสมมติ
สัตว์ บุคคล มีตัวจริงตัวแท้ที่ยั่งยืนคงอยู่ตลอดไป
ไม่ว่าคนจะตาย ชีวิตจะสิ้นสุด ตัวสัตว์ ตัวบุคคล ตัวตน
ดวงชีวะ อาตมัน หรืออัตตา (soul)
นี้ก็จะคงอยู่อย่างเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่สูญสลายด้วย
บ้างก็ว่าอัตตาตัวนี้ไปเวียนว่ายตายเกิด
บ้างก็ว่าอัตตาตัวนี้รออยู่เพื่อไปสู่นรกหรือสวรรค์นิรันดร
สุดแต่คำตัดสินของเทพสูงสุด
ความเห็นของคนพวกนี้ เรียกว่า “สัสสตทิฏฐิ” หรือ “สัสสตวาท”
แปลว่า ความเห็นว่าเที่ยง คือเห็นว่า สัตว์บุคคลตัวตนหรืออัตตา
เที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดไป
ส่วนคนอีกพวกหนึ่งก็เห็นว่ามีตัวตนเช่นนั้นอยู่
คือยึดถือสัตว์ บุคคล เป็นตัวแท้ตัวจริง
แต่สัตว์ บุคคลนั้นไม่เที่ยงแท้ถาวร สูญสลายไปได้
เมื่อคนตาย ชีวิตจบสิ้น สัตว์บุคคล ก็ขาดสูญ ตัวตนก็หมดไป
ความเห็นของคนพวกนี้ เรียกว่า “อุจเฉททิฏฐิ” หรือ “อุจเฉทวาท”
แปลว่า ความเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นว่า
สัตว์บุคคล ตัวตน หรืออัตตา ไม่เที่ยงแท้ถาวร
ดำรงอยู่ชั่วคราวแล้วก็สูญสิ้นไป
แม้แต่ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา ถ้าเข้าใจไม่ชัดเจนถ่องแท้
ก็อาจตกไปในทิฐิ ๒ อย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
โดยเฉพาะผู้ที่ศึกษาหลักกรรมในแง่สังสารวัฏ (เวียนตายเวียนเกิด)
ถ้าเข้าใจพลาด ก็อาจกลายเป็นสัสสตทิฏฐิ คือเห็นว่าเที่ยง
ผู้ที่ศึกษาหลักอนัตตา ถ้าเข้าใจพลาด
ก็อาจกลายเป็นอุจเฉททิฏฐิ คือเห็นว่าขาดสูญ
จุดพลาดที่เหมือนกันของทิฏฐิสุดโต่งทั้งสองอย่าง ก็คือ
ความเห็นว่า หรือยึดถือว่า มีสัตว์ บุคคล ที่เป็นตัวแท้ตัวจริง
แต่พวกหนึ่งยึดว่าสัตว์ บุคคล ตัวตนนั้น คงตัวอยู่ยั่งยืนตลอดไป
ส่วนอีกพวกหนึ่งเห็นไปว่าสัตว์ บุคคล ตัวตนที่มีอยู่นั้นมาถึงจุดหนึ่งตอนหนึ่ง
โดยเฉพาะเมื่อกายแตกสลาย ชีวิตนี้สิ้นสุด
สัตว์ บุคคล ตัวตน หรืออัตตา ก็ถูกตัดขาดสูญสิ้นไปด้วย
นอกจากนี้ ยังมีพวกหนึ่งที่เห็นเลยเถิดไปอีกทางหนึ่งว่า
ความไม่มีตัวตนก็คือ ไม่มีอะไรเลย
ความไม่มีสัตว์ บุคคล ก็คือไม่มีผู้รับผล
เมื่อไม่มีใครรับผล การกระทำใดๆก็ไม่มีผล
ทำก็ไม่เป็นอันทำ ไม่มีความรับผิดชอบต่อกรรม
หรือพูดง่ายๆ ว่ากรรมไม่มีนั่นเอง…”
(หน้า ๑๐๔)
“…พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติถูกต้อง หรือท่านผู้มีปัญญาเข้าใจถูกต้องแล้ว
ย่อมไม่มีทั้งความยึดถือตัวตนและทั้งความยึดถือว่าไม่มีตัวตน (ตัวตนขาดสูญ)
ไม่มีทั้งสิ่งที่ยึดถือเอาไว้ และทั้งสิ่งที่จะต้องละต้องปล่อยหรือต้องสลัดทิ้ง
คัมภีร์มหานิทเทสอธิบายต่อไปอีกว่า
ผู้ใดมีสิ่งที่ยึดถือไว้ ผู้นั้นก็มีสิ่งที่จะต้องปล่อยละ
ผู้ใดมีสิ่งที่จะต้องปล่อยละ ผู้นั้นก็มีสิ่งที่ยึดถือไว้
พระอรหันต์ล่วงพ้นการยึดถือและการปล่อยละไปแล้ว
ความเข้าใจในพุทธพจน์และอรรถธิบายข้างต้นนี้
จะช่วยให้เข้าใจความหมายของหลักอนัตตาครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น…”
“พุทธธรรม” ฉบับปรับขยาย
ประพันธ์โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต)
ผู้เป็นประดุจดั่งอัญมณีอันล้ำค่าของพระพุทธศาสนา