สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 24
มาดริด และ บาร์ซ่า คือสองสุดยอดทีมของโลก
แต่ไม่ได้แปลว่า นักเตะเก่งๆจะปฏิเสธไม่ได้ คนที่ไม่อยากไปโดยที่ไม่ได้กลัวว่าจะต้องไปนั่งสำรองหรือโดนลดบทบาทไปก็มีเยอะแยะ มันไร้สาระที่มาโพสแขวะๆข่มๆเอานักเตะที่ตัวเองชอบและนักเตะทีมอริมาดูถูกดูแคลน
รวมพวกที่เคยปฏิเสธ ทั้งๆที่ตอนนั้นกำลังดังมาก และฝีเท้าดีพอจะไปอยู่ในทีมตัวจริงแน่ๆก็มี
เบ็คแฮม ตอนนั้นแมนยูเกือบจะขายเขาให้บาร์ซ่าช่วงที่กำลังจะทุ่มดาวดังเพื่อสร้างทีมใหม่ (ช่วงที่เพิ่งได้โรนัลดิโญ่มาร่วมทีม) แต่เขาปฏิเสธ แล้วยืนยันว่า ถ้าจะย้ายออกจากแมนยูจริงๆ มีทีมเดียวในเวลานั้นที่เขาจะไปร่วมคือมาดริด สุดท้ายก็จบที่ราคา 25 ล้านที่คนสมัยนั้นมองว่า แมนยูขายถูกไปมากๆ แต่เบ็คแฮมมาพิสูจน์คุณค่าอันยิ่งใหญ่ของเจ้าตัวได้แบบไร้ข้อกังขาเอาก็ในปี 2006/2007 ที่ได้รุดย้ายมาร่วมทีม แล้วเบ็คแฮมทุ่มซ้อมทุกวันแม้ว่าคาเปลโล่จะเมิน จนสุดท้ายมาดริดกำลังผลงานกระท่อนกระแท่นในลีก และตัวหลักทั้งหมดฟอร์มตกบ้าง เจ็บบ้าง คาเปลโล่ที่ไม่เคยอ่อนข้อให้ใครเลยยอมกลืนน้ำลายตัวเองดึงเบ็คแฮมกลับมาเป็นตัวจริง นำไปสู่ฟอร์มสุดยอดในช่วงเลกสองที่แอสซิสต์กระจายให้รุดและคนอื่นๆยิงประตู จนพาทีมกลับมาคว้าแชมป์ลีกหน้าตาเฉย
แม็คมานามาน อันนี้เคสแปลกหน่อย แต่ส่งผลกระทบเยอะมาก เพราะคือบทเรียนที่ทำให้ทุกทีมในยุโรปหันมาระวังเรื่องการต่อสัญญานักเตะในช่วง 2 ปีสุดท้ายไปเลย คือตอนแรกมีข่าวรุนแรงมาตลอดว่าลิเวอร์พูลจะขายให้บาร์ซ่า แต่ช่วงสุดท้ายของแม็คก้ากับทีมมันจบกันไม่สวยเลย ลิเวอร์พูลพยายามจะปล่อยแม็คก้าออกไปบาร์ซ่าด้วยค่าตัว 12 ล้าน เพราะเห็นว่าสัญญาใกล้หมด แต่แม็คก้าไม่ได้อยากย้ายออกจากทีม เขาเลยไม่พอใจมากเพราะตอนนั้นเรื่องของแม็คก้ากับบาร์ซ่านี่เข้าขั้นมหากาพย์เลยครับ อารมณ์คล้ายๆตอนแมนยูจะเอาฮากรีฟนั่นเลย คือลากกันยาวมาก ปรากฏว่าปู่บ๊อบบี้ ร็อบสัน ซึ่งลงจากตำแหน่งผู้จัดการบาร์ซ่า แล้วฟานกัลเข้ามาคุมทีมแทน ปู่บ๊อบแกแนะนำฟานกัลว่า ไปริวัลโด้มาดีกว่า เหตุผลของแกคือ แม็คก้ามีดีที่การเลี้ยงบอล แต่การยิงประตูแย่มาก เขาไม่สามารถยิงให้บาร์ซ่าต่อปีถึง 18 ลูกได้แน่ ฟานกัลเชื่อเลยไปเอาริวัลโด้มาแทน แล้วแม็คก้าก็ไม่ได้อยากย้ายมาอยู่แล้ว ดีลเลยล่ม จากน้นเจ้าตัวเลยสะสมความแค้นกับลิเวอร์พูล แกเอาคืนโดยการรอให้หมดสัญญาในปีถัดมาแล้วย้ายไปมาดริดแบบฟรีๆ ผลจากเคสนี้ ทำให้กลายเป็น Case Study ที่หลายสโมสรจะหาทางปล่อยนักเตะออกไปเลย ถ้ายังเหลือสัญญาหนึ่งปีแล้วไม่ยอมต่อ
ต๊อตติ เคยปฏิเสธมาดริด (และทีมใหญ่อื่นๆ) เพื่อจะอยู่โรม่าต่อ โดยเฉพาะในช่วงที่โรม่ายังมีลุ้นระดับยุโรป แกขออยู่เพื่อพาโรม่าลุยยูโรปและคว้าสคูเตโต้ให้ได้อีกสักครั้ง แม้ว่าจะไม่สำเร็จก็ตาม แต่ก็เฉียดอยู่หลายปีติด แล้วมาดริดก็จีบแกถี่มากช่วงนั้น แต่แกยืนยันหนักแน่นไม่ไป
ป็อกบา ปีสุดท้ายกับยูเว่ในช่วงที่กำลังเนื้อหอมสุดๆ เจ้าตัวออกมาบอกเองว่าสองทีมยักษ์มีความสนใจและยื่นขอเสอนเข้ามา แต่เขาปฏิเสธ เพื่อจะกลับมาสานต่อภารกิจที่คาใจอยู่กับแมนยู
มัลดินี่ ยืนกรานปฏิเสธทุกทีมใหญ่ในโลกที่เคยตามจีบสมัยนั้น เฟอร์กี้เคยลองทาบทามให้มาแมนยูเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ผล เหตุผลเดียวของเขาคือ ปู่ พ่อ และเขาเป็นคนเมืองมิลาน
ลาห์ม มาดริดเคยทาบ แต่แกก็ไม่ไป
เนย์มาร์ ก่อนมาสเปน แกระบุชัดเจนว่าทีมเดียวที่จะมาคือบาร์ซ่า แล้วปฏิเสธมาดริด
คีน ปีที่พีคสุดๆเคยมีข่าวกับมาดริดจริงครับ แต่แกไม่ไป
เอฟเฟ่ ช่วง 3 ปีสุดท้ายที่แกกลับมาพิสูจนต์ตัวกับบาเยิร์นว่า กูยังเจ๋ง เคยมีข่าวมาดริดอยากได้ตัว แต่แกก็ไม่ไป
แล้วก็แนวๆข่าวลือหรือมีความสนใจอีกหลายๆคนในช่วงพีคๆ แต่บางคนก็แค่มีข่าวมา 1-2 ครั้ง หริออาจเพราะบางคนเหมือนเป็นตำนานสโมสรด้วย เช่น กิ๊กซ์ รูนี่ย์ เจอร์ราร์ด แล้วเท่าที่นึกออก สมัยนั้นยังมีพวก เชฟเชนโก้ ตูราม เอสเซียง บัลลัค ตอเรส พวกนี้เคยโดนทาบมาหมดแล้ว แต่ไม่ไป
คือมันมีช่วงหนึ่งที่ มาดริดและบาร์ซ่า อยู่ในช่วงตกต่ำย่ำแย่ ต้องผลัดเปลี่ยนทีม หรือเจออาการถังแตก ซึ่งแฟนบอลรุ่นใหม่ๆอาจนึกภาพไม่ออก แต่ช่วงยุค 90 จนถึงต้น 2000 สองทีมนี้อาการเป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่ได้ไร้เทียมทานอะไรขนาดนั้น ยังดีว่ามาดริดนี่มีสามารถเข้าชิง UCL ถึง 3 ครั้งใน
6 ปี แล้วชนะมาได้หมด แต่เชื่อไหมว่าปีที่ได้แชมป์ UCL 97/98 ปีต่อมามาดริดถังแตกจ้า (ไม่รู้เอาไปทำอะไรหมด) ต้องมาเน้นเอานักเตะหมดสัญญาหรือค่าเหนื่อยไม่สูงมาเข้าทีมแทน แล้วพยายามโละพวกเลข 3 อัพที่ค่าเหนื่อยหนักๆออกไป ช่วงนั้นกำลังปั้นราอูลพอดี จากนั้นก็เข้ายุคกาลาคติกอสที่รวมดาวดังระดับโลก ตามนโนบายของเปเรส ที่จะทุ่มคว้าดาวดังปีละคน ซึ่งมาจุดติดเอาปี 2000 แต่ขอโทษเถอะ เกมรับห่วยถึงขั้นห่วยมาก ทีมเวิร์คต่ำสุดๆ เกมรุกเน้นดาวดังที่แต่ละคนนี่ก็อายุเข้าเลข 3 กันเกือบหมดแล้ว ทำให้หลายๆเกมออกเนือยๆด้วยซ้ำ พร้อมแพ้ทีมที่เน้นบอลระบบและมีทีมเวิร์ค สมัยนึงนี่มาดริดเจอลียงอัดแพ้ตกรอบ 16 ทีม หรือ 8 ทีม UCL บ่อยมาก ใช่แล้วลียงนี่แหละครับ 10 ปีก่อนคือยอดทีมของฝรั่งเศส เจ้าของฉายา ลงเป็นยิง อัดมาริดกลับบ้านประจำ แล้วไม่รู้ทำไมเจอกันโคตรบ่อย เจอในรอบแบ่งกลุ่มก็ชอบแพ้ลียงอีก คือกว่ามาดริดจะมาปลดล็อคอาถรรพ์บอลแบบลียงกับพวกทีมสายเน้นรับและบอลระบบแน่นๆได้ ก็มาในยุคมูและโด้ที่แปลงร่างแล้วนี่แหละ เพราะก่อนหน้านี้มาดริดเป็นทีมใหญ่ที่ทีมเวิร์คแย่มาตลอดหลายทศวรรษ มีเดลบอสเก้ช่วงปีแรกๆกับมู และตอนหลังๆนี่เองที่ทีมมาเน้นการเล่นแบบหนาแน่นแล้วใช้เกมรุกรวดเร็วเล่นงานได้
ส่วนบาร์ซ่า ยุคฟานกัลนี่เกมรุกสุดโหด แต่เกมรับบัดซบพอกัน ปลายยุค 90 ถึงต้นยุค 2000 บาร์ซ่ามีเกมรุกที่น่ากลัว แต่ตอนเล่นใน UCL ไม่มีใครกลัวมากเหมือนสมัยนี้ เพราะรู้ว่าเกมรับแย่ ถ้าบุกคมๆก็ปราบบาร์ซ๋าได้ ครองบอลคุมเกมก็ไม่ได้เป็นติกิตากะเหมือนยุคหลัง ไรด์การ์ทตอนคุมสองปีแรกก็เกือบเด้งไปแล้ว ได้รอนนี่มาร่วมทีมช่วงแรกนี่ก็ใช่ว่าจะเล่นดีอะไรด้วย มาลงตัวเพราะปรับจูนแผน 4-3-3 แล้วเลิกนโยบายใช้ดาวดัง แต่เอานักเตะที่เหมาะกับระบบการเล่นอย่างเอโต้สมัยนั้นที่เป็นส่วนเกินของมาดริดมายืนหน้าเป้า แล้วเอาพวกตัวทำเกมอย่างเดโก้ที่เก่งเกินชื่อเสียงมาทำเกมรุก ปั้นระบบทีมรุกให้สดใหม่ ถึงกลับมาต่อยอดได้ถึงตอนนี้ ซาบีเริ่มมาองค์ลงก็ช่วงนั้นแหละ ก่อนหน้านั้นยังหาตัวเองไม่พบ ยังจะโดนบาร์ซ่าขายทิ้งอยู่เลย แกเกือบมาแมนยูแล้วด้วย เพราะเฟอร์กี้ชอบแกมาก สุดท้ายแกเปลี่ยนใจสู้ต่อ แล้วก็ตัดสินใจถูก เพราะปีถัดมาก็เป็นยุคเป๊ปพอดี มีอิเนสต้าพุ่งขึ้นมาช่วย ซาบีแกเลยเป็นเทพไปเลย ถ้าตอนนั้นซาบีมาแมนยูจริงๆ แกก็อาจจะแทนที่สโคลส์ แต่เราก็ยากจะบอกได้ว่าแกจะทำได้สุดๆขนาดตอนอยู่บาร์ซ่าไหม มันเป็นเรื่องของจังหวะชีวิต เพราะปีที่บาร์ซ่าเพิ่งได้แชมป์ยุโรป 2006 ตอนนั้นซาบียังไม่ถึงระดับแกนหลักในแดนกลางของทีม แต่เป็นเดโก้ แกมาระเบิดฟอร์มสุดยอดจริงๆช่วงเลกสองของปี 2007 ต่อเนื่องมาจนแขวนสตั้ด ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น นักเตะที่เล่นสไตล์โฮลด์บอลของวงการลูกหนังทุกวันนี้ สามารถกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญของแต่ละทีมได้ อาจจะต้อขอบคุณปีร์โล่ ซึ่งเป็นคนที่แสดงให้ทั้งโลกลูกหนังเห็นว่า นักเตะสไตล์นี้คืออนาคตของฟุตบอลยุคใหม่ในเวลานั้น และอีกสองคนคือ อันเชล็อตติ ที่คิดแผนปิระมิด 4-3-2-1 มาใช้กับมิลานในช่วงนั้น และลิปปี้ ที่รับแนวคิดของอันเช่มาต่อยอดในทีมชาติอิตาลีชุด 2006
คือจะบอกว่า ทุกทีมมันมียุคสมัย มีช่วงเวลาของมัน ไม่จำเป้นต้องไปข่มแขวะดูถูกใครหรือเห็นสองทีมนี้เป็นพระเจ้าตลอดกาลหรอก มันมีขึ้นมีลงหมด แค่เผอิญว่าตอนนี้เป้นยุคของสองทีมนี้ที่นานเป้นพิเศษเท่านั้น
Reference
https://www.onefootball.com/magazine/david-beckham-barcelona-real-madrid-manchester-united/
http://www.espnfc.com/story/3039927/paul-pogba-turned-down-barcelona-and-real-madrid-for-man-united-move
แต่ไม่ได้แปลว่า นักเตะเก่งๆจะปฏิเสธไม่ได้ คนที่ไม่อยากไปโดยที่ไม่ได้กลัวว่าจะต้องไปนั่งสำรองหรือโดนลดบทบาทไปก็มีเยอะแยะ มันไร้สาระที่มาโพสแขวะๆข่มๆเอานักเตะที่ตัวเองชอบและนักเตะทีมอริมาดูถูกดูแคลน
รวมพวกที่เคยปฏิเสธ ทั้งๆที่ตอนนั้นกำลังดังมาก และฝีเท้าดีพอจะไปอยู่ในทีมตัวจริงแน่ๆก็มี
เบ็คแฮม ตอนนั้นแมนยูเกือบจะขายเขาให้บาร์ซ่าช่วงที่กำลังจะทุ่มดาวดังเพื่อสร้างทีมใหม่ (ช่วงที่เพิ่งได้โรนัลดิโญ่มาร่วมทีม) แต่เขาปฏิเสธ แล้วยืนยันว่า ถ้าจะย้ายออกจากแมนยูจริงๆ มีทีมเดียวในเวลานั้นที่เขาจะไปร่วมคือมาดริด สุดท้ายก็จบที่ราคา 25 ล้านที่คนสมัยนั้นมองว่า แมนยูขายถูกไปมากๆ แต่เบ็คแฮมมาพิสูจน์คุณค่าอันยิ่งใหญ่ของเจ้าตัวได้แบบไร้ข้อกังขาเอาก็ในปี 2006/2007 ที่ได้รุดย้ายมาร่วมทีม แล้วเบ็คแฮมทุ่มซ้อมทุกวันแม้ว่าคาเปลโล่จะเมิน จนสุดท้ายมาดริดกำลังผลงานกระท่อนกระแท่นในลีก และตัวหลักทั้งหมดฟอร์มตกบ้าง เจ็บบ้าง คาเปลโล่ที่ไม่เคยอ่อนข้อให้ใครเลยยอมกลืนน้ำลายตัวเองดึงเบ็คแฮมกลับมาเป็นตัวจริง นำไปสู่ฟอร์มสุดยอดในช่วงเลกสองที่แอสซิสต์กระจายให้รุดและคนอื่นๆยิงประตู จนพาทีมกลับมาคว้าแชมป์ลีกหน้าตาเฉย
แม็คมานามาน อันนี้เคสแปลกหน่อย แต่ส่งผลกระทบเยอะมาก เพราะคือบทเรียนที่ทำให้ทุกทีมในยุโรปหันมาระวังเรื่องการต่อสัญญานักเตะในช่วง 2 ปีสุดท้ายไปเลย คือตอนแรกมีข่าวรุนแรงมาตลอดว่าลิเวอร์พูลจะขายให้บาร์ซ่า แต่ช่วงสุดท้ายของแม็คก้ากับทีมมันจบกันไม่สวยเลย ลิเวอร์พูลพยายามจะปล่อยแม็คก้าออกไปบาร์ซ่าด้วยค่าตัว 12 ล้าน เพราะเห็นว่าสัญญาใกล้หมด แต่แม็คก้าไม่ได้อยากย้ายออกจากทีม เขาเลยไม่พอใจมากเพราะตอนนั้นเรื่องของแม็คก้ากับบาร์ซ่านี่เข้าขั้นมหากาพย์เลยครับ อารมณ์คล้ายๆตอนแมนยูจะเอาฮากรีฟนั่นเลย คือลากกันยาวมาก ปรากฏว่าปู่บ๊อบบี้ ร็อบสัน ซึ่งลงจากตำแหน่งผู้จัดการบาร์ซ่า แล้วฟานกัลเข้ามาคุมทีมแทน ปู่บ๊อบแกแนะนำฟานกัลว่า ไปริวัลโด้มาดีกว่า เหตุผลของแกคือ แม็คก้ามีดีที่การเลี้ยงบอล แต่การยิงประตูแย่มาก เขาไม่สามารถยิงให้บาร์ซ่าต่อปีถึง 18 ลูกได้แน่ ฟานกัลเชื่อเลยไปเอาริวัลโด้มาแทน แล้วแม็คก้าก็ไม่ได้อยากย้ายมาอยู่แล้ว ดีลเลยล่ม จากน้นเจ้าตัวเลยสะสมความแค้นกับลิเวอร์พูล แกเอาคืนโดยการรอให้หมดสัญญาในปีถัดมาแล้วย้ายไปมาดริดแบบฟรีๆ ผลจากเคสนี้ ทำให้กลายเป็น Case Study ที่หลายสโมสรจะหาทางปล่อยนักเตะออกไปเลย ถ้ายังเหลือสัญญาหนึ่งปีแล้วไม่ยอมต่อ
ต๊อตติ เคยปฏิเสธมาดริด (และทีมใหญ่อื่นๆ) เพื่อจะอยู่โรม่าต่อ โดยเฉพาะในช่วงที่โรม่ายังมีลุ้นระดับยุโรป แกขออยู่เพื่อพาโรม่าลุยยูโรปและคว้าสคูเตโต้ให้ได้อีกสักครั้ง แม้ว่าจะไม่สำเร็จก็ตาม แต่ก็เฉียดอยู่หลายปีติด แล้วมาดริดก็จีบแกถี่มากช่วงนั้น แต่แกยืนยันหนักแน่นไม่ไป
ป็อกบา ปีสุดท้ายกับยูเว่ในช่วงที่กำลังเนื้อหอมสุดๆ เจ้าตัวออกมาบอกเองว่าสองทีมยักษ์มีความสนใจและยื่นขอเสอนเข้ามา แต่เขาปฏิเสธ เพื่อจะกลับมาสานต่อภารกิจที่คาใจอยู่กับแมนยู
มัลดินี่ ยืนกรานปฏิเสธทุกทีมใหญ่ในโลกที่เคยตามจีบสมัยนั้น เฟอร์กี้เคยลองทาบทามให้มาแมนยูเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ผล เหตุผลเดียวของเขาคือ ปู่ พ่อ และเขาเป็นคนเมืองมิลาน
ลาห์ม มาดริดเคยทาบ แต่แกก็ไม่ไป
เนย์มาร์ ก่อนมาสเปน แกระบุชัดเจนว่าทีมเดียวที่จะมาคือบาร์ซ่า แล้วปฏิเสธมาดริด
คีน ปีที่พีคสุดๆเคยมีข่าวกับมาดริดจริงครับ แต่แกไม่ไป
เอฟเฟ่ ช่วง 3 ปีสุดท้ายที่แกกลับมาพิสูจนต์ตัวกับบาเยิร์นว่า กูยังเจ๋ง เคยมีข่าวมาดริดอยากได้ตัว แต่แกก็ไม่ไป
แล้วก็แนวๆข่าวลือหรือมีความสนใจอีกหลายๆคนในช่วงพีคๆ แต่บางคนก็แค่มีข่าวมา 1-2 ครั้ง หริออาจเพราะบางคนเหมือนเป็นตำนานสโมสรด้วย เช่น กิ๊กซ์ รูนี่ย์ เจอร์ราร์ด แล้วเท่าที่นึกออก สมัยนั้นยังมีพวก เชฟเชนโก้ ตูราม เอสเซียง บัลลัค ตอเรส พวกนี้เคยโดนทาบมาหมดแล้ว แต่ไม่ไป
คือมันมีช่วงหนึ่งที่ มาดริดและบาร์ซ่า อยู่ในช่วงตกต่ำย่ำแย่ ต้องผลัดเปลี่ยนทีม หรือเจออาการถังแตก ซึ่งแฟนบอลรุ่นใหม่ๆอาจนึกภาพไม่ออก แต่ช่วงยุค 90 จนถึงต้น 2000 สองทีมนี้อาการเป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่ได้ไร้เทียมทานอะไรขนาดนั้น ยังดีว่ามาดริดนี่มีสามารถเข้าชิง UCL ถึง 3 ครั้งใน
6 ปี แล้วชนะมาได้หมด แต่เชื่อไหมว่าปีที่ได้แชมป์ UCL 97/98 ปีต่อมามาดริดถังแตกจ้า (ไม่รู้เอาไปทำอะไรหมด) ต้องมาเน้นเอานักเตะหมดสัญญาหรือค่าเหนื่อยไม่สูงมาเข้าทีมแทน แล้วพยายามโละพวกเลข 3 อัพที่ค่าเหนื่อยหนักๆออกไป ช่วงนั้นกำลังปั้นราอูลพอดี จากนั้นก็เข้ายุคกาลาคติกอสที่รวมดาวดังระดับโลก ตามนโนบายของเปเรส ที่จะทุ่มคว้าดาวดังปีละคน ซึ่งมาจุดติดเอาปี 2000 แต่ขอโทษเถอะ เกมรับห่วยถึงขั้นห่วยมาก ทีมเวิร์คต่ำสุดๆ เกมรุกเน้นดาวดังที่แต่ละคนนี่ก็อายุเข้าเลข 3 กันเกือบหมดแล้ว ทำให้หลายๆเกมออกเนือยๆด้วยซ้ำ พร้อมแพ้ทีมที่เน้นบอลระบบและมีทีมเวิร์ค สมัยนึงนี่มาดริดเจอลียงอัดแพ้ตกรอบ 16 ทีม หรือ 8 ทีม UCL บ่อยมาก ใช่แล้วลียงนี่แหละครับ 10 ปีก่อนคือยอดทีมของฝรั่งเศส เจ้าของฉายา ลงเป็นยิง อัดมาริดกลับบ้านประจำ แล้วไม่รู้ทำไมเจอกันโคตรบ่อย เจอในรอบแบ่งกลุ่มก็ชอบแพ้ลียงอีก คือกว่ามาดริดจะมาปลดล็อคอาถรรพ์บอลแบบลียงกับพวกทีมสายเน้นรับและบอลระบบแน่นๆได้ ก็มาในยุคมูและโด้ที่แปลงร่างแล้วนี่แหละ เพราะก่อนหน้านี้มาดริดเป็นทีมใหญ่ที่ทีมเวิร์คแย่มาตลอดหลายทศวรรษ มีเดลบอสเก้ช่วงปีแรกๆกับมู และตอนหลังๆนี่เองที่ทีมมาเน้นการเล่นแบบหนาแน่นแล้วใช้เกมรุกรวดเร็วเล่นงานได้
ส่วนบาร์ซ่า ยุคฟานกัลนี่เกมรุกสุดโหด แต่เกมรับบัดซบพอกัน ปลายยุค 90 ถึงต้นยุค 2000 บาร์ซ่ามีเกมรุกที่น่ากลัว แต่ตอนเล่นใน UCL ไม่มีใครกลัวมากเหมือนสมัยนี้ เพราะรู้ว่าเกมรับแย่ ถ้าบุกคมๆก็ปราบบาร์ซ๋าได้ ครองบอลคุมเกมก็ไม่ได้เป็นติกิตากะเหมือนยุคหลัง ไรด์การ์ทตอนคุมสองปีแรกก็เกือบเด้งไปแล้ว ได้รอนนี่มาร่วมทีมช่วงแรกนี่ก็ใช่ว่าจะเล่นดีอะไรด้วย มาลงตัวเพราะปรับจูนแผน 4-3-3 แล้วเลิกนโยบายใช้ดาวดัง แต่เอานักเตะที่เหมาะกับระบบการเล่นอย่างเอโต้สมัยนั้นที่เป็นส่วนเกินของมาดริดมายืนหน้าเป้า แล้วเอาพวกตัวทำเกมอย่างเดโก้ที่เก่งเกินชื่อเสียงมาทำเกมรุก ปั้นระบบทีมรุกให้สดใหม่ ถึงกลับมาต่อยอดได้ถึงตอนนี้ ซาบีเริ่มมาองค์ลงก็ช่วงนั้นแหละ ก่อนหน้านั้นยังหาตัวเองไม่พบ ยังจะโดนบาร์ซ่าขายทิ้งอยู่เลย แกเกือบมาแมนยูแล้วด้วย เพราะเฟอร์กี้ชอบแกมาก สุดท้ายแกเปลี่ยนใจสู้ต่อ แล้วก็ตัดสินใจถูก เพราะปีถัดมาก็เป็นยุคเป๊ปพอดี มีอิเนสต้าพุ่งขึ้นมาช่วย ซาบีแกเลยเป็นเทพไปเลย ถ้าตอนนั้นซาบีมาแมนยูจริงๆ แกก็อาจจะแทนที่สโคลส์ แต่เราก็ยากจะบอกได้ว่าแกจะทำได้สุดๆขนาดตอนอยู่บาร์ซ่าไหม มันเป็นเรื่องของจังหวะชีวิต เพราะปีที่บาร์ซ่าเพิ่งได้แชมป์ยุโรป 2006 ตอนนั้นซาบียังไม่ถึงระดับแกนหลักในแดนกลางของทีม แต่เป็นเดโก้ แกมาระเบิดฟอร์มสุดยอดจริงๆช่วงเลกสองของปี 2007 ต่อเนื่องมาจนแขวนสตั้ด ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น นักเตะที่เล่นสไตล์โฮลด์บอลของวงการลูกหนังทุกวันนี้ สามารถกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญของแต่ละทีมได้ อาจจะต้อขอบคุณปีร์โล่ ซึ่งเป็นคนที่แสดงให้ทั้งโลกลูกหนังเห็นว่า นักเตะสไตล์นี้คืออนาคตของฟุตบอลยุคใหม่ในเวลานั้น และอีกสองคนคือ อันเชล็อตติ ที่คิดแผนปิระมิด 4-3-2-1 มาใช้กับมิลานในช่วงนั้น และลิปปี้ ที่รับแนวคิดของอันเช่มาต่อยอดในทีมชาติอิตาลีชุด 2006
คือจะบอกว่า ทุกทีมมันมียุคสมัย มีช่วงเวลาของมัน ไม่จำเป้นต้องไปข่มแขวะดูถูกใครหรือเห็นสองทีมนี้เป็นพระเจ้าตลอดกาลหรอก มันมีขึ้นมีลงหมด แค่เผอิญว่าตอนนี้เป้นยุคของสองทีมนี้ที่นานเป้นพิเศษเท่านั้น
Reference
https://www.onefootball.com/magazine/david-beckham-barcelona-real-madrid-manchester-united/
http://www.espnfc.com/story/3039927/paul-pogba-turned-down-barcelona-and-real-madrid-for-man-united-move
แสดงความคิดเห็น
มาช่วยกันคิดหน่อย นักเตะคนไหนบ้าง ที่กล้าปฎิเสธ "รีล มาดริด" และ "บาเซโลน่า"
สำหรับผม ขอเสนอชื่อ
รอย คีน เคยปฏิเสธ รีลมาดริด (จากหนังสือของเฟอร์กี้ ไม่ก็ ของรอยคีนเอง คีนเล่าว่าทะเลาะกับนักเตะแมนยู แล้วนักเตะคนนั้นด่าคีนว่า ไม่ภักดีกับแมนยู คีนเลยด่ากลับว่า กูเนี่ยนะ ไม่ภักดีกับแมนยู กูปฏิเสธรีลมาดริดไปนะเฟ้ย)