คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
ขอบคุณ MC WANG JIE (พี่แอ๊ด) ค่ะ ที่ให้เกียรติมาเป็น MC รับเชิญ 


แถมนำสาระความรู้ดีๆ มาฝากพวกเรา
วันก่อนเห็นพี่แอ๊ดเข้ามาเขียนเม้นรวบรวมไล่ประวัติเกี่ยวกับ Bee Gees อย่างละเอียด
ก็นึกว่า ไม่ได้ละ ต้องขอลองเชิญมาช่วยเขียนกระทู้แบ่งปันสาระกับเพื่อนๆ
หลังจากชักแม่น้ำหลายสายอยู่นาน พอพี่แอ๊ดรับปาก (ไม่รู้ถูกบังคับหรือเปล่า 555) ก็ดีใจมากๆ
ขอบคุณ MC พี่แอ๊ดอีกครั้งค่ะ
แทนคำนั้น -- แอน ธิติมา
https://www.youtube.com/watch?v=C0AdMm-vtTM



แถมนำสาระความรู้ดีๆ มาฝากพวกเรา
วันก่อนเห็นพี่แอ๊ดเข้ามาเขียนเม้นรวบรวมไล่ประวัติเกี่ยวกับ Bee Gees อย่างละเอียด
ก็นึกว่า ไม่ได้ละ ต้องขอลองเชิญมาช่วยเขียนกระทู้แบ่งปันสาระกับเพื่อนๆ
หลังจากชักแม่น้ำหลายสายอยู่นาน พอพี่แอ๊ดรับปาก (ไม่รู้ถูกบังคับหรือเปล่า 555) ก็ดีใจมากๆ
ขอบคุณ MC พี่แอ๊ดอีกครั้งค่ะ
แทนคำนั้น -- แอน ธิติมา
https://www.youtube.com/watch?v=C0AdMm-vtTM

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
เคยลงบทความของ page นี้เกี่ยวกับสงครามจีน (ต้าชิง) กับพม่า ยุคเริ่มกรุงธนบุรี
ตอนนี้เป็นตอนล่าสุดตอนจบของสงครามที่มีส่วนในการกอบกู้เอกราชของเราคนับ
copy มาจาก
https://th-th.facebook.com/AsianStudiesTH/
"สงครามต้าชิง-คองบองครั้งที่สี่ : บทสรุปของความขัดแย้งระหว่างพญามังกรและหงสาแห่งอาคเนย์ทิศ"

หลังจากเขียน "สงครามต้าชิง-คองบอง" ตอนที่สามเอาไว้ตั้งแต่ปี 2014 หรือสามปีที่แล้ว ก็ค้างไว้อย่างนั้น เพราะผู้เขียนมีภารกิอจและมรสุมในชีวิตค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะต้องเตรียมตัวสอบจอหงวนด้วย อันนี้ประเด็นใหญ่ครับ ฮ่าๆ
ตอนนี้ผู้เขียนทำความฝันส่วนตัวสำเร็จ ได้เป็นจอหงวนสมความมุ่งมาดปรารถนาแล้ว
เลยตั้งใจจะ "ปิดจ็อบ" มหากาพย์สงครามต้าชิง-คองบอง หรือสงครามระหว่างจีนราชวงศ์ชิง กับพม่าราชวงศ์คองบอง
ผู้เคยพิชิตกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ.2310 ให้จบเสีย
เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ไปติดตามสงครามต้าชิง-คองบอง ตอนที่ 4 กันเลยครับ
ในขณะที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงกำลังหลงใหลได้ปลื้มกับข่าวชัยชนะของราชบุตรเขยหมิงรุ่ย แม่ทัพใหญ่ที่นำกองทัพต้าชิงไป "ปราบ" อาณาจักรอังวะอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดที่ทรงมีพระราชดำริที่จะวางแผนจัดรูปแบบการปกครองดินแดนพม่าใหม่หลังจากต้าชิงสามารถยึดครองโดยเด็ดขาดแล้วนั้น ข่าวความพ่ายแพ้ย่อยยับ และการอัตวินิบาตกรรมของราชบุตรเขยก็ถูกส่งมาถึงพระองค์
ข่าวนี้เปรียบได้กับอสนีบาตยามแล้งที่ฟาดใส่พระทัยของเฉียนหลงอย่างรุนแรง
หลังจากที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงทราบข่าวความพ่ายแพ้ของราชบุตรเขยหมิงรุ่ยแล้วก็ทรงตกพระทัยยิ่ง เวลานี้เหล่าแม่ทัพขุนศึกที่พอจะพึ่งพาได้ก็เหลือไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่ก็อายุมาก แก่ชราหมดแล้ว แม่ทัพรุ่นใหม่ก็ยังอ่อนประสบการณ์ ในที่สุดจึงต้องทรงมีรับสั่งเรียกตัวองคมนตรีฟู่เหิง(傅恒) ซึ่งเป็นลุงของหมิงรุ่ย และเป็นบิดาของฝูคังอัน นายพลหนุ่มคนโปรดของฮ่องเต้เฉียนหลง(โปรดปรานมากไม่แพ้เหอเซินจนมีเสียงลือกันว่า แท้จริงฝูคังอันเป็น "โอรสลับ" ของเฉียนหลง) ผู้เคยมีประสบการณ์ในการรบกับจุนก่าเอ๋อแห่งมองโกล พร้อมด้วยแม่ทัพนายกองผู้เก่งกล้าชาวแมนจูอีกหลายนาย เช่น อากุ้ย(阿桂) เสนาบดีกรมกลาโหม อาหลีกุ่น(阿里衮) ซูเฮ่อเต๋อ(舒赫德) รวมทั้งเอ้อหนิง(鄂宁) สมุหเทศาภิบาลมณฑลยูนนานและกุ้ยโจว(云贵总督) ให้ตระเตรียมการยกทัพเข้าโจมตีพม่าเป็นครั้งที่สี่ โดยอาศัยกำลังทั้งจากทหารแปดกองธง รวมทั้งทหารชาวฮั่นจากมณฑลฝูเจี้ยนและกุ้ยโจว
ในปีรัชศกเฉียนหลงที่ 33 (ค.ศ.1768) เดือน 4 ซูเฮ่อเต๋อและเอ้อหนิงร่วมกันถวายฎีกาต่อฮ่องเต้เฉียนหลง กล่าวถึง "ความยาก 5 ประการ" ของการทำศึกกับพม่า ได้แก่
ความยากข้อที่ 1 เรื่องยุทธวิธีการรบของทหารม้า (办马) ทหารต้าชิงถนัดการทำศึกกลางทะเลทรายโดยใช้ม้า แต่เมื่อไปรบในแดนพม่า กลับไม่สามารถเปล่งอานุภาพในด้านนี้ เพราะข้อจำกัดด้านภูมิประเทศที่ไม่เหมือนกับทางเหนือ
ความยากข้อที่ 2 เรื่องการจัดหาเสบียงเลี้ยงกองทัพ (办粮) การเคลื่อนพลแต่ละครั้ง ต้องสิ้นเปลืองเสบียง(เลี้ยงทหาร)หญ้าม้า(เลี้ยงม้าศึก) ในแต่ละเดือนคิดเป็นปริมาณมหาศาล เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ เปลืองทรัพยากรของชาติอย่างมาก
ความยากข้อที่ 3 เรื่องการเคลื่อนพลตั้งทัพ (行军) พื้นที่แถบหย่งชาง (บริเวณทางตะวันตกของมณฑลยูนนาน ติดกับพม่า) ภูมิประเทศซับซ้อน เส้นทางวกวน ยากต่อการเคลื่อนทัพใหญ่
ความยากข้อที่ 4 เรื่องการส่งกำลังบำรุง (转运) ทำได้ยากยิ่ง เพราะเส้นทางคับขัน และต้องขนส่งยุทธสัมภาระครั้งละปริมาณมาก
ความยากข้อที่ 5 เรื่องของลมฟ้าอากาศ (气候) ที่แปรปรวนและผิดแผกกับทางเหนือ ทหารต้าชิงซึ่งไม่คุ้นชินกับภูมิอากาศเช่นนี้พากันเจ็บป่วยล้มตายเป็นอันมาก
ดังนั้นแล้ว คนทั้งสองจึงเสนอให้ใช้ "การเจรจา" กับพม่าจะดีกว่า
ทว่าฮ่องเต้เฉียนหลงไม่ทรบรับฟังข้อเสนอนี้ ทั้งยังทรงตำหนิทั้งสองคนอย่างรุนแรงด้วย
ปีต่อมาคือรัชศกเฉียนหลงปีที่ 34 (ค.ศ.1769) เดือนยี่ ฟู่เหิงตระเตรียมการพร้อมสรรพ ฮ่องเต้โปรดให้เขาเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงใหญ่ (ตำหนักไท่เหอ 太和殿) กราบทูลรายงานแผนการรบที่เตรียมไว้ เดือนสี่ เคลื่อนทัพสู่หย่งชาง
นอกจากนี้ เฉียนหลงยังโปรดให้มีการติดต่อทางการทูตกับสยาม เพื่อชักชวนให้เป็นพันธมิตร ร่วมกันยกทัพตีกระหนาบพม่า ซึ่งฝ่ายสยาม(สมเด็จพระเจ้าตากสิน)ก็ได้ตอบรับ เพื่อหวังให้ต้าชิงมีความมั่นใจและเร่งยกทัพเข้าโจมตีพม่า
หลังจากเคลื่อนพลข้ามแม่น้ำจินซาเจียง (金沙江 คือแม่น้ำอิระวดี) ฟู่เหิงก็ให้แบ่งกำลังเข้าโจมตีเมืองเมิ่งก่ง(孟拱) เมิ่งหย่าง (孟养) เมิ่งมี่ (孟密) รวมทั้งนำทัพเรือฝูโจวล่องลำน้ำอิระวดี เข้าระดมโจมตีดินแดนพม่าอยากหนัก รวมกำลังพลทั้งสิ้นกว่า 6 หมื่นคน
ฝ่ายพม่านั้น พระเจ้ามังระโปรดให้มหาสีหะสุระ (อะแซหวุ่นกี้) เป็นแม่ทัพใหญ่ มีพลามินดิน ผู้เคยมีประสบการณ์รบกับต้าชิงในการศึกครั้งที่สองกับสามเป็นผู้ช่วย โดยยุทธศาสตร์หลักของพม่าคือ ต้องยันทัพชิงเอาไว้ที่ชายแดน ไม่ให้รุกลึกเข้ามาในแดนพม่าได้อีก
นอกจากนี้ ฝ่ายพม่ายังเตรียมกองทัพเรือเพื่อสู้ศึกกับราชนาวีต้าชิง ทั้งยังมีกองทหารปืนใหญ่ที่นำโดยนายพลชาวฝรั่งเศส (Pierre de Milard) อีกด้วย
เมื่อเตรียมการพร้อมสรรพ มหาสีหะสุระก็เคลื่อนพลทางเรือล่องตามลำน้ำอิระวดีสู่เมืองภามอ ซึ่งเป็นจุดยุทธภูมิที่พม่าวางแผนยันทัพต้าชิงไว้ที่นี่ทันที
เดือนสิงหาคม ทัพของฟู่เหิงข้ามแม่น้ำอิระวดี เข้าโจมตีเมืองต่างๆ(ตามที่กล่าวไปข้างต้น)อย่างดุเดือด ทหารพม่าล่าถอยกระจายกำลังกันออกไป ทัพของฟู่เหิงต้องถลำลึกเข้ามากว่าสองพันลี้
เวลานั้นเอง กองทัพต้าชิงก็เริ่มเผชิญปัญหาทั้งความเจ็บป่วย และความยากลำบากในการเคลื่อนทัพ เนื่องจากเวลานั้นเป็นช่วงฤดูฝน มีฝนตกชุก เส้นทางส่วนใหญ่ซึ่งเป็นป่าเขาลำเนาไพร เมื่อฝนกตกชุกย่อมเต็มไปด้วยโคลนเลน ม้าศึกแลม้าต่างสัมภาระเดินทางได้อย่างยากลำบาก ซ้ำร้ายฝนชุกในป่าเขาเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดโรคระบาดต่างๆ โดยเฉพาะมาเลเรียตามมา
ด้านทัพเรือต้าชิงที่นำโดยอาหลีกุ่นกับอากุ้ยก็สู้รบกับทัพพม่าตามจุดต่างๆในแถบลุ่มอิระวดีอย่างต่อเนื่อง เดือนกันยายน ทัพชิงระมยิงปืนใหญ่จมเรือรบพม่าไปได้ 13 ลำ ทำให้ทัพเรือต้าชิงฮึกเหิม เร่งรุดบุกตะลุยไม่หยุดยั้ง
แต่ขณะเดียวกัน ทัพบกต้าชิงที่นำโดยฟู่เหิง ซึ่งเคลื่อนพลมาตามฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอิระวดี กลับเคบื่อนไปได้อย่างยากลำบาก เพราะเผชิญกับปัญหาสภาพอากาศ ภูมิประเทศ และการต่อต้านของทัพพม่า ถึงต้นเดือนตุลาคม ฟู่เหิงจึงตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง ยกทัพข้ามแม่น้ำอิระวดีไปทางฝั่งตะวันออก
วันที่ 10 ตุลาคม สองทัพปะทะกันที่ซินเจีย (新街) ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี โดยทัพเรือเป็นฝ่ายปะทะกันก่อน กองเรือพม่าล่าถอยลงไปทางใต่ ยึดสันดอนทรายเป็นที่มั่นต้านทัพเรือต้าชิง จากนั้นหันกลับมาสู้รบกับทัพเรือต้าชิงอย่างดุเดือด ในทึ่สุดก็สังหารทหารชิงไปสองพันกว่านาย จมเรือรบไปได้หกลำ
อาหลีกุ่นนำทัพม้าเการะกองธงขาวเก้าร้อยกว่านายเข้าปะทะกับทัพพม่าอย่างดุเดือด สังหารข้าศึกไปพันห้าร้อยกว่าคน
หลังการปะทะกันครั้งนี้ ทัพพม่าล่าถอยลงใต้ไปหลายสิบลี้ ทัพชิงเข้าครองซินเจียได้
วันที่ 20 ตุลาคม กองทัพต้าชิงเข้าโจมตีเมืองเหล่ากวนถุน (คือเมือง Kaungton ของพม่า) ทหารรักษาเมือง และทัพเรือพม่าที่ตั้งทัพอยู่บริเวณใกล้เคียงรวมกำลังต้านทานทัพต้าชิงอย่างเหนียวแน่น สองฝ่ายยันกันไม่รู้ผลแพ้ชนะ
ถึงเวลานั้นเอง น้ำในแม่น้ำอิระวดีเริ่มแห้งขอด ทัพเรือต้าชิงติดสันดอนทราย ไม่อาจเคลื่อนที่ได้ ทัพบกต้าชิงซึ่งตั้งค่ายบนเขาก็ถูกกองทัพพม่าปิดล้อม สองวันต่อมา ทัพชิงแบ่งกำลังเข้าโจมตีทัพพม่าเพื่อฝ่าลงใต้ไปให้ได้
ทหารพม่าใช้ยุทธวิธีขุดหลุมในค่ายลึกกว่าสามชุ่น ให้ทหารลงไปซ่อนตัวในหลุมเพื่อหลบกระสุนปืนใหญ่ทัพชิง และเพื่อพรางตาไม่ให้ทหารชิงล่วงรู้ขุมกำลังแท้จริงของตน ทหารสอดแนมของต้าชิงซึ่งปีนต้นไม้ขึ้นไปสอดแนมการวางกำลังในค่ายพม่า มองเห็นทหารพม่ามีไม่มากนักก็รีบกลับมารายงานโดยเร็ว
ฟู่เหิงปรึกษากับเหล่าแม่ทัพแล้วก็ตัดสินใจทุ่มกำลังเข้าตีค่ายพม่าอย่างดุเดือดทันที ทันใดนั้นเอง ขณะที่ทัพชิงถลำเข้าไปในค่าย ทัพพม่าที่ซุ่มอยู่ก็ปรากฎตัวขึ้นแล้วระดมยิงปืนคาบศิลาแลปืนใหญ่ใส่ทัพต้าชิงอย่างรุนแรง ทหารต้าชิงล่าถอยไม่เป็นกระบวน เต๋อฝู (德福) รองแม่ทัพของต้าชิงถูกยิงตกจากหลังม้าเสียชีวิต วันเดียวกันนั้ัน ทัพเรือสองฝ่ายก็ปะทะกัน ต้าชิงเสียเรือรบไปหลายลำ
กองทัพต้าชิงพยายามใช้ปืนใหญ่ระดมยิงทัพพม่าอย่างดุเดือด แต่ก็ไม่อาจทำลายทัพพม่าลงได้
วันที่ 26 ตุลาคม ทัพเรือต้าชิงยึดที่มั่นสันดอนทรายฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอิระวดี ต่อสู้กับทัพเรือพม่าซึ่งตั้งทัพอยู่ฝั่งตะวันออกอย่างดุเดือด จมเรือรบพม่าไปสองลำ จับทหารพม่าเป็นเชลยได้ 11 คน กระนั้นก็ยังไม่อาจทำให้ทัพพม่าล่าถอยไปได้
วันที่ 29 ทัพบกต้าชิงบุกตะลุยตีหักแนวรบของฝ่ายพม่าอีกระลอก แต่ไม่สำเร็จ
ต้นเดือนพฤศจิกายน ทัพหนุนของพม่าเคลื่อนพลมาทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอิระวดี เข้าโจมตีทัพเรือต้าชิงที่ตั้งทัพอยู่ฝั่งนั้น บีบให้ทัพเรือต้าชิงซึ่งอ่อนล้าเต็มทีล่าถอย ทัพเรือพม่าทางฝั่งตะวันออกเห็นได้ทีก็เข้าตีกระหนาบ
ฟู่เหิงเห็นดังนั้น จึงนำกำลังส่วนใหญ่เข้ารับมือกับทัพหนุนจากอังวะ ทิ้งทหารจำนวนน้อยล้อมเมืองไว้
สองฝ่ายปะทะกันอย่างต่อเนื่องจนอ่อนแรงเหนื่อยล้า
วันที่ 9 พฤศจิกายน ทหารพม่าส่งทูตมาขอเจรจาพักรบชั่วคราว ฟู่เหิงเห็นเป็นโอกาสที่จะรบแตกหักกับพม่า แต่อาหลีกุ่นและเหล่าขุนพลไม่เห็นด้วย เพราะพวกเขาก็เหนื่อยล้าเต็มทีเช่นกัน ฟู่เหิงจึงตัดสินใจยอมพักรบ
ถึงเวลานั้น กองทัพต้าชิงได้รับความเสียหายหนัก ตลอดการสู้รบที่ผ่านมา ทหารกว่าสามหมื่นนายเสียชีวิตเพราะการเจ็บป่วย นายทหารคนสำคัญทั้งเย่เซียงเต๋อ (叶相德) ก็ล้มป่วยถึงแก่ความตายในสงครามนี้ ตัวฟู่เหิงกับอาหลีกุ่นผู้เป็นแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพใหญ่ก็เป็นไข้มาเลเรีย (และถึงแก่อสัญกรรมในเวลาต่อมาทั้งคู่)
วันที่ 16 พฤศจิกยาน สองฝ่ายจึงเริ่มเปิดการเจรจาสงบศึกกัน เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเห็นแล้วว่า การทำศึกยืดเยื้อต่อไปไม่เป็นผลดี
การเจรจาบรรลุผลในเดือนกรกฎกาคม รัชศกเฉียนหลงปีที่ 35 (ค.ศ.1770) ทัพชิงเคลื่อนทัพกลับปักกิ่ง ฟู่เหิงแม่ทัพใหญ่ซึ่งป่วยหนักอยู่ในขณะนั้นไม่นานก็ถึงแก่อสัญกรรม
สงครามต้าชิง-คองบอง ก็ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์ด้วยประการฉะนี้
แอดมินเนย
ตอนนี้เป็นตอนล่าสุดตอนจบของสงครามที่มีส่วนในการกอบกู้เอกราชของเราคนับ
copy มาจาก
https://th-th.facebook.com/AsianStudiesTH/
"สงครามต้าชิง-คองบองครั้งที่สี่ : บทสรุปของความขัดแย้งระหว่างพญามังกรและหงสาแห่งอาคเนย์ทิศ"

หลังจากเขียน "สงครามต้าชิง-คองบอง" ตอนที่สามเอาไว้ตั้งแต่ปี 2014 หรือสามปีที่แล้ว ก็ค้างไว้อย่างนั้น เพราะผู้เขียนมีภารกิอจและมรสุมในชีวิตค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะต้องเตรียมตัวสอบจอหงวนด้วย อันนี้ประเด็นใหญ่ครับ ฮ่าๆ
ตอนนี้ผู้เขียนทำความฝันส่วนตัวสำเร็จ ได้เป็นจอหงวนสมความมุ่งมาดปรารถนาแล้ว
เลยตั้งใจจะ "ปิดจ็อบ" มหากาพย์สงครามต้าชิง-คองบอง หรือสงครามระหว่างจีนราชวงศ์ชิง กับพม่าราชวงศ์คองบอง
ผู้เคยพิชิตกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ.2310 ให้จบเสีย
เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ไปติดตามสงครามต้าชิง-คองบอง ตอนที่ 4 กันเลยครับ
ในขณะที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงกำลังหลงใหลได้ปลื้มกับข่าวชัยชนะของราชบุตรเขยหมิงรุ่ย แม่ทัพใหญ่ที่นำกองทัพต้าชิงไป "ปราบ" อาณาจักรอังวะอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดที่ทรงมีพระราชดำริที่จะวางแผนจัดรูปแบบการปกครองดินแดนพม่าใหม่หลังจากต้าชิงสามารถยึดครองโดยเด็ดขาดแล้วนั้น ข่าวความพ่ายแพ้ย่อยยับ และการอัตวินิบาตกรรมของราชบุตรเขยก็ถูกส่งมาถึงพระองค์
ข่าวนี้เปรียบได้กับอสนีบาตยามแล้งที่ฟาดใส่พระทัยของเฉียนหลงอย่างรุนแรง
หลังจากที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงทราบข่าวความพ่ายแพ้ของราชบุตรเขยหมิงรุ่ยแล้วก็ทรงตกพระทัยยิ่ง เวลานี้เหล่าแม่ทัพขุนศึกที่พอจะพึ่งพาได้ก็เหลือไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่ก็อายุมาก แก่ชราหมดแล้ว แม่ทัพรุ่นใหม่ก็ยังอ่อนประสบการณ์ ในที่สุดจึงต้องทรงมีรับสั่งเรียกตัวองคมนตรีฟู่เหิง(傅恒) ซึ่งเป็นลุงของหมิงรุ่ย และเป็นบิดาของฝูคังอัน นายพลหนุ่มคนโปรดของฮ่องเต้เฉียนหลง(โปรดปรานมากไม่แพ้เหอเซินจนมีเสียงลือกันว่า แท้จริงฝูคังอันเป็น "โอรสลับ" ของเฉียนหลง) ผู้เคยมีประสบการณ์ในการรบกับจุนก่าเอ๋อแห่งมองโกล พร้อมด้วยแม่ทัพนายกองผู้เก่งกล้าชาวแมนจูอีกหลายนาย เช่น อากุ้ย(阿桂) เสนาบดีกรมกลาโหม อาหลีกุ่น(阿里衮) ซูเฮ่อเต๋อ(舒赫德) รวมทั้งเอ้อหนิง(鄂宁) สมุหเทศาภิบาลมณฑลยูนนานและกุ้ยโจว(云贵总督) ให้ตระเตรียมการยกทัพเข้าโจมตีพม่าเป็นครั้งที่สี่ โดยอาศัยกำลังทั้งจากทหารแปดกองธง รวมทั้งทหารชาวฮั่นจากมณฑลฝูเจี้ยนและกุ้ยโจว
ในปีรัชศกเฉียนหลงที่ 33 (ค.ศ.1768) เดือน 4 ซูเฮ่อเต๋อและเอ้อหนิงร่วมกันถวายฎีกาต่อฮ่องเต้เฉียนหลง กล่าวถึง "ความยาก 5 ประการ" ของการทำศึกกับพม่า ได้แก่
ความยากข้อที่ 1 เรื่องยุทธวิธีการรบของทหารม้า (办马) ทหารต้าชิงถนัดการทำศึกกลางทะเลทรายโดยใช้ม้า แต่เมื่อไปรบในแดนพม่า กลับไม่สามารถเปล่งอานุภาพในด้านนี้ เพราะข้อจำกัดด้านภูมิประเทศที่ไม่เหมือนกับทางเหนือ
ความยากข้อที่ 2 เรื่องการจัดหาเสบียงเลี้ยงกองทัพ (办粮) การเคลื่อนพลแต่ละครั้ง ต้องสิ้นเปลืองเสบียง(เลี้ยงทหาร)หญ้าม้า(เลี้ยงม้าศึก) ในแต่ละเดือนคิดเป็นปริมาณมหาศาล เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ เปลืองทรัพยากรของชาติอย่างมาก
ความยากข้อที่ 3 เรื่องการเคลื่อนพลตั้งทัพ (行军) พื้นที่แถบหย่งชาง (บริเวณทางตะวันตกของมณฑลยูนนาน ติดกับพม่า) ภูมิประเทศซับซ้อน เส้นทางวกวน ยากต่อการเคลื่อนทัพใหญ่
ความยากข้อที่ 4 เรื่องการส่งกำลังบำรุง (转运) ทำได้ยากยิ่ง เพราะเส้นทางคับขัน และต้องขนส่งยุทธสัมภาระครั้งละปริมาณมาก
ความยากข้อที่ 5 เรื่องของลมฟ้าอากาศ (气候) ที่แปรปรวนและผิดแผกกับทางเหนือ ทหารต้าชิงซึ่งไม่คุ้นชินกับภูมิอากาศเช่นนี้พากันเจ็บป่วยล้มตายเป็นอันมาก
ดังนั้นแล้ว คนทั้งสองจึงเสนอให้ใช้ "การเจรจา" กับพม่าจะดีกว่า
ทว่าฮ่องเต้เฉียนหลงไม่ทรบรับฟังข้อเสนอนี้ ทั้งยังทรงตำหนิทั้งสองคนอย่างรุนแรงด้วย
ปีต่อมาคือรัชศกเฉียนหลงปีที่ 34 (ค.ศ.1769) เดือนยี่ ฟู่เหิงตระเตรียมการพร้อมสรรพ ฮ่องเต้โปรดให้เขาเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงใหญ่ (ตำหนักไท่เหอ 太和殿) กราบทูลรายงานแผนการรบที่เตรียมไว้ เดือนสี่ เคลื่อนทัพสู่หย่งชาง
นอกจากนี้ เฉียนหลงยังโปรดให้มีการติดต่อทางการทูตกับสยาม เพื่อชักชวนให้เป็นพันธมิตร ร่วมกันยกทัพตีกระหนาบพม่า ซึ่งฝ่ายสยาม(สมเด็จพระเจ้าตากสิน)ก็ได้ตอบรับ เพื่อหวังให้ต้าชิงมีความมั่นใจและเร่งยกทัพเข้าโจมตีพม่า
หลังจากเคลื่อนพลข้ามแม่น้ำจินซาเจียง (金沙江 คือแม่น้ำอิระวดี) ฟู่เหิงก็ให้แบ่งกำลังเข้าโจมตีเมืองเมิ่งก่ง(孟拱) เมิ่งหย่าง (孟养) เมิ่งมี่ (孟密) รวมทั้งนำทัพเรือฝูโจวล่องลำน้ำอิระวดี เข้าระดมโจมตีดินแดนพม่าอยากหนัก รวมกำลังพลทั้งสิ้นกว่า 6 หมื่นคน
ฝ่ายพม่านั้น พระเจ้ามังระโปรดให้มหาสีหะสุระ (อะแซหวุ่นกี้) เป็นแม่ทัพใหญ่ มีพลามินดิน ผู้เคยมีประสบการณ์รบกับต้าชิงในการศึกครั้งที่สองกับสามเป็นผู้ช่วย โดยยุทธศาสตร์หลักของพม่าคือ ต้องยันทัพชิงเอาไว้ที่ชายแดน ไม่ให้รุกลึกเข้ามาในแดนพม่าได้อีก
นอกจากนี้ ฝ่ายพม่ายังเตรียมกองทัพเรือเพื่อสู้ศึกกับราชนาวีต้าชิง ทั้งยังมีกองทหารปืนใหญ่ที่นำโดยนายพลชาวฝรั่งเศส (Pierre de Milard) อีกด้วย
เมื่อเตรียมการพร้อมสรรพ มหาสีหะสุระก็เคลื่อนพลทางเรือล่องตามลำน้ำอิระวดีสู่เมืองภามอ ซึ่งเป็นจุดยุทธภูมิที่พม่าวางแผนยันทัพต้าชิงไว้ที่นี่ทันที
เดือนสิงหาคม ทัพของฟู่เหิงข้ามแม่น้ำอิระวดี เข้าโจมตีเมืองต่างๆ(ตามที่กล่าวไปข้างต้น)อย่างดุเดือด ทหารพม่าล่าถอยกระจายกำลังกันออกไป ทัพของฟู่เหิงต้องถลำลึกเข้ามากว่าสองพันลี้
เวลานั้นเอง กองทัพต้าชิงก็เริ่มเผชิญปัญหาทั้งความเจ็บป่วย และความยากลำบากในการเคลื่อนทัพ เนื่องจากเวลานั้นเป็นช่วงฤดูฝน มีฝนตกชุก เส้นทางส่วนใหญ่ซึ่งเป็นป่าเขาลำเนาไพร เมื่อฝนกตกชุกย่อมเต็มไปด้วยโคลนเลน ม้าศึกแลม้าต่างสัมภาระเดินทางได้อย่างยากลำบาก ซ้ำร้ายฝนชุกในป่าเขาเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดโรคระบาดต่างๆ โดยเฉพาะมาเลเรียตามมา
ด้านทัพเรือต้าชิงที่นำโดยอาหลีกุ่นกับอากุ้ยก็สู้รบกับทัพพม่าตามจุดต่างๆในแถบลุ่มอิระวดีอย่างต่อเนื่อง เดือนกันยายน ทัพชิงระมยิงปืนใหญ่จมเรือรบพม่าไปได้ 13 ลำ ทำให้ทัพเรือต้าชิงฮึกเหิม เร่งรุดบุกตะลุยไม่หยุดยั้ง
แต่ขณะเดียวกัน ทัพบกต้าชิงที่นำโดยฟู่เหิง ซึ่งเคลื่อนพลมาตามฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอิระวดี กลับเคบื่อนไปได้อย่างยากลำบาก เพราะเผชิญกับปัญหาสภาพอากาศ ภูมิประเทศ และการต่อต้านของทัพพม่า ถึงต้นเดือนตุลาคม ฟู่เหิงจึงตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง ยกทัพข้ามแม่น้ำอิระวดีไปทางฝั่งตะวันออก
วันที่ 10 ตุลาคม สองทัพปะทะกันที่ซินเจีย (新街) ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี โดยทัพเรือเป็นฝ่ายปะทะกันก่อน กองเรือพม่าล่าถอยลงไปทางใต่ ยึดสันดอนทรายเป็นที่มั่นต้านทัพเรือต้าชิง จากนั้นหันกลับมาสู้รบกับทัพเรือต้าชิงอย่างดุเดือด ในทึ่สุดก็สังหารทหารชิงไปสองพันกว่านาย จมเรือรบไปได้หกลำ
อาหลีกุ่นนำทัพม้าเการะกองธงขาวเก้าร้อยกว่านายเข้าปะทะกับทัพพม่าอย่างดุเดือด สังหารข้าศึกไปพันห้าร้อยกว่าคน
หลังการปะทะกันครั้งนี้ ทัพพม่าล่าถอยลงใต้ไปหลายสิบลี้ ทัพชิงเข้าครองซินเจียได้
วันที่ 20 ตุลาคม กองทัพต้าชิงเข้าโจมตีเมืองเหล่ากวนถุน (คือเมือง Kaungton ของพม่า) ทหารรักษาเมือง และทัพเรือพม่าที่ตั้งทัพอยู่บริเวณใกล้เคียงรวมกำลังต้านทานทัพต้าชิงอย่างเหนียวแน่น สองฝ่ายยันกันไม่รู้ผลแพ้ชนะ
ถึงเวลานั้นเอง น้ำในแม่น้ำอิระวดีเริ่มแห้งขอด ทัพเรือต้าชิงติดสันดอนทราย ไม่อาจเคลื่อนที่ได้ ทัพบกต้าชิงซึ่งตั้งค่ายบนเขาก็ถูกกองทัพพม่าปิดล้อม สองวันต่อมา ทัพชิงแบ่งกำลังเข้าโจมตีทัพพม่าเพื่อฝ่าลงใต้ไปให้ได้
ทหารพม่าใช้ยุทธวิธีขุดหลุมในค่ายลึกกว่าสามชุ่น ให้ทหารลงไปซ่อนตัวในหลุมเพื่อหลบกระสุนปืนใหญ่ทัพชิง และเพื่อพรางตาไม่ให้ทหารชิงล่วงรู้ขุมกำลังแท้จริงของตน ทหารสอดแนมของต้าชิงซึ่งปีนต้นไม้ขึ้นไปสอดแนมการวางกำลังในค่ายพม่า มองเห็นทหารพม่ามีไม่มากนักก็รีบกลับมารายงานโดยเร็ว
ฟู่เหิงปรึกษากับเหล่าแม่ทัพแล้วก็ตัดสินใจทุ่มกำลังเข้าตีค่ายพม่าอย่างดุเดือดทันที ทันใดนั้นเอง ขณะที่ทัพชิงถลำเข้าไปในค่าย ทัพพม่าที่ซุ่มอยู่ก็ปรากฎตัวขึ้นแล้วระดมยิงปืนคาบศิลาแลปืนใหญ่ใส่ทัพต้าชิงอย่างรุนแรง ทหารต้าชิงล่าถอยไม่เป็นกระบวน เต๋อฝู (德福) รองแม่ทัพของต้าชิงถูกยิงตกจากหลังม้าเสียชีวิต วันเดียวกันนั้ัน ทัพเรือสองฝ่ายก็ปะทะกัน ต้าชิงเสียเรือรบไปหลายลำ
กองทัพต้าชิงพยายามใช้ปืนใหญ่ระดมยิงทัพพม่าอย่างดุเดือด แต่ก็ไม่อาจทำลายทัพพม่าลงได้
วันที่ 26 ตุลาคม ทัพเรือต้าชิงยึดที่มั่นสันดอนทรายฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอิระวดี ต่อสู้กับทัพเรือพม่าซึ่งตั้งทัพอยู่ฝั่งตะวันออกอย่างดุเดือด จมเรือรบพม่าไปสองลำ จับทหารพม่าเป็นเชลยได้ 11 คน กระนั้นก็ยังไม่อาจทำให้ทัพพม่าล่าถอยไปได้
วันที่ 29 ทัพบกต้าชิงบุกตะลุยตีหักแนวรบของฝ่ายพม่าอีกระลอก แต่ไม่สำเร็จ
ต้นเดือนพฤศจิกายน ทัพหนุนของพม่าเคลื่อนพลมาทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอิระวดี เข้าโจมตีทัพเรือต้าชิงที่ตั้งทัพอยู่ฝั่งนั้น บีบให้ทัพเรือต้าชิงซึ่งอ่อนล้าเต็มทีล่าถอย ทัพเรือพม่าทางฝั่งตะวันออกเห็นได้ทีก็เข้าตีกระหนาบ
ฟู่เหิงเห็นดังนั้น จึงนำกำลังส่วนใหญ่เข้ารับมือกับทัพหนุนจากอังวะ ทิ้งทหารจำนวนน้อยล้อมเมืองไว้
สองฝ่ายปะทะกันอย่างต่อเนื่องจนอ่อนแรงเหนื่อยล้า
วันที่ 9 พฤศจิกายน ทหารพม่าส่งทูตมาขอเจรจาพักรบชั่วคราว ฟู่เหิงเห็นเป็นโอกาสที่จะรบแตกหักกับพม่า แต่อาหลีกุ่นและเหล่าขุนพลไม่เห็นด้วย เพราะพวกเขาก็เหนื่อยล้าเต็มทีเช่นกัน ฟู่เหิงจึงตัดสินใจยอมพักรบ
ถึงเวลานั้น กองทัพต้าชิงได้รับความเสียหายหนัก ตลอดการสู้รบที่ผ่านมา ทหารกว่าสามหมื่นนายเสียชีวิตเพราะการเจ็บป่วย นายทหารคนสำคัญทั้งเย่เซียงเต๋อ (叶相德) ก็ล้มป่วยถึงแก่ความตายในสงครามนี้ ตัวฟู่เหิงกับอาหลีกุ่นผู้เป็นแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพใหญ่ก็เป็นไข้มาเลเรีย (และถึงแก่อสัญกรรมในเวลาต่อมาทั้งคู่)
วันที่ 16 พฤศจิกยาน สองฝ่ายจึงเริ่มเปิดการเจรจาสงบศึกกัน เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเห็นแล้วว่า การทำศึกยืดเยื้อต่อไปไม่เป็นผลดี
การเจรจาบรรลุผลในเดือนกรกฎกาคม รัชศกเฉียนหลงปีที่ 35 (ค.ศ.1770) ทัพชิงเคลื่อนทัพกลับปักกิ่ง ฟู่เหิงแม่ทัพใหญ่ซึ่งป่วยหนักอยู่ในขณะนั้นไม่นานก็ถึงแก่อสัญกรรม
สงครามต้าชิง-คองบอง ก็ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์ด้วยประการฉะนี้
แอดมินเนย

แสดงความคิดเห็น
ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม...มีแต่เสียง 24/04/2017 - คนบาปในคราบนักบุญ
วันนี้ ผมปลาบปลื้มมาก ที่ได้รับเกียรติให้มาทำหน้าที่เป็น MC (ตอนนี้รู้ความหมายแระ
เรื่องที่ผมเตรียมมาวันนี้ เป็นเรื่องราวของ นักบวชนอกรีตนอกรอยคนหนึ่งในประเทศรัสเซียสมัยพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ซึ่งเป็นซาร์พระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โรมานอฟ อันเป็นราชวงศ์สุดท้ายด้วยเช่นกัน ก่อนการล่มสลาย และรัสเซียเกิดการปฏิวัติ.....นั่นคือ รัสปูติน (RASPUTIN)
ก่อนที่พระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ 2 แห่งราชวงศ์โรมานอฟขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงมีผู้คอยให้กำลังใจข้างกายเสมอ คือเจ้าหญิงเยอรมันผู้เลอโฉม พระนามว่า อเล็กซานดรา เฟโดรอฟนา ปี ค.ศ. 1896 นิโคลาส และอเล็กซานดรา ทรงราชาภิเษกขึ้นเป็นซาร์และซานินา ปกครองอาณาจักรรัสเซียอันไพศาล พิธีราชาภิเษกนั้นจัดอย่างยิ่งใหญ่ดั่งเทพนิยาย เสียงกึกก้องกัมปนาทด้วยเสียงปืนใหญ่ ขบวนแห่สู่พระราชวังเคลมลินด้วยเหล่าทหารองครักษ์นับพัน มีการดื่มฉลองกันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ก็มีเหตุอันเป็นลางร้ายเกิดขึ้น
ในวันนั้นมีการแจกเบียร์และขนมปังฟรี ช่วงนั้นรัสเซียยากจนข้นแค้นขนาดหนัก ประชาชนก็เลยแย่งของแจกอย่างชุลมุน กลายเป็นจลาจล ราษฏรทั้งชายหญิงเหยียบกันตายรวททั้งเด็กๆก็โดนเหยียบตายไปด้วยรวมกว่าพันคน! ลางร้ายนี้นับเป็นการเริ่มต้นรัชกาลใหม่ที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง และตามหลอกหลอนสมาชิกราชวงศ์ทุกพระองค์นับตั้งแต่บัดนั้น
สิ่งปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของซาร์คือการมีเจ้าชายรัชทายาทผู้ที่จะเป็นประมุขคนต่อไป แต่เหมือนสวรรค์ล่มเพราะองค์กลับได้แต่พระราชธิดาถึง 4 พระองค์ นับตั้งแต่ โอลก้า ทาเทียน่า มาเรีย และ อนาสตาเซีย ถึงกระนั้น ซาร์และซาริน่าก็ไม่ทรงละความพยายาม ทั้งสองร่วมกันสวดอ้อนวอนขอพรจากพระเจ้าเพื่อขอให้ได้ลูกชาย จนกระทั่ง ในวันที่ 5 สิงหาคม 1904 พระองค์ก็ได้เจ้าชายรัชทายาทนาม อเล็กไซ นิโคลาวิช โรมานอฟ อย่างสมพระทัย แต่ดั่งฟ้าแกล้ง เมื่อพบว่าเจ้าชายน้อย ทรงมีพลานามัยไม่สมบูรณ์ ประชวรด้วยโรคร้าย ฮีโมฟีเลีย ถ้าทรงเป็นแผล พระโลหิตจะไหลไม่หยุดจนอาจช็อกสิ้นพระชนม์ได้ และโรคนี้ยังไม่มีทางรักษาได้!
ซาร์และอเล็กซานดราต้องทุกข์ระทมต่อไป และทรงปิดเรื่องเจ้าชายเป็นความลับ ห้ามไม่ให้คนในวังล่วงรู้เด็ดขาด ยกเว้นคนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ระหว่างนั้น พระองค์และพระราชินีได้ทรงเสาะแสวงหาหมอฝีมือดีมารักษารัชทายาท ด้วยเหตุนี้ทั้งสองพระองค์เริ่มฝักใฝ่ในศาสนาตลอดจนมนต์วิชาต่างๆ และการเสาะแสวงหานึ้ ได้นำมาซึ่งหายนะในเวลาต่อมา เมื่อได้พบกับ คนบาปในคราบนักบุญ รัสปูติน!
เกรกอริ รัสปูติน เกิดเมื่อ พ.ศ. 2374 (สมัยรัชกาลที่ 3 ของไทย) ในครอบครัวเกษตรกรบ้านนอกของไซบีเรีย ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเมืองโปดรอฟสโก ตอนเป็นหนุ่ม รัสปูตินกระหายที่จะเป็นแบบเกษตรกรผู้ที่ทำงาน ดื่มเหล้าหนัก และเสเพลเรื่องผู้หญิง ขนาดอวัยวะเพศอันผิดมนุษย์มนาของเขา (11 นิ้ว) เป็นที่ชื่นชอบของเด็กสาวๆ ในหมู่บ้าน ซึ่งมาดูเขาเปลือยกายว่ายน้ำในสระเช่นเดียวกับพวกเธอ วันหนึ่ง ไอริน่า แดนิลอฟว่า คูบาชอฟว่า ภรรยาสาวสวยของนายพลรัสเซีย ร่วมกับสาวใช้ 6 คน ร่วมกันล่อลวงเด็กหนุ่มรัสปูตินอายุ 16 ปีไปเสียตัว หลังจากเหตุการณ์ครานั้นแล้ว รัสปูตินจึงเริ่มเที่ยวโสเภณีในหมู่บ้านเกิดของเขา เพราะเสพติดในกามตัณหา, ครั้นอายุ 20 ปี รัสปูตินแต่งงานกับเด็กสาวในท้องถิ่นเดียวกัน ชื่อ ปราสโกเวีย เฟโอ โดรอฟน่า ดูโบรวิน่า และเป็นพ่อของเด็กสี่คน สามคนมีชีวิตอยู่จนเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่าจะแต่งงานแล้ว เขาก็ยังเที่ยวโสเภณีอยู่
จากการได้ร่วมสนุกทางกามารมณ์กับเด็กสาวชาวนาไซบีเรียสามคน ซึ่งเขาได้พบขณะว่ายน้ำเล่นที่ทะเลสาบนั้นเอง นอกจากการเสพติดในกามตัณหาแล้ว ยังได้ชักจูงให้รัสปูตินรู้ถึงความหลายหลากในศาสนา ในราว พ.ศ. 2443 เขาก็ได้ร่วมกับนิกายนอกรีตนอกรอยที่เรียกว่า นิกาย คลิสติ กลุ่มศาสนิกชนผู้ยึดถือในนิกายนี้เชื่อว่า มนุษย์มีบาปมาแต่เริ่มแรก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไถ่บาปในเวลาต่อมา (ด้วยเมถุนสังเวย!) ดังนั้น พวกเขาจึงประกอบพิธีพิสดารและวิตถารหลายอย่างเกี่ยวกับกามารมณ์และการบูชายัญ ผู้คนในหมู่บ้านไม่เห็นด้วยและรังเกียจพฤติกรรมเหล่านี้ของเขา จึงขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ทำให้เขาต้องเร่ร่อนไปทั่วชนบทของรัสเซียนานหลายปี โดยยังคงประกอบการเยียวยารักษาโรคโดยวิธีพลังจิต ในเรื่องฝึกพลังจิตนี้มีเรื่องเล่าว่า ทุกวัน รัสปูตินจะทำการ “เพ่งเตโชกสิน” โดยการยืนจ้องมองดูพระอาทิตย์โดยไม่กะพริบตาเลยเป็นเวลานานนับชั่วโมงในแต่ละครั้ง และยังฝึกการสะกดจิตด้วย เขาชักชวนผู้หญิงในแดนเถื่อนให้เข้าร่วมพิธีกรรมอันวิตถาร ประกอบด้วยการดื่มเหล้า การร้องเพลง การเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง และ “เสพเมถุนหมู่” ในทุกๆ แห่งที่สะดวกไม่ว่าจะเป็นป่า ยุ้งข้าว หรือกระท่อมของสาวกคนใดคนหนึ่ง เขาสอนเหล่าสานุศิษย์ว่าเป็น “การไถ่บาปผ่านการปลดปล่อยทางกามารมณ์” ทำให้สตรีมากมายที่หลงไหลและศรัทธาในนิกายนี้ ต้องบำเรอความสุขให้เขาเป็นคนแรก!! แม้ว่ารูปโฉมของ " นักบุญจอมราคะ " แสนจะสกปรกเลอะเทอะ แต่พวกนางก็หารังเกียจไม่!
และแล้วในที่สุด รัสปูติน ก็ได้พบกับองค์ซาร์และอเล็กซานดรา ทั้งสองพระองค์เกิดทรงศรัทธาในตัวเขา เขาจึงได้เข้าวังเครมลิน เพื่อรักษาโรคถวายแด่เจ้าชายน้อย หลายคนไม่รู้ว่ารัสปูตินใช้วิธีอะไร จู่ๆ อาการเลือดตกของเจ้าชายน้อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง! จึงเชื่อว่า เขาใช้พลังจิตในการรักษาอาการป่วย ซึ่งได้ผลตลอด 12 ปีเลยทีเดียว เรียกว่าถ้าเจ้าชายน้อยมีแผลเมื่อใดต้องขอให้รัสปูตินช่วยทุกครั้ง
พระราชินีทรงเชื่อมั่นว่า รัสปูตินได้รับพลังอำนาจจากพระเจ้า พระนางจึงทรงเชิญให้เขาเข้ามาพำนักอยู่ในราชฐานชั้นใน เพื่อดูแลรักษาเจ้าชายน้อยอย่างใกล้ชิด ทำให้รัสปูตินได้มีโอกาสคลุกคลีกับสาวกำนัลในราชวัง (เข้าทางเลย) จนกลายเป็นข่าวอื้อฉาวว่าเขามีสัมพันธ์สวาทต่อนางข้าหลวง ตลอดจนเจ้าหญิง หรือแม้กระทั่งองค์ราชินีอเล็กซานดราก็ไม่เว้น! และเมื่อรัสเซียเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ใน ค.ศ.1914 พระเจ้าซาร์เห็นความสำคัญต่อการศึกในครั้งนี้ จึงทรงร่วมในการบัญชาการการรบด้วยตัวพระองค์เอง รัสปูตินจึงได้โอกาสทำการบัดสีต่างๆ ได้ตามอำเภอใจหนักขึ้น เพราะเขาเป็นที่โปรดปรานของพระราชินี
คนที่เต็มใจเป็นคู่ขาในทางกามารมณ์ของรัสปูตินมีอยู่หลายคน แต่มักจะไม่ปรากฏนามอย่างเปิดเผย ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสูงหรือผู้มีชื่อเสียง เช่น นักแสดงหญิง ภรรยาทหาร เป็นต้น และเมื่อไม่มีใครอื่นที่จะใช้ระงับตัณหาราคะอันมหาศาลของเขาได้แล้วละก็ เขาก็จะหันไปหาสาวใช้ในโรงแรมหรือโสเภณีก็ได้ แก้ขัดไป, สุภาพสตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดของรัสปูติน คือ องค์ซารีน่า นั่นเอง ซึ่งแม้จะไม่ถึงกับตกเป็นทาสสวาท แต่ก็มีลายพระหัตถ์อันเพราะพริ้งถึงรัสปูตินให้คำมั่นว่าจะ "...จูบมือของพระคุณเจ้าและแนบศีรษะของลูกกับไหล่อันศักดิ์สิทธิ์ของพระคุณเจ้า..." และผู้หญิงซึ่งอดทนต่อรัสปูตินมากที่สุด คือ ภรรยาของเขาเอง ปราสโกเวีย ซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานกับการนอกใจของเขามาชั่วชีวิตโดยไม่ปริปากบ่น หล่อนเพียงแต่ยักไหล่และพูดอย่างใจกว้างว่า " เขามี (พลัง) เพียงพอสำหรับคนทั้งหมด "
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า "พระราชินีทรงคิดว่า พระเจ้าได้สื่อสารกับพระราชวงศ์โดยการผ่านทางรัสปูติน เมื่อเขาพูดสิ่งใด พระนางก็ทรงปฏิบัติตามโดยไม่รอช้า ดังนั้นเมื่อรัสปูตินแนะนำใครมาดำรงตำแหน่งที่สูงๆ หรือขับไล่ใครคนใดคนหนึ่งออกจากวัง พระนางก็ทรงทำตาม" ดังนั้น ความเหิมเกริมของรัสปูติน จึงทำให้บรรดาเชื้อพระวงศ์และข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่งทนไม่ไหวกับการกระทำของเขา โดยเฉพาะ เจ้าชายยูสโซบอฟ ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้มั่งคั่งที่สุดองค์หนึ่ง เจ้าชายจึงทรงวางแผนกับผู้ใกล้ชิด ลวงรัสปูตินไปยังห้องใต้ดิน จากนั้นก็ให้ดื่มไวน์ชั้นเยี่ยมและกินแป้งราดครีมอันโอชะซึ่งผสมยาพิษร้ายแรงขนาดฆ่าคนธรรมดาได้ถึงสิบคนได้เอาไว้ แต่รัสปูตินไม่ใช่คนธรรมดา ทั้งที่ดื่มทั้งกินสารพิษเข้าไปแล้วก็ยังมีท่าทีปกติ ยูสโซปอฟ แทบไม่ทรงเชื่อสายพระเนตรของพระองค์เอง ด้วยความกริ้วและตกพระทัย เจ้าชายจึงทรงชักปืนรีวอลเวอร์ออกมาแล้วทรงกระหน่ำยิงรัสปูตินจนล้มคว่ำ สิ้นเสียงปืน ยูสโซบอฟเสด็จเข้าไปแล้วทรงก้มทอดพระเนตรร่างที่นอนนิ่งอยู่ หากทว่าร่างนั้นกลับลืมตาจ้องถมิงทึงพลางคำราม "แก ไอ้บัดซบ!!" ยูสโซปอฟทรงตระหนกพระทัยสุดขีด แล้ววิ่งขึ้นบันไดร้องลั่น "มันไม่ตาย! มันยังมีชีวิต!" แต่ไม่เพียงแต่จะพยุงร่างตนเองขึ้นได้เท่านั้น รัสปูตินยังสามารถเดินโซซัดโซเซออกไปสนามหน้าวัง โดยมีกลุ่มผู้วางแผนฯวิ่งระดมยิงตามหลังอย่างบ้าคลั่ง แต่กระสุนไม่สามารถปลิดชีพนักบวชพลังจิตได้ สุดท้ายกลุ่มผู้วางแผนฯไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงจำเป็นต้องจับร่างของรัสปูตินมัดและโยนลงในแม่น้ำเนวาที่ไหลผ่านนครเซนต์ปีเตอร์สเบริร์ก อากาศที่หนาวจัดทำให้น้ำบางส่วนกลายเป็นน้ำแข็ง ภายหลังมีการพบศพของรัสปูติน เขาสามารถแก้มัดด้วยตนเอง ยาพิษและกระสุนปืนไม่ระคายเคืองแก่รัสปูติน เขาตายเพราะจมน้ำ แต่เหตุการณ์ตรงนี้ ไม่ตรงกับในเนื้อเพลง Rasputin ของวง BONEY M วงดิสโก้ที่โด่งดังมากในยุค 70-80 ซึ่งได้บอกไว้ช่วงท้ายๆเพลง ว่า......
Ra ra Rasputin, Lover of the Russian queen.They didn't quit, they wanted his head……..พวกเขายังไม่หยุด, พวกเขาต้องการศีรษะของเขา
Ra ra Rasputin, Russia's greatest love machine .And so they shot him 'til he was dead……….และพวกเขาก็ยิงเขาจนตาย
ข่าวความตายของรัสปูตินแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรสร้างความโศกแก่อเล็กซานดรายิ่งนัก ไม่ใช้เพราะเสียคนสนิท แต่เนื่องจากก่อนหน้าที่รัสปูตินจะตายไม่นาน เขาได้บันทึกสั้นๆ ถึงพระองค์ เป็นคำสาปไว้ ว่า "ขอได้ทรงรับรู้ว่า หากคนที่ฆ่าอาตมาตาย เป็นคนสามัญธรรมดา ราชวงศ์โรมานอฟก็จะยั่งยืนต่อไป แต่ถ้าหากเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ทำให้อาตมาตาย พระองค์และครอบครัวจะต้องสิ้นพระชนม์ภายในสองปี ด้วยน้ำมือของประชาชนในรัสเซีย" ลงชื่อ เกรกอรี รัสปูติน!
ครั้นถึงเดือนมีนาคม 1917 ไม่ถึง 3 เดือนหลังรัสปูตินตาย กระแสการปฏิวัติเริ่มหลั่งไหลสู่นครหลวงของรัสเซีย ขบวนชาวนาและคนงานอุตสาหกรรมแห่กันมาถวายฏีกาให้ปรับปรุงระบบการบริหารประเทศ แต่องค์รักษ์วังหลวงกลับต่อต้านด้วยอาวุธปืน ความจลาจลวุ่นวายจึงเกิดขึ้น และผลสุดท้ายซาร์จำใจต้องสละราชบัลลังก์ พระองค์และเชื้อพระวงศ์ถูกควบคุมตัว และไปกักขังไว้ ณ ไซบีเรียอันห่างไกลและทุรกันดาร และสุดท้ายถูกต้อนเข้าห้องใต้ดินและปลงพระชนม์ด้วยกระสุนปืนหมดทุกพระองค์ ราชวงศ์โรมานอฟ จึงถึงกาลอวสาน…..
เครดิตจาก กระทู้คุณ : Mr.Terran http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/11/X7183978/X7183978.html ประกอบกับ ความทรงจำจากหนังสือชีวประวัติที่ผู้เรียบเรียงเคยอ่าน และเนื้อเพลง Rasputin ของวง Boney M ครับ
ขอได้รับความขอบคุณจาก ซีวีดีอินเตอร์เนชั่นแนล เอ๊ยไม่ช่าย... MC WANG JIE (แอ๊ด) ครับผม