ย้อนไปเมื่อ 4-5 ปีก่อน ไม่คิดว่าเด็กบ้านนอก พี่ชายจะใจดีชื้อโทรศัพท์ให้ใช้ เครื่องตั้ง 2-3 หมื่น โดยที่ให้น้องตัวเองใช้ก่อนตัวเองจะใช้ซะอีก แล้วเมื่อมีเครื่องแรก ก็มีเครื่องต่อๆไปเปลี่ยนไปตามรุ่น ทั้งหาย ทั้งพัง ทั้งเปียกน้ำ และหลังๆก็ชื้อเอง แล้ววันหนึ่งก็มาถึงจุดที่เริ่มใช้ของแพง รองเท้าคีบคู่ 4พันกว่า แว่นตาหลักหมื่น กระเป๋าแต่ใบต้องยี่ห้อบนห้าง ใช้ชีวิตกินดีอยู่ดี บางครั้งก็เผลอคิด นี่เราเสพติดการใช้ของแพงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ บางทีก็คิดว่าเราฟุ่มเฟือยขนาดนี้เลยหรอ แต่ลึกๆแล้วเป็นคนที่ไม่ค่อยอยากได้อะไร จะชื้ออะไรทีคือต้องชอบจริงๆหลายๆอย่างก็จะได้มาเพราะชอบทำงานหาเงิน แต่หลักๆก็ตั้งใจเรียนให้จบเพราะพ่อแม่ยังส่งเรียนอยู่ แล้วก็เริ่มลดๆค่าใช้จ่ายความเป็นอยู่ลงเมื่อเรียนจบหาเงินใช้เองอย่างเต็มตัว แล้วมาคิดดู ทุกอย่างที่ใช้ของจะถูกจะแพงก็ต้องพังไปตามกาลเวลา แต่ที่ใช้แพงก็จะทนหน่อย ตามคุณภาพ แล้วเมื่อมองย้อนกลับไปตอนเด็ก ยังเดินตามตูดแม่ไปรับจ้างถางหญ้าค่าแรงวันละ100 ปลูกนาค่าแรงวันละ60 รับจ้างมัดหอมกิโลละ1฿ ให้ลูกเป็นคนตัดรากหอม แล้วแม่มัด โอ้!ลำบากอะไรเพียงนี้ ตอนเด็กๆเคยโกรธแม่ที่ขอกินไอติมวอล์รสโค้กแท่ง3฿แล้วไม่ได้กิน จนรถไอติมผ่านไป แอบซ่อนแม่ตั้งแต่หัวค่ำจนดึกมืดก็ไม่มีใครหาเจอ ต้องขยันกันแค่ไหน โดนดูถูกสารพัดคำพูดถึงผ่านมาถึงจุดๆนี้ โอ้ย! แม่ต้องเหนื่อย ลำบากแค่ไหนกว่าจะส่งลูก2คนให้เรียนจบ ใช้ชีวิตโดยที่ครอบครัวเราไม่มีหนี้ มีแต่สร้างให้มีให้ดีขึ้น ทุกวันนี้บางมื้อเดินเข้าร้านอาหารกินข้าวกับพี่ชายมื้อเป็นหลักพัน ก็อดคิดถึงแกงอุ๊บไก่ฝีมือแม่ไม่ได้ ชื้อไก่มา200฿ กินได้ทั้งครอบครัว แถมยังกินได้ตั้ง 3 มื้อ บางทีก็คิดว่าอยากกลับไปเป็นเด็กบ้านนอกเหมือนเดิม บางครั้งก็คิดอยากไปทำงานใช้ชีวิตอยู่บนดอนตามธรรมชาติ ที่เงียบสงบ มีบ้านหลังเล็กๆทำสวนรอบบ้าน แต่ชีวิตก็ได้มาอยู่จุดๆนี้ จุดที่สบายใจที่สุด ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ยังเป็นคนที่ดิ้นรน พยายามจะก้าวหน้าในแบบของตัวเองตลอด หกล้มบ่อยแต่ก็ไม่เข็ด คนรอบข้างอาจมองว่าเราเป็นคนขยันหาทำนั่นทำนี่ตลอดเวลา แต่เรากลับมองว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจ เพราะในแต่ละวัน มี24ชม. เรายังมีเวลาว่างให้ตัวเองโดยที่ไม่ได้ทำอะไร 20 ชม. ซึ่งมันทำให้เราคิดตลอดว่าควรจะทำอะไรดีเพื่อให้มันเกิดประโยชน์ แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออกเพราะถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต บางครั้งก็อยากลงทุนทำอะไรสักอย่าง ก็ต้องเริ่มต้นจากการหาทุนด้วยตนเอง ถ้าล้มแล้วก็ยังลุกขึ้นมาเริ่มหาใหม่ได้ ต่อให้จะเป็นสิบครั้งร้อยครั้ง สิ่งที่ได้ก็คือประสบกราณ์ ซึ่งเราก็ไม่กล้าขอพ่อแม่ลงทุนให้บ่อย เพราะทุกครั้งที่ล้ม ก็เหมือนกับการเอาเงินไปทิ้ง ทั้งที่รู้ว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ จุดนี้ กว่าจะได้เงินแต่ละบาทก็เหนื่อยไม่น้อย ทั้งที่เรามีความฝันความตั้งใจเป็นของตัวเองตลอด ว่าวันหนึ่งเราจะมีกิจการเป็นของตัวเอง ถึงจุดๆหนึ่ง ถ้าเรามีทุน เริ่มจากเล็กๆ แล้วบริหารดีๆ จากประสบกราณ์ที่เคยล้ม เคยลองผิดลองถูก เคยเป็นลูกน้องแล้วสังเกตระบบการทำงานร้านที่ประสบความสำเร็จ เรียนรู้จากผู้คนที่นิสัยทัศนะคติที่แตกต่าง ทุกวันนี้เราก็ตั้งเป้าหมายเพื่อเก็บเงินเพื่อที่จะได้มีทุนในอนาคต เราตั้งใจจะเปิดร้านเล็กๆ อาจเริ่มจากลองตลาดนัดถ้ากิจการไหนโอเคแล้วได้กำไรค่อยขยาย ถ้ากิจการไม่ก้าวหน้าพัฒนาเราก็เปลี่ยนลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆตามความถนัด ทั้งที่ในหัวเรามีโตรงการทำนั่นทำนี่ มองความแตกต่างตลาด เศรษฐกิจตลอดเวลา ทุกครั้งที่ลงทุนจากการเอาเงินเก็บเงินของตัวเองไปลงทุน ไม่เคยมีคำว่าขาดทุน มีแต่ได้น้อยกับได้มาก แต่ที่ได้ที่สุดคือประสบกราณ์ ส่วนเรื่องสังคม เราก็มีเพื่อนตั้งแต่ฐานะระดับล่างจนถึงครอบครัวรวยระดับประเทศ ซึ่งเรามองเห็นความคิดที่แตกต่าง เพื่อนที่พื้นฐานครอบครัวรวยๆมาก่อน ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ขยันอะไรมาก อาจเดิมมีทุนดีบรรพบุรุษสร้างมาให้ มีกิจการมากมาย แต่ในหัวเพื่อนเหล่านี้ถ้าให้แสดงความคิดเห็นในการลงทุนหรือทำอะไร จะไม่ค่อยสัมผัสการทำด้วยตนเอง จะเน้นไปทางบริหารคนแต่ที่สำคัญคือเค้ามีทุนมากพอ พร้อมที่จะล้มหรือผิดพลาดกี่ครั้งก็เริ่มต้นใหม่ได้เร็วกว่า ถ้าเราล้มคือต้องเริ่มจากศูนย์มาเก็บตังค์ลงทุนใหม่ ... เง้อ! แค่คิดชีวิตก็ต้นทุนไม่เท่ากันล่ะ แต่เราก็มีความตั้งใจพยายามไม่แพ้กัน สักวันเราจะต้องรวยเพื่อให้พ่อกับแม่สบาย
#เพราะเริ่มต้นจากคำว่าไม่มีจึงเห็นคุณค่ากับสิ่งต่างๆเสมอ
ประสบการณ์ชีวิต เคยลำบากมาก่อน แค่อยากเล่าเฉยๆ
#เพราะเริ่มต้นจากคำว่าไม่มีจึงเห็นคุณค่ากับสิ่งต่างๆเสมอ