การเดินทางครั้งนี้เริ่มจากการที่พวกเราลงความเห็นกันก่อนว่าจะไปเที่ยวสไตล์ไหนดีอยากได้บรรยากาศแบบไหน ซึ่งจากที่พวกเราพูดคุยกันเราเลยตัดสินใจเลือกบรรยากาศแบบมีป่าไม้มีทิวเขาไปกันแบบชิวๆ
ในการเดินทางครั้งนี้มีผู้ร่วมทริปเป็นชายฉกรรจ์ แฮร่!!! ชายหนุ่มรูปหล่อทั้งหมด 5 คน ซึ่งแต่ละคนไม่เคยไปเที่ยวเขาใหญ่กันเลยสักคน ทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นในความเป็น “เขาใหญ่” ซึ่งทริปนี้มีชื่อว่า ผ่าม พ้ามมม
“เขาใหญ่แต่เราไม่ใหญ่”
ทริปนี้ใช้เวลา 2 วัน 1 คืน ระหว่างวันที่ 2-3 เมษายน 2560
โดยพวกเราตั้งงบไว้คนละ1000 บาท รวมค่าน้ำมันรถไป-กลับ
ซึ่งการเดินทางของเรานั้นมีความโชคดีอยู่ตรงที่สมาชิกในกลุ่มมีรถยนต์ส่วนตัว ทำให้ไม่มีข้อจำกัด แต่ช่วงเวลาที่ไปเที่ยวมันไม่ตรงกับฤดูกาลท่องเที่ยวที่เหมาะสมของเขาใหญ่เท่าไรนัก เพราะช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อน ผู้คนส่วนใหญ่มักจะพากันไปเที่ยวในช่วงฤดูหนาว แต่ก็มีความโชคดีอีกตรงที่ “คนน้อยครับ” มีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูง เรามาเริ่มเข้าสู่การเดินทางของเรากันเลยครับ...
ปล. รูปไม่ดีรูปไม่สวยอย่าว่ากันนะครับ ^^
ผ่างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!
วันที่ 2 เมษายน 2560
เราออกเดินทางจากที่พักเวลา 03:00 น. เราเลือกขึ้นเขาใหญ่ในเส้นทางปากช่องครับ และที่เลือกออกเดินทางเวลานี้ก็เพราะว่าพวกเราต้องการให้ถึงเขตเขาใหญ่ในตอนเช้าๆ เพื่อที่จะได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าของสถานที่ใกล้ๆเขาใหญ่ก่อน ซึ่งสถานที่นั้นก็คือ
“เขื่อนลำตะคอง”
ยามเช้าที่ลำตะคอง
ขอแอ็คหล่อซักหน่อยคร๊าบบบบบ
สิ่งแรกที่สัมผัสได้ก็คือ อากาศหนาวที่ไม่ใช่ฤดูหนาวครับ หนาวมาก หนาวจนแปลกใจว่านี่ฤดูอะไรกันแน่ แต่ที่ได้มากกว่านั้นคือบรรยากาศครับ บรรยากาศที่ในกรุงเทพไม่มีให้สัมผัสเลย ได้สูดออกซิเจนได้เต็มปอด เห็นพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า
หลังจากที่เราได้ดื่มด่ำบรรยากาศของที่นี่อย่างเต็มที่แล้ว เป้าหมายต่อไปของเราคือ “อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” แต่ระหว่างทางเราก็ได้สะดุดตากับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งก็คือ “น้ำผุดธรรมชาติ” แค่ชื่อก็ว้าวแล้วครับ น้ำผุดเป็นยังไงล่ะทีนี้ ?
ไปดูกันเลยยยยยยยยยยยย
ธารน้ำที่ไหลมาจากน้ำผุดธรรมชาติ น้ำใสออกเขียวๆฟ้าๆ
หลังจากที่เราเล่นกันจนสาสมใจ เราก็เดินทางไปจุดหมายสำคัญของทริปนี้กันเลยยยย “เขาใหญ่ แต่เราไม่ใหญ่”
เดี๋ยววววววววว ระหว่างทางเราเจอร้านอาหารที่น่าสนใจอยู่ร้านนึงก็คือร้านหมูหันครับ ไปดูกันเลย
น่ากินมั้ยล่ะ ? อิอิ
ซึ่งสมาชิกบางคนไม่เคยกินมาก่อน พอได้กินนั้นแหละ ถึงกับต้องร้องว้าววววววว เลยครับ (เป็นไงล่ะ อร่อยใช่มั้ย ป่าว ร้อนนนนนนนนนน

ยยยยยยยยยย !!!)
ซื้อเสบียงกันเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ลุยกันต่อเลยครับ let’s go …
“สวัสดีเขาใหญ่”
สาเหตุที่พวกผมมาเที่ยวเขาใหญ่ก็เพราะว่าสมาชิกทุกคนในกลุ่มลงความเห็นว่าจะไปเที่ยวในที่ที่ไปเคยไปมาก่อน แล้วสถานที่นั้นก็คือ “เขาใหญ่” ครับบบ และหลายท่านคงจะงงครับว่าทำไมเรามาเที่ยวเขาใหญ่ตอนหน้าร้อน บอกเลยว่าที่มาเนี่ย เพราะว่า ช่วงนี้ไม่ได้เป็นช่วงไฮซีซั่นของเขาใหญ่ครับ เพราะปกตินักท่องเที่ยวจะนิยมมาเที่ยวกันตอนหน้าหนาว จึงทำให้ช่วงที่เราไปเที่ยวมีนักท่องเที่ยวน้อย ได้บรรยากาศความเป็นส่วนตัว เสพธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ครับ
และก่อนที่พวกเราจะเข้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ต้องเสียค่าบริการก่อนเข้าคนละ 30 บาทด้วยนะครับ
เมื่อพวกเราเข้ามาภายในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่แล้วพวกเราก็มุ่งหน้าไปต่อกันที่จุดกางเต้นท์ผากล้วยไม้
ป้ายบอกระยะทางนั้นไงผากล้วยไม้ ฟิ้วววววววว
ซึ่งระหว่างทางที่ไปเรามีโอกาสได้พบเจอกวางเยอะมากกเลยยยยยยย ณ บริเวณจุดกางเต้นท์ลำตะคอง
สำหรับพวกเราเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากครับ เพราะไม่เคยเห็นกวางที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติใกล้ชิดขนาดนี้ เท่านั้นยัง ยัง ยัง ยัง ยัง ยัง ยัง ยังงงงงงงงงงงงงง ยังไม่หยุดอีก ผ่างงงงงงงงงงง!!! เท่านั้นยังไม่พอ เราโชคดีแบบ เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย นี่มัน …
พี่โยโย่
นี่คือพระเอกประจำทริปนี้ ช้างป่าตัวผู้ชื่อโยโย่ครับ จากที่พวกเราได้สอบถามจากพี่ๆเจ้าหน้าที่อุทยานเค้าได้บอกว่า พี่โยโย่เนี่ยอายุ 30 ปีแล้วครับ เป็นช้างที่ไม่กลัวอะไรเลย ทั้งรถทั้งคน ตอนนี้พี่โยโย่เป็นช้างที่น่าเห็นใจมากๆ เพราะบอบช้ำทั้งกายและใจ เนื่องจากไปต่อสู้กับช้างตัวอื่นเพื่อแย่งตัวเมีย จึงโดนงาแทง เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่โยโย่เกิดอาการหงุดหงิดง่าย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เราได้พบกับพี่โยโย่ครับ ตอนเจอเนี่ยตื่นเต้นมาก เพราะพี่โยโย่เดินไล่พวกเรามาเลย กลับรถแทบไม่ทัน รอช้าอะไรล่ะครับ พี่โมโห น้องก็ไม่อยู่แล้วครับ บายยยยย เราควรทำตามกฎและคำแนะนำของอุทยานดีกว่า
ซึ่งกฎที่ว่าก็คือ ข้อปฏิบัติเมื่อเจอช้างป่าในอุทยาน มีดังนี้
1.หยุดรถให้ห่างจากช้างอย่างน้อย 30 เมตร
2. งดการใช้แฟลชถ่ายรูป
3.พบช้างในเวลากลางคืนให้ใช้ไฟต่ำ
4.หากตกอยู่ในวงล้อมของช้าง ออกทางที่ช้างน้อยที่สุด
5.อย่าใช้แตรรถ
6.ให้ติดเครื่องรถยนต์ไว้เสมอ
หลังจากที่ผ่านจากพี่โยโย่มาได้ เราก็ตรงไปกันที่ผากล้วยไม้เลยครับ ที่นี่คือลานกางเต้นท์ของเรา บรรยากาศดูเป็นส่วนตั๊วส่วนตัว บางทีก็ส่วนตัวเกิ๊นนนนนน อากาศก็เย็น (แอบน่ากลัวนิดๆ 555) จุดนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยนิยมมากางเต้นท์กันมากนักในช่วงนี้ ส่วนใหญ่จะไปอยู่กันที่จุดกางเต้นท์ลำตะคอง
เมื่อจอดรถได้พวกเราก็เข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเช่าเต้นท์เลยครับ ราคาเช่าเต้นท์ที่พวกเราเช่าคือ 150 บาทจะนอนได้สองคนครับและแผ่นรองนอนอีกสองแผ่นราคาก็แผ่นละ 35 บาทครับ ขาดไม่ได้คือเครื่องทำครัว อิอิ เครื่องครัวมีให้เช่านะครับสำหรับคนที่อยากประกอบอาหารเอง มีร้านสะดวกซื้อให้ครับ
หลังจากที่กางเต้นท์และเตรียมที่พักเรียบร้อย เราก็ได้ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อทำการส่องสัตว์ในเวลากลางคืนครับ ค่าเช่าเหมาคัน รถ 1 คัน/10 คน ราคา 500 บาท มีรอบ 19:00 และ 20:00 ครับ แต่พวกเราเลือกไปรอบ 19:00 เพื่อที่จะได้มีเวลามาทำอาหารกินกันครับ
และแล้วเวลาที่ท่านลอยคอ แฮร่ รอคอยก็มาถึง ทุ่มนึงแล้ว ไปส่องสัตว์กันเลยยยยยยยยยยยยย
(พี่ๆเจ้าหน้าที่ให้พวกเรามารอที่หน้าป้ายผากล้วยไม้ครับ จะมีรถมารับ)
ระหว่างทางเราได้เจอกับกวาง
เหม็น แฮร่ เม่น
ตอนขากลับมีเรื่องให้พวกเราตื่นเต้นอีกแล้วววววว พี่โยโย่นั่นเองครับ แต่โชเฟอร์พาเราไปคนละทางกับที่พี่โยโย่อยู่ เราไม่ได้เจอกัน ไม่เป็นไรครับ ให้พี่โยโย่เค้าอยู่ไปเถอะ ผมไม่รบกวนดีกว่า ฟิ้วววววว
เสร็จแล้วโชเฟอร์ก็มาส่งพวกเราที่ผากล้วยไม้ตอนสองทุ่มตรงพอดีเป๊ะเลยครับ จากนั้นก็แยกย้ายกับเค้า แยกย้ายละทำไงล่ะทีนี้ หิวสิครับบบบบ หิวแล้ว รออะไรล่ะครับ ไปลุยกันเลยยยยย ก่อเตาย่างหมูกัน ป้าบบบบบบบบบบ!!!
กินไปเรื่อยจนอิ่มครับ อิ่มจริง แต่อิ่มแล้วก็อย่าลืมเก็บกวาดร่องรอยอารยธรรมที่พวกเราได้ทำไว้ด้วยนะครับ ช่วยๆกันรักษาความสะอาดเด้อ
เก็บกวาดเสร็จประมาณ 22:00 พวกเราก็ได้แยกย้ายกันไปทำภารกิจส่วนตัว อาบน้ำ แปรงฟันให้เรียบร้อย แล้วก็เข้านอนกันครับ
ฝันดีราตรีสวัสดิ์เด้อออ Zzzz
เอ้กอีเอ้ก เอ้กกกกกกกกกก เดี๋ยวๆ ที่นี่ไม่มีไก่ครับ มีแต่เสียงนาฬิกาปลุกของพวกเราเอง ดูเวลาก็ 05:30 แล้วครับ ตื่นๆ ปลุกเพื่อนด้วย เช้านี้มีภารกิจสำคัญต้องทำคือ เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันนนนนน ลุยยยยยยย!!!
จากนั้นก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัว เก็บของ เก็บเต้นท์คืนเจ้าหน้าที่ครับ แต่เกิดความผิดพลาดนิดหน่อยคือ เรากะเวลากันไม่ดีครับ กว่าจะออกจากจุดกางเต้นท์ได้ฟ้าก็สว่างแล้ว เห้อมมมมมม เสียดายจุงงง แต่ไม่เป็นไรครับ นอกจากพระอาทิตย์ขึ้นยังมีบรรยากาศดีๆให้พวกเราได้เสพกันอยู่ อิอิ ตรงไปกันที่จุดชมวิวที่สูงที่สุดของภาคกลางกันเลย
จริงๆแล้วจุดชมวิวนี้ต้องขึ้นไปอีกครับ แต่อยู่ในฐานทัพอากาศ ทางทหารเค้าได้กักบริเวณให้เขาชมได้แค่นี้ เพราะข้างบนเป็นพื้นที่ของศูนย์เรดาร์ของกองทัพอากาศ ห้ามบุคคลภายนอกเข้า และพี่ๆทหารบอกว่า ที่นี่ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ของประเทศไทยอีกจุดหนึ่งอีกด้วยครับ
วิวสวยๆยามเช้า ณ ผาตรอมใจ
เสร็จแล้วพี่ๆทหารก็ได้บอกอีกว่า มีอีกสถานที่หนึ่งที่สวยมากๆ พลาดไม่ได้ นั่นก็คือ “ผาเดียวดาย” ครับ รออะไรล่ะครับ พี่เค้าแนะนำมาขนาดนี้ เราก็ลุยกันเลยครับ ไม่ไกลจากจุดเดิม
ถึงแล้วครับ “ผาเดียวดาย”
แผนการเดินทางที่ดีอาจไม่จำเป็นต้องวางแผน
"ยังไม่จบนะจ๊ะ"
[CR] ผจญภัยบนโลกกว้างของชายหนุ่มทั้ง 5 คน ที่ "เขาใหญ่" แต่เราไม่ใหญ่นะ แฮร่ๆๆ !!! ซึ่งเป็นการเดินทางครั้งแรกของพวกเรา ^_^
โดยพวกเราตั้งงบไว้คนละ1000 บาท รวมค่าน้ำมันรถไป-กลับ
ซึ่งการเดินทางของเรานั้นมีความโชคดีอยู่ตรงที่สมาชิกในกลุ่มมีรถยนต์ส่วนตัว ทำให้ไม่มีข้อจำกัด แต่ช่วงเวลาที่ไปเที่ยวมันไม่ตรงกับฤดูกาลท่องเที่ยวที่เหมาะสมของเขาใหญ่เท่าไรนัก เพราะช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อน ผู้คนส่วนใหญ่มักจะพากันไปเที่ยวในช่วงฤดูหนาว แต่ก็มีความโชคดีอีกตรงที่ “คนน้อยครับ” มีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูง เรามาเริ่มเข้าสู่การเดินทางของเรากันเลยครับ...
ปล. รูปไม่ดีรูปไม่สวยอย่าว่ากันนะครับ ^^
ผ่างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!
เราออกเดินทางจากที่พักเวลา 03:00 น. เราเลือกขึ้นเขาใหญ่ในเส้นทางปากช่องครับ และที่เลือกออกเดินทางเวลานี้ก็เพราะว่าพวกเราต้องการให้ถึงเขตเขาใหญ่ในตอนเช้าๆ เพื่อที่จะได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าของสถานที่ใกล้ๆเขาใหญ่ก่อน ซึ่งสถานที่นั้นก็คือ
“เขื่อนลำตะคอง”
หลังจากที่เราได้ดื่มด่ำบรรยากาศของที่นี่อย่างเต็มที่แล้ว เป้าหมายต่อไปของเราคือ “อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” แต่ระหว่างทางเราก็ได้สะดุดตากับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งก็คือ “น้ำผุดธรรมชาติ” แค่ชื่อก็ว้าวแล้วครับ น้ำผุดเป็นยังไงล่ะทีนี้ ?
ไปดูกันเลยยยยยยยยยยยย
เดี๋ยววววววววว ระหว่างทางเราเจอร้านอาหารที่น่าสนใจอยู่ร้านนึงก็คือร้านหมูหันครับ ไปดูกันเลย
ซื้อเสบียงกันเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ลุยกันต่อเลยครับ let’s go …
“สวัสดีเขาใหญ่”
ซึ่งระหว่างทางที่ไปเรามีโอกาสได้พบเจอกวางเยอะมากกเลยยยยยยย ณ บริเวณจุดกางเต้นท์ลำตะคอง
1.หยุดรถให้ห่างจากช้างอย่างน้อย 30 เมตร
2. งดการใช้แฟลชถ่ายรูป
3.พบช้างในเวลากลางคืนให้ใช้ไฟต่ำ
4.หากตกอยู่ในวงล้อมของช้าง ออกทางที่ช้างน้อยที่สุด
5.อย่าใช้แตรรถ
6.ให้ติดเครื่องรถยนต์ไว้เสมอ
(พี่ๆเจ้าหน้าที่ให้พวกเรามารอที่หน้าป้ายผากล้วยไม้ครับ จะมีรถมารับ)
ระหว่างทางเราได้เจอกับกวาง
เก็บกวาดเสร็จประมาณ 22:00 พวกเราก็ได้แยกย้ายกันไปทำภารกิจส่วนตัว อาบน้ำ แปรงฟันให้เรียบร้อย แล้วก็เข้านอนกันครับ
"ยังไม่จบนะจ๊ะ"