ขอยกที่แสดงความเห็นในกระทู้ข้างล่างมาเป็นข้อกระทู้นะครับ
........................................................................
การบรรลุธรรม
ต้องบรรลุโดยปัญญาครับ
ปัญญาคือ วิชชา คือเห็นสภาวะธรรมทั้งปวงตามที่เป็นจริง
สภาวะธรรมตามที่เป็นจริงที่เห็นคือ เวทนาอันเกิดจากผัสสะในปัจจุบันขณะ
แยกออกมา ผู้เห็น กับสิ่งที่เห็น
ผู้เห็นคือจิตที่ประกอบด้วยสติ สัมปชัญญะ ทำหน้าที่เป็นใหญ่ในขณะนั้น โดยอยู่บนฐานแห่งสัมมาสมาธิ
สิ่งที่เห็นคือ นามและรูป
รูปคือ รูปทั้ง28 ( อันนี้ต้องศึกษาเพิ่มครับ )
นามคือ ( ยกเว้นจิต ) เจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร หรือเจตสิก 52 ( อันนี้ก้อต้องศึกษาเพิ่มครับ )
เห็นสภาวะธรรมตามที่เป็นจริงเพื่ออะไร เพื่อให้รู้ว่าอะไรคืออะไร คือให้เห็น สัจจสภาวะธรรม
เมื่อเห็นสัจจสภาวะธรรมทั้งปวงตามที่เป็นจริง จะเกิดนิพพิทา คือเบื่อหน่าย แล้วจะคลายความกำหนัด คืออุปาทาน แล้วจึงวิมุติ
คือหลุดพ้นจากการยึดในสภาวะธรรมทั้งปวง คือไม่ยินดีด้วยราคะในสภาวะธรรมอันมากระทบในปัจจุบันขณะ และไม่ยินร้ายในสภาวะธรรมอันมา
กระทบในปัจจุบันขณะเช่นเดียวกัน ด้วยปัญญาอันทำหน้าที่เป็นใหญ่อันประกอบในจิตในขณะนั้น ( ขึ้นอยู่กับระดับปัญญาด้วย อันนี้ก้อต้อง
ไปศึกษาอินทรี 22 เพิ่มอีก เช่นอย่างอุเบกขาก้อจัดเป็นปัญญา และอุเบกขาเองตามอรรถกถาท่านก้อแบ่งถึงเก้าระดับถ้าจำไม่ผิด สูงสุดคือวิชชา
นั่นคือระดับของพระอรหันต์ แล้วก้อไล่ลงมาตามอินทรีตามที่ผมกล่าว ) โดยมีหลักปฎิบัติคือ อริยมรรค
และอริยมรรคย่อยได้สามคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อยมาสองได้แก่ สมถะและวิปัสสนา
การศึกษา ปฎิบัติ ท่านวางไว้ดีแล้วคือ ปริยัติ ปฎิบัติ และปฎิเวท
ศีลอันเป็นไปเพื่อสมาธิ เพื่อปัญญา แล้วผู้มีปัญญาก้อจะมารักษาศีลเอง โดยไม่ต้องถือ หรือฝืน คือเป็นไปเอง
แต่ก้อไม่ใช่ไปยึดมั่นศีลซะเอง คือกลายเป็น สีลพตปรามาส คืออานิสงฆ์ของศีลคือ ไม่ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ เมื่อไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
จิตย่อมตั้งมั่น ตั้งมั่นก้อเพื่อเป็นไปในการให้เห็นสภาธรรมทั้งปวงตามที่เป็นจริง
หากคิดว่าต้องศีลบริสุทธิ์ซะก่อนแล้วจึงบรรลุธรรม ก้อต้องเข้าใจให้ถูกด้วย
มรรคแปดท่านก้อมีวางไว้ให้แล้ว เมื่อใดจิตเกิดอกุศลก้อละซะด้วยสัมมาวายามะ คือละนิวรณ์ซะ เมื่อเกิดกุศลก้อทำกุศลนั้นให้เจริญขึ้น
กุศลตรงนี้ท่านตรัสเลยคือ สัมมาสมาธิ เพื่อเจริญกุศลยิ่งขึ้น นั้นคือสัมมาสติ หรือนี่แหละคือวิปัสสนาที่แท้จริง เห็นลำดับไหมครับ
ละอกุศล เกิดสมาธิ ดูสภาวะธรรมทั้งปวงคือ นามรูป หรือ สัมมาสติ กาย เวทนา จิต ธรรม
และขณะละนิวรณ์ได้แล้ว ขณะนั้นศีลย่อมบริสุทธิ์แล้ว ก้ออาศัยศีลบริสุทธิ์แล้วในช่วงนั้นให้เป็นไปเพื่อเจริญปัญญา เพื่อบรรลุธรรมในขณะนั้น
เป็นความเชื่อที่คลาดเคลื่อนไปบ้างครับ ที่ว่าศีลคุณต้องบริสุทธิ์ก่อนนะ แบบที่เข้าใจแบบทั่วๆไปกัน แต่ก้อไม่ได้ชี้โพลงให้กระรอกน่ะครับ
ตรงนี้คุณต้องรู้ก่อนว่า การก่ออกุศลกรรมหรือการละเมิดศีล วิบากย่อมเป็นทุกข์ และทุกข์นั้นไม่สามารถทำให้จิตตั้งมั่นได้ครับ
เมื่อจิตไม่ตั้งมั่น ก้อไม่เห็นสภาวะธรรมทั้งปวงตามที่เป็นจริง เห็นความเชื่อมโยง ร้อยเรียงกันของ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือยังครับ
การบรรลุธรรม
........................................................................
การบรรลุธรรม
ต้องบรรลุโดยปัญญาครับ
ปัญญาคือ วิชชา คือเห็นสภาวะธรรมทั้งปวงตามที่เป็นจริง
สภาวะธรรมตามที่เป็นจริงที่เห็นคือ เวทนาอันเกิดจากผัสสะในปัจจุบันขณะ
แยกออกมา ผู้เห็น กับสิ่งที่เห็น
ผู้เห็นคือจิตที่ประกอบด้วยสติ สัมปชัญญะ ทำหน้าที่เป็นใหญ่ในขณะนั้น โดยอยู่บนฐานแห่งสัมมาสมาธิ
สิ่งที่เห็นคือ นามและรูป
รูปคือ รูปทั้ง28 ( อันนี้ต้องศึกษาเพิ่มครับ )
นามคือ ( ยกเว้นจิต ) เจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร หรือเจตสิก 52 ( อันนี้ก้อต้องศึกษาเพิ่มครับ )
เห็นสภาวะธรรมตามที่เป็นจริงเพื่ออะไร เพื่อให้รู้ว่าอะไรคืออะไร คือให้เห็น สัจจสภาวะธรรม
เมื่อเห็นสัจจสภาวะธรรมทั้งปวงตามที่เป็นจริง จะเกิดนิพพิทา คือเบื่อหน่าย แล้วจะคลายความกำหนัด คืออุปาทาน แล้วจึงวิมุติ
คือหลุดพ้นจากการยึดในสภาวะธรรมทั้งปวง คือไม่ยินดีด้วยราคะในสภาวะธรรมอันมากระทบในปัจจุบันขณะ และไม่ยินร้ายในสภาวะธรรมอันมา
กระทบในปัจจุบันขณะเช่นเดียวกัน ด้วยปัญญาอันทำหน้าที่เป็นใหญ่อันประกอบในจิตในขณะนั้น ( ขึ้นอยู่กับระดับปัญญาด้วย อันนี้ก้อต้อง
ไปศึกษาอินทรี 22 เพิ่มอีก เช่นอย่างอุเบกขาก้อจัดเป็นปัญญา และอุเบกขาเองตามอรรถกถาท่านก้อแบ่งถึงเก้าระดับถ้าจำไม่ผิด สูงสุดคือวิชชา
นั่นคือระดับของพระอรหันต์ แล้วก้อไล่ลงมาตามอินทรีตามที่ผมกล่าว ) โดยมีหลักปฎิบัติคือ อริยมรรค
และอริยมรรคย่อยได้สามคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อยมาสองได้แก่ สมถะและวิปัสสนา
การศึกษา ปฎิบัติ ท่านวางไว้ดีแล้วคือ ปริยัติ ปฎิบัติ และปฎิเวท
ศีลอันเป็นไปเพื่อสมาธิ เพื่อปัญญา แล้วผู้มีปัญญาก้อจะมารักษาศีลเอง โดยไม่ต้องถือ หรือฝืน คือเป็นไปเอง
แต่ก้อไม่ใช่ไปยึดมั่นศีลซะเอง คือกลายเป็น สีลพตปรามาส คืออานิสงฆ์ของศีลคือ ไม่ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ เมื่อไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
จิตย่อมตั้งมั่น ตั้งมั่นก้อเพื่อเป็นไปในการให้เห็นสภาธรรมทั้งปวงตามที่เป็นจริง
หากคิดว่าต้องศีลบริสุทธิ์ซะก่อนแล้วจึงบรรลุธรรม ก้อต้องเข้าใจให้ถูกด้วย
มรรคแปดท่านก้อมีวางไว้ให้แล้ว เมื่อใดจิตเกิดอกุศลก้อละซะด้วยสัมมาวายามะ คือละนิวรณ์ซะ เมื่อเกิดกุศลก้อทำกุศลนั้นให้เจริญขึ้น
กุศลตรงนี้ท่านตรัสเลยคือ สัมมาสมาธิ เพื่อเจริญกุศลยิ่งขึ้น นั้นคือสัมมาสติ หรือนี่แหละคือวิปัสสนาที่แท้จริง เห็นลำดับไหมครับ
ละอกุศล เกิดสมาธิ ดูสภาวะธรรมทั้งปวงคือ นามรูป หรือ สัมมาสติ กาย เวทนา จิต ธรรม
และขณะละนิวรณ์ได้แล้ว ขณะนั้นศีลย่อมบริสุทธิ์แล้ว ก้ออาศัยศีลบริสุทธิ์แล้วในช่วงนั้นให้เป็นไปเพื่อเจริญปัญญา เพื่อบรรลุธรรมในขณะนั้น
เป็นความเชื่อที่คลาดเคลื่อนไปบ้างครับ ที่ว่าศีลคุณต้องบริสุทธิ์ก่อนนะ แบบที่เข้าใจแบบทั่วๆไปกัน แต่ก้อไม่ได้ชี้โพลงให้กระรอกน่ะครับ
ตรงนี้คุณต้องรู้ก่อนว่า การก่ออกุศลกรรมหรือการละเมิดศีล วิบากย่อมเป็นทุกข์ และทุกข์นั้นไม่สามารถทำให้จิตตั้งมั่นได้ครับ
เมื่อจิตไม่ตั้งมั่น ก้อไม่เห็นสภาวะธรรมทั้งปวงตามที่เป็นจริง เห็นความเชื่อมโยง ร้อยเรียงกันของ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือยังครับ