ภายหลังศุลกากรจังหวัดหนองคาย จับกุมชายขนวัตถุที่รอพิสูจน์ว่าเป็นอสุจิหรือไข่อ่อน เตรียมนำข้ามแดนไปยังประเทศลาว และสงสัยว่า อาจเชื่อมโยงกับธุรกิจอุ้มบุญ ซึ่งปรากฎข้อมูลว่าที่มาของอสุจิหรือไข่อ่อน มาจากโรงพยาบาลและคลินิกที่ทำธุรกิจแก้ปัญหามีลูกยาก 4 แห่งในกรุงเทพ แม้ล่าสุดสถานพยาบาลที่ถูกอ้างถึงจะออกมาชี้แจงว่า ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอุ้มบุญ แต่ดูเหมือนในทางการตรวจสอบ โดยเฉพาะศุลกากรหนองคาย หน่วยงานที่เปิดเรื่องนี้ ยังไม่ปักใจเชื่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากถังไนโตรเจนที่บรรจุอสุจิ 6 หลอด นายนิมิตร แสงอำไพ นายด่านศุลกากรหนองคาย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับทีมข่าวพีพีทีวี ยังสามารถยึดเอกสารที่ระบุว่า อสุจิแต่ละหลอดถูกบรรจุมาจากคลินิกใด เจ้าของอสุจิเป็นใค ที่สำคัญยังมีข้อความระบุว่า อสุจิที่บรรจุมามีลักษณะแข็งแรง สมบูรณ์ ไม่มีโรค เมื่อประกอบการข่าวที่ติดตามมาตลอด 2 เดือน ทำให้เชื่อได้ว่า มีการขนย้ายอสุจิ หรือ เชื้อที่ผสมไข่เป็นตัวอ่อน ข้ามไปทำธุรกิจอุ้มบุญในประเทศเพื่อน โดยมีแพทย์ของไทยเดินทางตามไปทำให้ ล่าสุดจึงประสานงานไปยังด่านศุลกากรทั่วประเทศให้เฝ้าระวังขบวนการเหล่านี้
สำหรับสาเหตุที่ศุลกากรหนองคายยังไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากติดตามขบวนการนี้มากว่า 2 เดือน ก่อนจะจับกุม นายนิธินนทน์ ศรีธานิยานันท์ ผู้ขนอสุจิและตัวอ่อนข้ามแดนได้เมื่อวาน และพบว่า นายนิธินนทน์มีพฤติกรรมขนอสุจิและตัวอ่อนไปส่งยังสถานพยาบาลประเทศลาวและกัมพูชา รวมแล้วถึง 25 ครั้ง โดยมีนายยู ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นเป็นผู้ว่าจ้าง โดยอสุจิและตัวอ่อนที่เคยขนส่งมีที่มาจากสถานพยาบาลที่ทำธุรกิจแก้ปัญหามีลูกยาก 4 แห่งในกรุงเทพฯ
ขณะที่ ศูนย์ ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที. 1 ในสถานพยาบาล 4 แห่งที่นายนิธินนท์ อ้างถึง ส่งนายศราวุธ อัสสมกร กรรมการผู้จัดการ ชี้แจงเรื่องนี้ว่า พีเรีย เอ.อาร์.ที. เป็นสถานพยาบาลแก้ปัญหาผู้มีบุตรยากถูกต้องตามกฎหมายและมีมาตรฐานระดับเอเชีย โดยปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าว โดยตามข้อเท็จจริง ศูนย์ ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที. ยอมรับว่า อสุจิที่พบ 2 ใน 6 หลอด มาจากสถานพยาบาลของตัวเองจริง ซึ่งเป็นของลูกค้า ชายชาวจีน และ ชายชาวเวียดนาม ที่ เคยเข้ามาปรึกษาเรื่องการมีบุตรยาก เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และได้เก็บอสุจิไว้ จากนั้น ในวันที่ 17 เมษยายน และ 19 เมษายน มีคนไทยคนหนึ่งถือหนังสือมอบอำนาจจากชายชาวจีน และ ชายชาวเวียดนามเข้ามาขอรับอสุจิออกจากคลินิกไป
ที่คลินิกต้องให้ไป เพราะมีเอกสารครบถ้วน และถือเป็นสิทธิของเจ้าของอสุจิที่จะสามารถเคลื่อนย้ายอสุจิได้เพราะถือเป็นทรัพย์สินส่วนตัว โดยที่ทางคลินิกไม่รู้ว่าปลายทางจะนำอสุจิไปที่ใด และจะขนย้ายออกนอกประเทศซึ่งผิดกฎหมาย แต่ตามข้อมูลของคลินิก ซูพีเรีย ระบุว่า การขอฝาก-คืนอสุจิตามคลินิกรับปรึกษาผู้มีบุตรยาก ถือเป็นเรื่องปกติเพราะแต่ละวันจะมีการรับฝาก-คืนอสุจิจำนวนไม่น้อย คล้ายกับการรับ-ฝากเงินตามธนาคาร ซึ่งสาเหตุที่เจ้าของอสุจินิยมนำอสุจิออกจากคลินิกตามปกติมักเกิดขึ้นในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนคลินิกดูแล
ขณะเดียวกัน ทางคลินิกเตรียมฟ้องเรียกค่าเสียหายกับนายนิธินนทน์ เนื่องจากอ้างชื่อคลินิกทำให้เสียหายทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ขณะที่การตรวจสอบ สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย เตรียมส่งเชื้อที่ศุลกากรตรวจยึดได้ทั้ง 6 หลอด ไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลขอนแก่น เพื่อให้ข้อมูลชัดเจนว่า เป็นอสุจิ ไข่ หรือ ตัวอ่อน ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลสำคัญที่อาจจะมีส่วนบอกได้ถึงวัตถุประสงค์ของการขนย้ายเชื้อข้ามแดนครั้งนี้
ข่าวจาก : PPTV
https://www.pptvthailand.com/news/ประเด็นร้อน/52536
ศุลกากรสั่งทุกด่านเฝ้าระวังขบวนการขนอสุจิ
ภายหลังศุลกากรจังหวัดหนองคาย จับกุมชายขนวัตถุที่รอพิสูจน์ว่าเป็นอสุจิหรือไข่อ่อน เตรียมนำข้ามแดนไปยังประเทศลาว และสงสัยว่า อาจเชื่อมโยงกับธุรกิจอุ้มบุญ ซึ่งปรากฎข้อมูลว่าที่มาของอสุจิหรือไข่อ่อน มาจากโรงพยาบาลและคลินิกที่ทำธุรกิจแก้ปัญหามีลูกยาก 4 แห่งในกรุงเทพ แม้ล่าสุดสถานพยาบาลที่ถูกอ้างถึงจะออกมาชี้แจงว่า ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอุ้มบุญ แต่ดูเหมือนในทางการตรวจสอบ โดยเฉพาะศุลกากรหนองคาย หน่วยงานที่เปิดเรื่องนี้ ยังไม่ปักใจเชื่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากถังไนโตรเจนที่บรรจุอสุจิ 6 หลอด นายนิมิตร แสงอำไพ นายด่านศุลกากรหนองคาย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับทีมข่าวพีพีทีวี ยังสามารถยึดเอกสารที่ระบุว่า อสุจิแต่ละหลอดถูกบรรจุมาจากคลินิกใด เจ้าของอสุจิเป็นใค ที่สำคัญยังมีข้อความระบุว่า อสุจิที่บรรจุมามีลักษณะแข็งแรง สมบูรณ์ ไม่มีโรค เมื่อประกอบการข่าวที่ติดตามมาตลอด 2 เดือน ทำให้เชื่อได้ว่า มีการขนย้ายอสุจิ หรือ เชื้อที่ผสมไข่เป็นตัวอ่อน ข้ามไปทำธุรกิจอุ้มบุญในประเทศเพื่อน โดยมีแพทย์ของไทยเดินทางตามไปทำให้ ล่าสุดจึงประสานงานไปยังด่านศุลกากรทั่วประเทศให้เฝ้าระวังขบวนการเหล่านี้
สำหรับสาเหตุที่ศุลกากรหนองคายยังไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากติดตามขบวนการนี้มากว่า 2 เดือน ก่อนจะจับกุม นายนิธินนทน์ ศรีธานิยานันท์ ผู้ขนอสุจิและตัวอ่อนข้ามแดนได้เมื่อวาน และพบว่า นายนิธินนทน์มีพฤติกรรมขนอสุจิและตัวอ่อนไปส่งยังสถานพยาบาลประเทศลาวและกัมพูชา รวมแล้วถึง 25 ครั้ง โดยมีนายยู ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นเป็นผู้ว่าจ้าง โดยอสุจิและตัวอ่อนที่เคยขนส่งมีที่มาจากสถานพยาบาลที่ทำธุรกิจแก้ปัญหามีลูกยาก 4 แห่งในกรุงเทพฯ
ขณะที่ ศูนย์ ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที. 1 ในสถานพยาบาล 4 แห่งที่นายนิธินนท์ อ้างถึง ส่งนายศราวุธ อัสสมกร กรรมการผู้จัดการ ชี้แจงเรื่องนี้ว่า พีเรีย เอ.อาร์.ที. เป็นสถานพยาบาลแก้ปัญหาผู้มีบุตรยากถูกต้องตามกฎหมายและมีมาตรฐานระดับเอเชีย โดยปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าว โดยตามข้อเท็จจริง ศูนย์ ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที. ยอมรับว่า อสุจิที่พบ 2 ใน 6 หลอด มาจากสถานพยาบาลของตัวเองจริง ซึ่งเป็นของลูกค้า ชายชาวจีน และ ชายชาวเวียดนาม ที่ เคยเข้ามาปรึกษาเรื่องการมีบุตรยาก เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และได้เก็บอสุจิไว้ จากนั้น ในวันที่ 17 เมษยายน และ 19 เมษายน มีคนไทยคนหนึ่งถือหนังสือมอบอำนาจจากชายชาวจีน และ ชายชาวเวียดนามเข้ามาขอรับอสุจิออกจากคลินิกไป
ที่คลินิกต้องให้ไป เพราะมีเอกสารครบถ้วน และถือเป็นสิทธิของเจ้าของอสุจิที่จะสามารถเคลื่อนย้ายอสุจิได้เพราะถือเป็นทรัพย์สินส่วนตัว โดยที่ทางคลินิกไม่รู้ว่าปลายทางจะนำอสุจิไปที่ใด และจะขนย้ายออกนอกประเทศซึ่งผิดกฎหมาย แต่ตามข้อมูลของคลินิก ซูพีเรีย ระบุว่า การขอฝาก-คืนอสุจิตามคลินิกรับปรึกษาผู้มีบุตรยาก ถือเป็นเรื่องปกติเพราะแต่ละวันจะมีการรับฝาก-คืนอสุจิจำนวนไม่น้อย คล้ายกับการรับ-ฝากเงินตามธนาคาร ซึ่งสาเหตุที่เจ้าของอสุจินิยมนำอสุจิออกจากคลินิกตามปกติมักเกิดขึ้นในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนคลินิกดูแล
ขณะเดียวกัน ทางคลินิกเตรียมฟ้องเรียกค่าเสียหายกับนายนิธินนทน์ เนื่องจากอ้างชื่อคลินิกทำให้เสียหายทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ขณะที่การตรวจสอบ สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย เตรียมส่งเชื้อที่ศุลกากรตรวจยึดได้ทั้ง 6 หลอด ไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลขอนแก่น เพื่อให้ข้อมูลชัดเจนว่า เป็นอสุจิ ไข่ หรือ ตัวอ่อน ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลสำคัญที่อาจจะมีส่วนบอกได้ถึงวัตถุประสงค์ของการขนย้ายเชื้อข้ามแดนครั้งนี้
ข่าวจาก : PPTV
https://www.pptvthailand.com/news/ประเด็นร้อน/52536