สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 25
อย่าหาว่าซ้ำเติมนะคะ
คือ ทั้งคุณ ทั้งครอบครัวคุณไม่ได้วางแผน ประมาณตัวเองเลย คือ คุณก็รู้อยู่ว่า บ้านคุณไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง (เรื่องญาติรับปากจะช่วยส่งเสียอะไร ลืมๆไปเถอะค่ะ พลาดเอง) คือ แบบตอนนี้มันคือ ผลของการกระทำที่ขาดการวางแผนและยั้งคิดไง
เราว่าตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือ คุณก็ตั้งใจเรียน พยายามหาทุน หารายได้พิเศษ คอยให้กำลังใจพ่อแม่ หรือไม่ก็ หักใจไปเลยไปสอบให้ได้มหาวิทยาลัยรัฐ 2 ปีกับเงินที่เสียไปถือเป็นบทเรียนราคาแพงในชีวิต จงจำมันไว้ให้ดี แล้วอย่าพลาดอีก
เราจะเสริมอีกนิด สำหรับเราคือ มันไม่ใช่การลงทุนของครอบครัวอะค่ะ การลงทุนต้องมีการวางแผน รู้ความเสี่ยง รู้ระยะคืนทุน รู้ระยะยอมตัดใจ สำหรับเราเหมือนการซื้อหวยแล้วไปนั่งสวดมนต์ให้มันถูกรางวัลที่ 1 ด้วย คือไม่มีอะไรเลย เราอยากให้พ่อแม่หลายๆคนเก็บไปคิดด้วยค่ะ คือรักลูก ยอมทำเพื่อลูก แต่มองลึกๆจริงๆคือ คุณต้องวางแผน ถ้ามันไม่ไหวคุณต้องกล้าคุยกับลูก ว่าครอบครัวเราเป็นแบบนี้ๆ พ่อกับแม่ พยายามเต็มที่แล้วแต่หนูต้องเข้าใจด้วยว่า ชีวิตหนูกับพ่อแม่ไม่ได้สิ้นสุดในอีก 6 ปีข้างหน้าในวันที่หนูเรียนจบ (อันนี้ยกตัวอย่างนะคะ) แต่มันยังอีกไกล ถ้ามีอะไรผิดพลาด ชีวิตที่เหลือของพวกเราจะเป็นอย่างไร ถ้าหนูเรียนจบมาแล้วพร้อมหนี้อีก 3-6 ล้าน (คือมันไม่ใช่แค่ค่าเรียนนะ กิน อยู่ สังคมอีก) มันสนุกหรือ มีความสุขมั้ย
เราว่ามันจะเป็นปัญหาต่อเนื่องกันไป พ่อแม่ก็ต้องคาดหวังละ ส่งไปขนาดนี้ เรียนจบต้องใช้หนี้ ต้องนั่นต้องนี่ แล้วถ้าบังเอิญมันสะดุดระหว่างทางจะทำอย่างไร
ปัญหาลึกๆเรามองว่า มันเป็นเพราะคนไทยส่วนใหญ่ ขาดการวางแผน ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก คิดแค่ว่าเดี๋ยวมันก็ได้เอง เดี๋ยวมันก็ดีเอง
คือ ทั้งคุณ ทั้งครอบครัวคุณไม่ได้วางแผน ประมาณตัวเองเลย คือ คุณก็รู้อยู่ว่า บ้านคุณไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง (เรื่องญาติรับปากจะช่วยส่งเสียอะไร ลืมๆไปเถอะค่ะ พลาดเอง) คือ แบบตอนนี้มันคือ ผลของการกระทำที่ขาดการวางแผนและยั้งคิดไง
เราว่าตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือ คุณก็ตั้งใจเรียน พยายามหาทุน หารายได้พิเศษ คอยให้กำลังใจพ่อแม่ หรือไม่ก็ หักใจไปเลยไปสอบให้ได้มหาวิทยาลัยรัฐ 2 ปีกับเงินที่เสียไปถือเป็นบทเรียนราคาแพงในชีวิต จงจำมันไว้ให้ดี แล้วอย่าพลาดอีก
เราจะเสริมอีกนิด สำหรับเราคือ มันไม่ใช่การลงทุนของครอบครัวอะค่ะ การลงทุนต้องมีการวางแผน รู้ความเสี่ยง รู้ระยะคืนทุน รู้ระยะยอมตัดใจ สำหรับเราเหมือนการซื้อหวยแล้วไปนั่งสวดมนต์ให้มันถูกรางวัลที่ 1 ด้วย คือไม่มีอะไรเลย เราอยากให้พ่อแม่หลายๆคนเก็บไปคิดด้วยค่ะ คือรักลูก ยอมทำเพื่อลูก แต่มองลึกๆจริงๆคือ คุณต้องวางแผน ถ้ามันไม่ไหวคุณต้องกล้าคุยกับลูก ว่าครอบครัวเราเป็นแบบนี้ๆ พ่อกับแม่ พยายามเต็มที่แล้วแต่หนูต้องเข้าใจด้วยว่า ชีวิตหนูกับพ่อแม่ไม่ได้สิ้นสุดในอีก 6 ปีข้างหน้าในวันที่หนูเรียนจบ (อันนี้ยกตัวอย่างนะคะ) แต่มันยังอีกไกล ถ้ามีอะไรผิดพลาด ชีวิตที่เหลือของพวกเราจะเป็นอย่างไร ถ้าหนูเรียนจบมาแล้วพร้อมหนี้อีก 3-6 ล้าน (คือมันไม่ใช่แค่ค่าเรียนนะ กิน อยู่ สังคมอีก) มันสนุกหรือ มีความสุขมั้ย
เราว่ามันจะเป็นปัญหาต่อเนื่องกันไป พ่อแม่ก็ต้องคาดหวังละ ส่งไปขนาดนี้ เรียนจบต้องใช้หนี้ ต้องนั่นต้องนี่ แล้วถ้าบังเอิญมันสะดุดระหว่างทางจะทำอย่างไร
ปัญหาลึกๆเรามองว่า มันเป็นเพราะคนไทยส่วนใหญ่ ขาดการวางแผน ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก คิดแค่ว่าเดี๋ยวมันก็ได้เอง เดี๋ยวมันก็ดีเอง
ความคิดเห็นที่ 43
อ่านแล้วตกใจกับเรื่องแบบนี้มากมาย การเป็นแพทย์ไม่ใช่ที่สุดของชีวิต อาชีพอื่นก็สร้างรายได้เพื่อดำรงชีพได้เช่นกัน ควรdrop แล้วสอบใหม่ก่อนที่ความเสียหายจะเกิดมากกว่านี้ คุณรู้ก่อนเรียนหรือไม่หากคุณสอบไม่ผ่านในแต่ละวิชา ต้องเสียเงินลงทะเบียนใหม่ เงินที่มีบอกเลยว่าไม่มีทางพอ วางแผนชีวิตได้ประมาทมาก ส่านญาติไม่ได้มีส่วนอะไรใรชีวิตเลย ไปสนใจทำไม คนที่ลำบากคือพ่อแม่เรา อย่าคิดว่าจบออกมาแล้วชีวิตจะเป็นตามที่วางแผนนะ ส่วนตัวสอนเห็นเคสมามากมายที่ต้องออกระหว่างเรียนซึ่งมีหลายปัจจัยทั้งที่เด็กพวกนี้เรียนใน ม.ของรัฐยังมีเหตุให้ออก คุณแน่ใจได้ยังไงว่าตัวเองจะสู้ไหว อีกอย่างครอบครัวที่อยู่ข้างหลังก็มีชีวิตแสนจะลำบาก รู้ว่าพ่อแม่รัก แต่โตจนป่านนี้คิดเองไม่ได้หรือว่า เรียนสาขาอื่นที่ไม่ทำให้พ่อแม่เดือดร้อนจะดีกว่ามั๊ย อย่าใช้ความรักของพ่อแม่มาอ้างเลยคะ เห็นต่างอย่างมาก
ความคิดเห็นที่ 46
ผมไม่เห็นด้วยเลยครับ ขายบ้านขายรถทุ่มทุกสิ่งเพื่อสร้างลูกให้เป็นหมอ
คือถ้ารู้อนาคตว่าจบชัวร์ 6ปี สอบใบประกาศโรคศิลป์ผ่านแน่มันก็โอเคอะครับ
แต่นี่อนาคตมันไม่แน่ไม่นอน สมมติตอนปี4 เจ้าของกระทู้สอบไม่ผ่าน
ขึ้นชั้นคลินิคแล้วรับไม่ไหว หรือเกรดdrop มา 2.x ซัก2เทอม , สอบใบประกอบโรคศิลป์ไม่ผ่านซัก2รอบ
แบบนี้จิตใจมันจะยังไหวไหมละครับ กับความเครียดที่ต้องแบกรับทั้งการเรียน และความหวังของทางบ้าน
แสดงความคิดเห็นในฐานะคนที่มีน้าชายเป็น นศพ ที่ฆ่าตัวตายตอนชั้นปี6ครับ
คือถ้ารู้อนาคตว่าจบชัวร์ 6ปี สอบใบประกาศโรคศิลป์ผ่านแน่มันก็โอเคอะครับ
แต่นี่อนาคตมันไม่แน่ไม่นอน สมมติตอนปี4 เจ้าของกระทู้สอบไม่ผ่าน
ขึ้นชั้นคลินิคแล้วรับไม่ไหว หรือเกรดdrop มา 2.x ซัก2เทอม , สอบใบประกอบโรคศิลป์ไม่ผ่านซัก2รอบ
แบบนี้จิตใจมันจะยังไหวไหมละครับ กับความเครียดที่ต้องแบกรับทั้งการเรียน และความหวังของทางบ้าน
แสดงความคิดเห็นในฐานะคนที่มีน้าชายเป็น นศพ ที่ฆ่าตัวตายตอนชั้นปี6ครับ
ความคิดเห็นที่ 89
ดูแล้วแลน้องมี ego อยู่นา เอางี้ถ้ามั่นใจว่าพอตัว สอบแพทย์รัฐให้ติดสิ ผมว่าสิ่งที่คุณต้องการตอนนี้เหมือนไม่ใช่คำแนะนำเท่าไรเลย คุณเล่นเถียงสู้คนที่แนะนำกลับซะงั้น
แต่ .
.
ผมก็จะพิม ผมไม่สน 555
ผมชื่นชมพ่อแม่น้องนะ คนเป็นพ่อแม่สุดท้ายก็ทำทุกอย่างเพื่อลูก ยอมให้ตัวเองลำบาก แต่ผมไม่รู้ว่าลูกหลายๆคนจะเข้าใจมั้ย อายุที่เพิ่มขึ้นของพ่อแม่ กับสิ่งที่ยังต้องรับผิดชอบอีกมากมาย มันไม่ใช่เรื่องตลกเลย ที่ผมอยากจะบอก คือ เงินก้อนนั้นสำคัญนะ ถ้าระหว่างนี้เกิดเหตุการณ์อะไรที่น้องหรือคนในครอบครัวต้องใช้เงิน ทุกอย่างที่วางไว้มันอาจจะบิดเบี้ยวไปซะหมด ณ จุดนั้นจะไหวหรอ ลดภาระลงมั้ย ... ไม่ได้อยากให้เกิด แต่อยากให้คิด
เรื่องซิ่วนี่ไม่ใช่ประเด็นนะ เพื่อนผมคนนึง เรียน ม.5 จะขึ้น ม.6 ซิ่ว ไปเข้า ม.4เตรียมอุดม ตอนเข้ามหาลัยก็ซิ่วอีก เพราะมองถึงอนาคตมันไม่ได้ ก็ต้องซิ่ว
ถ้าน้องซิ่วเรียนใหม่หนึ่งปี แต่ค่าใช้จ่ายที่ลดลงจำนวนมากเนี่ย ผมว่าคุ้มนะสอบให้ติด บอกพ่อแม่เอาเงินส่วนต่างไปทำมาค้าขายต่อยังดีกว่า ไปซื้อรถให้เดินทางปลอดภัยมากขึ้นยังดีกว่าซะอีก
พ่อแม่น้องน่าจะตั้งความหวังไว้เยอะนะ ใจนึงก็กลัวลูกผิดหวังด้วยแหละถึงได้เดิมพันหนักขนาดนี้ ในฐานะที่เป็นลูก พิสูจน์ตัวเองสิครับ
มั่นใจว่าช่วงนี้น้องต้องเครียดแน่ๆ เจออะไรเยอะ แต่เอาใจช่วยนา
ลืมถามอีกอย่าง แล้วน้องถามตัวเองแล้วหรือยังว่าชอบวิชาชีพแพทย์จริงๆรึเปล่าน่ะ ?
แต่ .
.
ผมก็จะพิม ผมไม่สน 555
ผมชื่นชมพ่อแม่น้องนะ คนเป็นพ่อแม่สุดท้ายก็ทำทุกอย่างเพื่อลูก ยอมให้ตัวเองลำบาก แต่ผมไม่รู้ว่าลูกหลายๆคนจะเข้าใจมั้ย อายุที่เพิ่มขึ้นของพ่อแม่ กับสิ่งที่ยังต้องรับผิดชอบอีกมากมาย มันไม่ใช่เรื่องตลกเลย ที่ผมอยากจะบอก คือ เงินก้อนนั้นสำคัญนะ ถ้าระหว่างนี้เกิดเหตุการณ์อะไรที่น้องหรือคนในครอบครัวต้องใช้เงิน ทุกอย่างที่วางไว้มันอาจจะบิดเบี้ยวไปซะหมด ณ จุดนั้นจะไหวหรอ ลดภาระลงมั้ย ... ไม่ได้อยากให้เกิด แต่อยากให้คิด
เรื่องซิ่วนี่ไม่ใช่ประเด็นนะ เพื่อนผมคนนึง เรียน ม.5 จะขึ้น ม.6 ซิ่ว ไปเข้า ม.4เตรียมอุดม ตอนเข้ามหาลัยก็ซิ่วอีก เพราะมองถึงอนาคตมันไม่ได้ ก็ต้องซิ่ว
ถ้าน้องซิ่วเรียนใหม่หนึ่งปี แต่ค่าใช้จ่ายที่ลดลงจำนวนมากเนี่ย ผมว่าคุ้มนะสอบให้ติด บอกพ่อแม่เอาเงินส่วนต่างไปทำมาค้าขายต่อยังดีกว่า ไปซื้อรถให้เดินทางปลอดภัยมากขึ้นยังดีกว่าซะอีก
พ่อแม่น้องน่าจะตั้งความหวังไว้เยอะนะ ใจนึงก็กลัวลูกผิดหวังด้วยแหละถึงได้เดิมพันหนักขนาดนี้ ในฐานะที่เป็นลูก พิสูจน์ตัวเองสิครับ
มั่นใจว่าช่วงนี้น้องต้องเครียดแน่ๆ เจออะไรเยอะ แต่เอาใจช่วยนา
ลืมถามอีกอย่าง แล้วน้องถามตัวเองแล้วหรือยังว่าชอบวิชาชีพแพทย์จริงๆรึเปล่าน่ะ ?

แสดงความคิดเห็น
พ่อแม่ใครเคย(แทบ)หมดตัวเพราะส่งลูกเรียนบ้างคะ สงสารพ่อแม่เราจัง
ซึ่งแน่นอนว่าค่าเทอมสูงมากๆค่ะ ตอนนั้นต้องจ่ายค่าเทอม เทอมแรก ประมาณ 300,000 บาท พ่อเราไม่มีเงินก้อนค่ะ (พ่อเราทำงานบริษัท ส่วนแม่ค้าขายค่ะ เงินเดือนรวมๆกันประมาณ 3 หมื่นต่อเดือนค่ะ)
ตอนนั้นพ่อเราตัดสินใจขายรถยนต์เก๋ง ได้เงินมาประมาณ 4 แสนบาทค่ะ เอามาจ่ายค่าเทอมให้เรา
ระหว่างนั้นพ่อก็ประกาศขายบ้านซึ่งเป็นมรดกที่ปู่ให้เอาไว้ค่ะ เป็นทาวน์เฮาส์ 2 ห้องติดกัน ซึ่งก่อนหน้านี้แม่เราให้เค้าเช่าอยู่ค่ะ
พ่อเรามีความตั้งใจว่าเงินที่ได้ทั้งหมดจากการขายบ้านจะเอาไว้เป็นค่าเทอมให้เราตลอด 6 ปี ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าหอของเรา ก็เป็นเงินเดือนของพ่อแม่ค่ะ ซึ่งพ่อเราก็สามารถขายบ้านได้ทันก่อนเราจ่ายค่าเทอม เทอม2 ค่ะ (ขายได้ประมาณ 3 ล้านบาท) ซึ่งก็น่าจะเพียงพอกับการเรียน 6 ปี หากไม่มีอะไรผิดพลาด
ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาเราได้กลับบ้านค่ะ (บ้านเราอยู่ จ.หนึ่งทางภาคอีสาน) เรานั่งรถทัวร์ไปลงบขส. เลยทำให้ตระหนักและรู้สึกเสียใจในหลายๆอย่างมากค่ะ
1) พ่อเราต้องขับรถมอเตอไซค์มารับเราที่ บขส. ซึ่งไกลจากบ้านเราประมาณ 20 กม.ค่ะ เราสงสารพ่อมาก
2) เมื้อก่อนพ่อแม่เรามีรถยนต์ไปไหนมาไหนก็สะดวก ตอนนี้พ่อจะไปหาหมอที่ รพ. ก็ต้องขับมอเตอไซค์ไป ตากแดดตากลม มีวันหนึ่งฝนตกพ่อแม่เราขับรถ เปียกฝน รุ่งขึ้นพ่อกับแม่เราไม่สบายเลยค่ะ เรายิ่งเสียใจและรู้สึกผิดมากๆ เพราะเราถึงทำให้พ่อแม่ไม่สบาย
3) เมื่อก่อนเวลาจะไปเยี่ยมญาติไกลๆ พวกเราสามารถไปได้เลย สงกรานต์ที่ผ่านมาพ่อเราต้องบอกให้ญาติมารับเพื่อไปเยี่ยมปู่ย่าตายายที่อยู่ไกลๆ
4) เมื่อก่อนแม่เราต้องไปซื้อของเพื่อมาขาย ไปซื้อในเมือง ตอนนี้แม่เราก็ไปลำบากมากขึ้น เพราะไม่มีรถยนต์ไว้บรรทุกของ ส่วนพ่อเราก็ต้องขับมอไซค์ไปทำงาน ที่ทำงานอยู่ในเมือง ห่างจากบ้าน ~20 กม.
และอีกหลายๆเหตุการณ์ที่เราสงสารพ่อแม่เรามากค่ะ บางครั้งก็ร้องไห้เสียใจอยู่คนเดียว ว่าเราตัดสินใจผิดหรือเปล่า ที่ทำให้พ่อแม่ต้องลำบากขนาดนี้
*ตอนนี้บ้านที่พ่อแม่เราอยู่ก็ไม่ใช่บ้านของพ่อแม่เราค่ะ เป็นของอาเราเพราะอาเราทำงานที่กทม. ครอบครัวเราอ่บ้านนี้มานานแล้วค่ะ แต่ก็ถือว่าไม่ใช่สมบัติของพ่อแม่เรา
เรียกได้ว่าหมดตัวจริงๆค่ะ เรามาตั้งกระทู้ไม่ได้ต้องการอะไรนะคะ แค่อยากอ่านเรื่องราวของคนอื่นที่อาจจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น หรืออาจจะเป็นมุมมองของพ่อแม่ที่เสียสละจนหมดตัวเพื่อลูก เราอยากรู้อยาเข้าใจความรู้สึกค่ะ