สวัสดีค่า เพื่อนๆ ชาวพันทิป วันนี้เราจะมาบอกเล่าความรู้สึกกับประสบการณ์ขึ้นเครื่องบินและไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต เรียกได้ว่ากันเลยทีเดียว ใต้ความใฝ่ฝันตลอด 25 ปีที่ผ่านมา เพิ่งจะมีบุญได้นั่งเครื่องบิน ปลื้มปริ่มน้ำตาจิไหล แบบว่ามันหลายความรู้สึกมากอ่ะเธอ บอกไว้ก่อนเลยว่ารีวิวนี้ยาวอยู่ซักหน่อย เพราะอยากเล่าให้ฟังทุกอารมณ์ ทุกสัมผัส ทุกความรู้สึกตื่นเต้น เหวอ งง ฟิน มาๆ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าเรื่องมันเป็นมายังไง แต่เพื่อไม่ให้ง่ายต่อการอ่าน ขอแบ่งรีวิวเป็นตอนๆ แยกเป็น การเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง วันเดินทาง บรรยากาศโกตากินาบาลู และวันกลับเนอะ ไปค่ะ เริ่ม!

คืองี้ จุดเริ่มต้นมันมีอยู่ว่า เราก็นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศตามปกติธรรมดานี่แหละ จนกระทั่งยามบ่ายคล้อย คุณหัวหน้าสุดที่รักกลับมาจากประชุมและพูดกับเราว่า
หน. : “หวยออกที่แกนะ เตรียมเก็บเป๋าไปมาเลเซียวันอาทิตย์นี้”
ตุ๊ด : ห้ะ!!! อะไรนะ เดี๋ยวค่า ใจเย็นๆ มาเล..อะไร แล้ววันอาทิตย์..ยังไง นี่มันวันพุธ อีก 4 วันเดินทางงี้!!!
แต่ยังค่ะ ความช็อกยังไม่จบ ทีแรกได้ยินว่าไปมาเลเซีย ก็นึกว่าไปกัวลาลัมเปอร์ แต่ไม่ใช่ เมืองที่จะไปคือ “โกตากินาบาลู”
นั่นชื่อเมืองใช่มะ นี่นึกว่าคาถาในแฮร์รี่ พอตเตอร์! เปิดกูเกิลแมปสิคะรออัลไล ดูว่าเมืองนี้นี่อยู่ส่วนไหนของโลก เพิ่งจะเคยได้ยินชื่อนี่แหละ
พอเห็นแผนที่ปุ๊บนี่งงมาก เพราะเมืองนี้ต้องบินข้ามทะเลจีนใต้ไป ตัวเมืองอยู่ในรัฐซาบาร์ แถวๆ บรูไนโน่น ทีแรกนึกว่าอยู่ทางใต้ของไทยเหมือนกัวลาลัมเปอร์

มาค่ะ เข้าสู่ความระทึกใจกันต่อ บอกเลยว่าตื่นเต้นมือสั่นตกใจทำอะไรไม่ถูก เทงานทุกอย่างเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่ หลังจากการซักไซ้ไล่เรียงแล้วทราบว่า ที่เราได้ไปเนี่ยก็เพราะสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์เปิดเส้นทางบินจากไทยไปโกตากินาบาลูเป็นเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ทางบริษัทเลยส่งตัวแทนไปลองใช้บริการได้ โฮะๆๆ ได้เที่ยวบินแรกด้วย ดีจังเลย แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งดีใจไป นี่เพิ่งได้ข่าวว่ามาเลเซียเพิ่งแบน Beauty and the beast เพราะมีฉากตัวละครที่เป็นเกย์ เดี๋ยวนะ //มองตัวเองในกระจก// ถ้าเราไปนี่จะไม่โดนปาหินใส่ถูกมะ คือยังไง ต้องแอ๊บแมนงี้เหรอ โอ้โห สะพรึงไปอี๊ก
เอาล่ะค่ะ เวลาเหลือน้อยต้องรีบดึงสติ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “พาสปอร์ต”
เริ่มจากหาข้อมูลทำพาสปอร์ตก่อนเลยจ้า รีบเปิดเว็บจองคิวทำพาสปอร์ต www.passport.in.th/eService/
เราจองไปช่วงประมาณ 10.30 น. เลือกสถานที่เป็นกรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ เพราะอยู่ใกล้ออฟฟิศ อ้อ พอถึงวัน ก็ไปแสตนด์บายก่อนเวลานัด 30 นาที เจ้าหน้าที่ก็จะประกาศเรียกชื่อผู้ที่จองคิวไว้ให้เข้าไปทำพาสปอร์ต ใช้เวลาทั้งกระบวนการแค่ 15 นาทีก็เสร็จ เร็วมาก แถมถ้าถ่ายรูปแล้วยังไม่พอใจ สามารถให้เจ้าหน้าที่ถ่ายใหม่ได้อีก เก๋ตรงนี้ เราทำพาสปอร์ตวันพฤหัส และเลือกรับพาสปอร์ตวันศุกร์ เรียกว่าเฉียดฉิวมากกก จ่ายค่าทำพาสปอร์ตไป 2,000 บาทเป็นค่าเร่งเวลา ได้รับตัวเล่ม 1 วันถัดไปจากปกติที่ต้องรอ 3 วัน นี่แหละทำให้เรารู้ว่าเงิน...ซื้อเวลาได้จริง!
เรื่องพาสปอร์ตจบไป ต่อด้วยที่ซุกหัวนอนกันบ้าง เพราะนอกจากหัวหน้าจะลั่นคำสั่งมาพร้อมกับตั๋วเครื่องบินที่ระบุวันไปและกลับชัดเจน
ก็ไม่มีอะไรให้อีกเลย รีบเปิดเว็บจองโรงแรม เพราะเดี๋ยวห้องเต็ม ได้นอนตบยุงริมถนนที่มาเลเซียแน่ๆ งานนี้ลองใช้หลายเว็บช่วยเปรียบเทียบราคา
แต่สุดท้ายเลือกจองกับ booking.com เพราะก่อนหน้านี้เคยใช้จองโรงแรมในประเทศแล้วมีดีลราคาพิเศษให้ มีแผนที่กับพิกัดโรงแรมที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน ที่สำคัญราคาที่แสดงเป็นราคา net รวมทุกอย่างแล้วไม่หมกเม็ด จองก่อนไปจ่ายที่โรงแรมวันเข้าพัก เราเลือกโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากสนามบินมากนักเพราะแค่ซุกหัวนอนคืนเดียว แต่ก็ขอให้อยู่บริเวณโซนร้านค้า ตลาด หรือซูเปอร์มาร์เก็ตหน่อย จะได้ไม่อดตาย ที่สำคัญพิจารณาจากรูปบรรยากาศภายในห้องด้วย ไม่อยากเลือกโรงแรมเก่าๆ บรรยากาศชวนขนลุก เพราะเอาจริงๆ เป็นคนกลัวผีเอามากๆ แถมเป็นผีมาเลด้วยแล้ว ไม่ไหวจริงๆ ฮ่าๆๆ เลยได้โรงแรม Cititel Express มา เป็นโรงแรม 3 ดาว ค่าห้องถูกสุดคืนละประมาณ 1,000 บาท ดูบรรยากาศแล้วไม่น่าจะมีผี อยู่ห่างจากสนามบินประมาณ 7 กิโล รวมทั้งอยู่ใกล้ชุมชนและร้านอาหารด้วย
ต่อกันที่ประกันการเดินทาง เรื่องเตรียมพร้อมก่อนเริ่มเดินทางเรื่องสุดท้ายและสำคัญมากก็คือ “ประกันการเดินทาง” ช่วงหลังๆ เห็นข่าวนักท่องเที่ยวเจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ หรือไฟลต์ยกเลิก ดีเลย์เยอะแยะจนใจคอไม่ดี เลยตัดสินใจซื้อประกันการเดินทางเพื่อความสบายใจซักหน่อย ตัดสินใจเลือกจากหลายๆ บริษัท แต่ก็มาลงเอยที่ Cigna ประกันภัย เพราะราคาค่อนข้างถูกกว่าเจ้าอื่น ในวงเงินประกันที่พอกัน วิธีการซื้อก็ง่ายแค่เข้าเว็บไซต์ www.cigna.co.th เลือกซื้อประกันการเดินทาง ระบุประเทศที่จะไป และวันเดินทางที่ครอบคลุมขาไปและขากลับด้วย เราเลือกแพ็กเกจ 3 ราคา 439 บาท โดยพิจารณาจากวงเงินประกันและการดูแลที่ครอบคลุม หลังจากนั้นก็กรอกข้อมูลส่วนตัวเล็กน้อย เลือกชำระด้วยบัตรเครดิต แค่นี้ก็ได้ประกันมานอนกอดให้อุ่นใจตลอดการเดินทางแล้ว ฮี่ๆ
ยังค่ะ ยังไม่จบนะ คำถามต่อไป .. (จะไปต่างประเทศทั้งทีนี่ต้องเตรียมตัวเยอะเวอร์วังอะไรเบอร์นี้) เราจะสื่อสารกับคนที่โน่นยังไง
คนมาเลเซียพูดอังกฤษได้ใช่มั้ยนะ เลยเสิร์ช Google ดูก็ค่อยอุ่นใจขึ้นมาหน่อยว่าคนมาเลเซียพูดอังกฤษพอได้
ข้อมูลถัดมาที่ต้องหาไว้เพื่อเตรียมตัว คงหนีไม่พ้นเงิน, ไฟฟ้า และอินเทอร์เน็ต ต้องแก้โจทย์พวกนี้ในเวลาแค่ 4 วัน เรียกว่าหาข้อมูลกันไฟลุก
ต้องเสิร์ชว่าค่าข้าวมื้อละเท่าไหร่ ค่าเดินทางเท่าไหร่ แลกเงินไปแค่ไหนถึงจะพอ (แต่จริงๆ ก็ไปแค่ 2 วัน 1 คืนแหละ หาข้อมูลซะเวอร์วังไว้ก่อน)
สรุปคือเราตัดสินใจแลกเงินไปประมาณ 400 ริงกิต หรือประมาณ 3,000 บาท (วันกลับเหลือกลับมาเกินครึ่งนะ ไปแป็บเดียว ไม่ค่อยได้ใช้อะไร)
ส่วนไฟฟ้าที่นั่นใช้กระแสสลับ 230V/50Hz (แบบเดียวกับสิงคโปร์) ต้องเตรียม Universal Adapter ไป (อันนี้ก็ยึดของหัวหน้าไป ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อใหม่) สุดท้าย เรื่องอินเทอร์เน็ต ขาดไม่ได้เลย เช็กราคาเปิดโรมมิ่งก็แพง ไวไฟพกพา (Pocket Wifi) ก็ไม่คุ้มเพราะไม่มีคนหาร เลยตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า ซื้อซิมมาเลเซียที่โน่นเอาละกัน เพราะเช็กข้อมูลราคาแล้วประหยัดกว่า 2 ตัวเลือกแรก
เอาล่ะค่ะ เวิ่นเว้อลำไยพอละ วาร์ปมาวันเดินทางเลยดีกว่า อาทิตย์ที่ 26 มีนาคม 2560 วันเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ กรุงเทพ-โกตากินาบาลู (BKK-BKI) ของสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ เที่ยวบิน WE421 เวลา 13.40 น. ซึ่งเป็นที่มาของการเดินทางครั้งนี้ ต้องกราบขอบพระคุณทางไทยสมายล์อีกทีที่เปิดโอกาสให้เด็กน้อยไร้ประสบการณ์อย่างเราได้ร่วมเดินทางไปกับเที่ยวบินสุดพิเศษกับเส้นทางแปลกหูนี้ แต่ขอบอกว่าทริปนี้ไม่เปล่าเปลี่ยวเพราะเรามีพี่ชายร่วมออฟฟิศผู้ช่ำชองการขึ้นเครื่องบิน แถมยังเคยไปโกตากินาบาลูมาแล้ว เลยรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา (นิดนึง) แต่เดี๋ยวก่อน งานนี้ได้รับคำสั่งว่า ให้ทำการเช็กอิน ผ่านตม. ผ่านจุดตรวจทั้งหลายแหล่ด้วยตัวเองคนเดียวนะจ๊ะ ห้ามมีผู้ช่วย เพราะเบื้องบนอยากรู้ว่าป้ายทั้งหลายทั้งปวงของสนามบินจะช่วยคนที่เพิ่งเคยเดินทางครั้งแรกได้แค่ไหนอย่างไร โอ้โห เล่นใหญ่กันเบอร์นี้ แต่ก็มาเลยค่ะ! น้องรับได้ทุกอย่าง!
จุดเริ่มต้นของการเดินทางวันนี้อยู่ที่ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต เพราะอยู่ใกล้บ้านและมีรถตู้ไปสุวรรณภูมิเลย จัดไปค่ะ น้องหาข้อมูลมาดีแล้ว น้องต้องไม่ตกเครื่อง! ลองคำนวณเวลา สรุปว่าเราต้องถึงสนามบินก่อนเครื่องออกประมาณ 3 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นต้องไปถึงสนามบินในเวลา 10.40 น. พอได้ฤกษ์งามยามดี 9 โมงเช้าก็ออกจากบ้าน บอกเลยว่าใจตุ้มๆ ต่อมๆ มาก ไม่ใช่อะไร กลัวตกเครื่อง ฮ่าๆๆ ไม่รู้ว่าควรเผื่อเวลานานขนาดไหน พอถึงสนามบิน รถตู้ก็จอดที่ประตู 3 พี่คนขับก็บอกว่า ใครเข้าสนามบินลงได้เลยค้าบ โอเคค่ะ มีเราลงคนเดียว นี่ก็แอบสงสัยว่าคนบนรถที่เหลือเขาไปไหนกันนะ ทำไมไม่ลงมากัน ก้มมองดูนาฬิกาเวลาประมาณ 10.00 น. นับว่าทำเวลาได้ดีค่ะ
ถึงแล้วสินะ สุวรรณภูมิครั้งแรกของน้อง… ตื่นเต้นๆ

พอเข้าประตูสนามบินไปปุ๊บ ก็เจอกับป้ายบอกทาง เอาล่ะ เราจะมาทดสอบว่าป้ายจะช่วยคนที่มาครั้งแรกอย่างเราได้มั้ย

เห็นป้ายแล้วก็ขึ้นลิฟต์ไปชั้นผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 เลยค่ะ ตอนอยู่ในลิฟต์นี่ขึ้นไปพร้อมสจ๊วตสายการบินไหนไม่รู้ 2 คน
ดูมีอายุแล้วแต่หุ่นกับหน้ายังแซ่บอยู่เลยค่ะ คริคริ ถือเป็นใบเบิกการเดินทางที่ดีย์
เอาล่ะ จากนั้นก็ดูบอร์ดว่าเคาน์เตอร์เช็กอินและรับบอร์ดดิ้งพาสอยู่ Row ไหน ของไทยสมายล์อยู่ที่ Row C, D, E ไปกันเลยค่ะ

ป้าย Row สีเหลืองเด่นใหญ่ชัดแจ๋ว ไม่หลงแน่นอน

เจอแล้ว เคาน์เตอร์เช็กอิน สังเกตดีๆ เหนือเคาน์เตอร์มีจอบอกคลาสที่นั่ง ก็คือ Smile class (ที่นั่งชั้นประหยัด) กับ Smile plus class
(ที่นั่งชั้นประหยัดพรีเมียม) เราก็เดินเข้าไปที่ช่อง Smile class แล้วก็ยื่นพาสปอร์ตกับ itinerary ให้พนักงานจัดการต่อไป

ข้างๆ เคาน์เตอร์เช็กอินเป็นลู่ชั่งน้ำหนักกระเป๋าก่อนนำไปโหลด จากที่ศึกษาข้อมูลมา ไทยสมายล์ให้ผู้โดยสารโหลดสัมภาระใต้ท้องเครื่องได้ 20 กก.
และถือขึ้นเครื่องได้ 7 กก. ลองหย่อนของตัวเองเล่นๆ แต่ไม่ได้โหลดไปหรอกนะ ถือขึ้นเครื่องไปดีกว่าเพราะของไม่เยอะ (กระเป๋าเน่ามาก พลีชีพสุด
ฮือออ) ส่วนใครไม่แน่ที่กระเป๋าของตัวเองที่จะถือขึ้นเครื่อง มีน้ำหนัก และขนาดถูกต้องถามกฏของสายการบินมั้ย สามารถลองชั่งและวัดขนาดกระเป๋าได้จากตราชั่งที่อยู่ใกล้ๆ กับเคาน์เตอร์เช็กอิน (เค้าขอโทษ เค้าลืมถ่ายรูปมา)


เอาล่ะค่ะ เช็กอินเรียบร้อย ได้รับใบ ตม. มาพร้อมกับบอร์ดดิ้งพาส ในส่วนของใบ ตม. บอกเลยศึกษามาอย่างดี ท่องมาจากบ้าน
ต้องกรอกรายละเอียดให้เรียบร้อย ช่องแรกให้กรอกนามสกุลนะจ๊ะ ไม่ใช่กรอกชื่อ และต้องกรอกเป็นภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่นะ
เชื่อเรา เรารู้ เราเรียนมา อิอิ

[SR] +++ ตุ๊ดขี้เม้าท์ เล่าประสบการณ์ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก มุ่งสู่โกตากินาบาลู ดินแดนอะไรก็ไม่รู้ แต่ตุ๊ดต้องรอด! +++
คืองี้ จุดเริ่มต้นมันมีอยู่ว่า เราก็นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศตามปกติธรรมดานี่แหละ จนกระทั่งยามบ่ายคล้อย คุณหัวหน้าสุดที่รักกลับมาจากประชุมและพูดกับเราว่า
หน. : “หวยออกที่แกนะ เตรียมเก็บเป๋าไปมาเลเซียวันอาทิตย์นี้”
ตุ๊ด : ห้ะ!!! อะไรนะ เดี๋ยวค่า ใจเย็นๆ มาเล..อะไร แล้ววันอาทิตย์..ยังไง นี่มันวันพุธ อีก 4 วันเดินทางงี้!!!
แต่ยังค่ะ ความช็อกยังไม่จบ ทีแรกได้ยินว่าไปมาเลเซีย ก็นึกว่าไปกัวลาลัมเปอร์ แต่ไม่ใช่ เมืองที่จะไปคือ “โกตากินาบาลู”
นั่นชื่อเมืองใช่มะ นี่นึกว่าคาถาในแฮร์รี่ พอตเตอร์! เปิดกูเกิลแมปสิคะรออัลไล ดูว่าเมืองนี้นี่อยู่ส่วนไหนของโลก เพิ่งจะเคยได้ยินชื่อนี่แหละ
พอเห็นแผนที่ปุ๊บนี่งงมาก เพราะเมืองนี้ต้องบินข้ามทะเลจีนใต้ไป ตัวเมืองอยู่ในรัฐซาบาร์ แถวๆ บรูไนโน่น ทีแรกนึกว่าอยู่ทางใต้ของไทยเหมือนกัวลาลัมเปอร์
มาค่ะ เข้าสู่ความระทึกใจกันต่อ บอกเลยว่าตื่นเต้นมือสั่นตกใจทำอะไรไม่ถูก เทงานทุกอย่างเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่ หลังจากการซักไซ้ไล่เรียงแล้วทราบว่า ที่เราได้ไปเนี่ยก็เพราะสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์เปิดเส้นทางบินจากไทยไปโกตากินาบาลูเป็นเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ทางบริษัทเลยส่งตัวแทนไปลองใช้บริการได้ โฮะๆๆ ได้เที่ยวบินแรกด้วย ดีจังเลย แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งดีใจไป นี่เพิ่งได้ข่าวว่ามาเลเซียเพิ่งแบน Beauty and the beast เพราะมีฉากตัวละครที่เป็นเกย์ เดี๋ยวนะ //มองตัวเองในกระจก// ถ้าเราไปนี่จะไม่โดนปาหินใส่ถูกมะ คือยังไง ต้องแอ๊บแมนงี้เหรอ โอ้โห สะพรึงไปอี๊ก
เอาล่ะค่ะ เวลาเหลือน้อยต้องรีบดึงสติ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “พาสปอร์ต”
เริ่มจากหาข้อมูลทำพาสปอร์ตก่อนเลยจ้า รีบเปิดเว็บจองคิวทำพาสปอร์ต www.passport.in.th/eService/
เราจองไปช่วงประมาณ 10.30 น. เลือกสถานที่เป็นกรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ เพราะอยู่ใกล้ออฟฟิศ อ้อ พอถึงวัน ก็ไปแสตนด์บายก่อนเวลานัด 30 นาที เจ้าหน้าที่ก็จะประกาศเรียกชื่อผู้ที่จองคิวไว้ให้เข้าไปทำพาสปอร์ต ใช้เวลาทั้งกระบวนการแค่ 15 นาทีก็เสร็จ เร็วมาก แถมถ้าถ่ายรูปแล้วยังไม่พอใจ สามารถให้เจ้าหน้าที่ถ่ายใหม่ได้อีก เก๋ตรงนี้ เราทำพาสปอร์ตวันพฤหัส และเลือกรับพาสปอร์ตวันศุกร์ เรียกว่าเฉียดฉิวมากกก จ่ายค่าทำพาสปอร์ตไป 2,000 บาทเป็นค่าเร่งเวลา ได้รับตัวเล่ม 1 วันถัดไปจากปกติที่ต้องรอ 3 วัน นี่แหละทำให้เรารู้ว่าเงิน...ซื้อเวลาได้จริง!
เรื่องพาสปอร์ตจบไป ต่อด้วยที่ซุกหัวนอนกันบ้าง เพราะนอกจากหัวหน้าจะลั่นคำสั่งมาพร้อมกับตั๋วเครื่องบินที่ระบุวันไปและกลับชัดเจน
ก็ไม่มีอะไรให้อีกเลย รีบเปิดเว็บจองโรงแรม เพราะเดี๋ยวห้องเต็ม ได้นอนตบยุงริมถนนที่มาเลเซียแน่ๆ งานนี้ลองใช้หลายเว็บช่วยเปรียบเทียบราคา
แต่สุดท้ายเลือกจองกับ booking.com เพราะก่อนหน้านี้เคยใช้จองโรงแรมในประเทศแล้วมีดีลราคาพิเศษให้ มีแผนที่กับพิกัดโรงแรมที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน ที่สำคัญราคาที่แสดงเป็นราคา net รวมทุกอย่างแล้วไม่หมกเม็ด จองก่อนไปจ่ายที่โรงแรมวันเข้าพัก เราเลือกโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากสนามบินมากนักเพราะแค่ซุกหัวนอนคืนเดียว แต่ก็ขอให้อยู่บริเวณโซนร้านค้า ตลาด หรือซูเปอร์มาร์เก็ตหน่อย จะได้ไม่อดตาย ที่สำคัญพิจารณาจากรูปบรรยากาศภายในห้องด้วย ไม่อยากเลือกโรงแรมเก่าๆ บรรยากาศชวนขนลุก เพราะเอาจริงๆ เป็นคนกลัวผีเอามากๆ แถมเป็นผีมาเลด้วยแล้ว ไม่ไหวจริงๆ ฮ่าๆๆ เลยได้โรงแรม Cititel Express มา เป็นโรงแรม 3 ดาว ค่าห้องถูกสุดคืนละประมาณ 1,000 บาท ดูบรรยากาศแล้วไม่น่าจะมีผี อยู่ห่างจากสนามบินประมาณ 7 กิโล รวมทั้งอยู่ใกล้ชุมชนและร้านอาหารด้วย
ต่อกันที่ประกันการเดินทาง เรื่องเตรียมพร้อมก่อนเริ่มเดินทางเรื่องสุดท้ายและสำคัญมากก็คือ “ประกันการเดินทาง” ช่วงหลังๆ เห็นข่าวนักท่องเที่ยวเจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ หรือไฟลต์ยกเลิก ดีเลย์เยอะแยะจนใจคอไม่ดี เลยตัดสินใจซื้อประกันการเดินทางเพื่อความสบายใจซักหน่อย ตัดสินใจเลือกจากหลายๆ บริษัท แต่ก็มาลงเอยที่ Cigna ประกันภัย เพราะราคาค่อนข้างถูกกว่าเจ้าอื่น ในวงเงินประกันที่พอกัน วิธีการซื้อก็ง่ายแค่เข้าเว็บไซต์ www.cigna.co.th เลือกซื้อประกันการเดินทาง ระบุประเทศที่จะไป และวันเดินทางที่ครอบคลุมขาไปและขากลับด้วย เราเลือกแพ็กเกจ 3 ราคา 439 บาท โดยพิจารณาจากวงเงินประกันและการดูแลที่ครอบคลุม หลังจากนั้นก็กรอกข้อมูลส่วนตัวเล็กน้อย เลือกชำระด้วยบัตรเครดิต แค่นี้ก็ได้ประกันมานอนกอดให้อุ่นใจตลอดการเดินทางแล้ว ฮี่ๆ
ยังค่ะ ยังไม่จบนะ คำถามต่อไป .. (จะไปต่างประเทศทั้งทีนี่ต้องเตรียมตัวเยอะเวอร์วังอะไรเบอร์นี้) เราจะสื่อสารกับคนที่โน่นยังไง
คนมาเลเซียพูดอังกฤษได้ใช่มั้ยนะ เลยเสิร์ช Google ดูก็ค่อยอุ่นใจขึ้นมาหน่อยว่าคนมาเลเซียพูดอังกฤษพอได้
ข้อมูลถัดมาที่ต้องหาไว้เพื่อเตรียมตัว คงหนีไม่พ้นเงิน, ไฟฟ้า และอินเทอร์เน็ต ต้องแก้โจทย์พวกนี้ในเวลาแค่ 4 วัน เรียกว่าหาข้อมูลกันไฟลุก
ต้องเสิร์ชว่าค่าข้าวมื้อละเท่าไหร่ ค่าเดินทางเท่าไหร่ แลกเงินไปแค่ไหนถึงจะพอ (แต่จริงๆ ก็ไปแค่ 2 วัน 1 คืนแหละ หาข้อมูลซะเวอร์วังไว้ก่อน)
สรุปคือเราตัดสินใจแลกเงินไปประมาณ 400 ริงกิต หรือประมาณ 3,000 บาท (วันกลับเหลือกลับมาเกินครึ่งนะ ไปแป็บเดียว ไม่ค่อยได้ใช้อะไร)
ส่วนไฟฟ้าที่นั่นใช้กระแสสลับ 230V/50Hz (แบบเดียวกับสิงคโปร์) ต้องเตรียม Universal Adapter ไป (อันนี้ก็ยึดของหัวหน้าไป ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อใหม่) สุดท้าย เรื่องอินเทอร์เน็ต ขาดไม่ได้เลย เช็กราคาเปิดโรมมิ่งก็แพง ไวไฟพกพา (Pocket Wifi) ก็ไม่คุ้มเพราะไม่มีคนหาร เลยตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า ซื้อซิมมาเลเซียที่โน่นเอาละกัน เพราะเช็กข้อมูลราคาแล้วประหยัดกว่า 2 ตัวเลือกแรก
เอาล่ะค่ะ เวิ่นเว้อลำไยพอละ วาร์ปมาวันเดินทางเลยดีกว่า อาทิตย์ที่ 26 มีนาคม 2560 วันเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ กรุงเทพ-โกตากินาบาลู (BKK-BKI) ของสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ เที่ยวบิน WE421 เวลา 13.40 น. ซึ่งเป็นที่มาของการเดินทางครั้งนี้ ต้องกราบขอบพระคุณทางไทยสมายล์อีกทีที่เปิดโอกาสให้เด็กน้อยไร้ประสบการณ์อย่างเราได้ร่วมเดินทางไปกับเที่ยวบินสุดพิเศษกับเส้นทางแปลกหูนี้ แต่ขอบอกว่าทริปนี้ไม่เปล่าเปลี่ยวเพราะเรามีพี่ชายร่วมออฟฟิศผู้ช่ำชองการขึ้นเครื่องบิน แถมยังเคยไปโกตากินาบาลูมาแล้ว เลยรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา (นิดนึง) แต่เดี๋ยวก่อน งานนี้ได้รับคำสั่งว่า ให้ทำการเช็กอิน ผ่านตม. ผ่านจุดตรวจทั้งหลายแหล่ด้วยตัวเองคนเดียวนะจ๊ะ ห้ามมีผู้ช่วย เพราะเบื้องบนอยากรู้ว่าป้ายทั้งหลายทั้งปวงของสนามบินจะช่วยคนที่เพิ่งเคยเดินทางครั้งแรกได้แค่ไหนอย่างไร โอ้โห เล่นใหญ่กันเบอร์นี้ แต่ก็มาเลยค่ะ! น้องรับได้ทุกอย่าง!
จุดเริ่มต้นของการเดินทางวันนี้อยู่ที่ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต เพราะอยู่ใกล้บ้านและมีรถตู้ไปสุวรรณภูมิเลย จัดไปค่ะ น้องหาข้อมูลมาดีแล้ว น้องต้องไม่ตกเครื่อง! ลองคำนวณเวลา สรุปว่าเราต้องถึงสนามบินก่อนเครื่องออกประมาณ 3 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นต้องไปถึงสนามบินในเวลา 10.40 น. พอได้ฤกษ์งามยามดี 9 โมงเช้าก็ออกจากบ้าน บอกเลยว่าใจตุ้มๆ ต่อมๆ มาก ไม่ใช่อะไร กลัวตกเครื่อง ฮ่าๆๆ ไม่รู้ว่าควรเผื่อเวลานานขนาดไหน พอถึงสนามบิน รถตู้ก็จอดที่ประตู 3 พี่คนขับก็บอกว่า ใครเข้าสนามบินลงได้เลยค้าบ โอเคค่ะ มีเราลงคนเดียว นี่ก็แอบสงสัยว่าคนบนรถที่เหลือเขาไปไหนกันนะ ทำไมไม่ลงมากัน ก้มมองดูนาฬิกาเวลาประมาณ 10.00 น. นับว่าทำเวลาได้ดีค่ะ
ถึงแล้วสินะ สุวรรณภูมิครั้งแรกของน้อง… ตื่นเต้นๆ
พอเข้าประตูสนามบินไปปุ๊บ ก็เจอกับป้ายบอกทาง เอาล่ะ เราจะมาทดสอบว่าป้ายจะช่วยคนที่มาครั้งแรกอย่างเราได้มั้ย
เห็นป้ายแล้วก็ขึ้นลิฟต์ไปชั้นผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 เลยค่ะ ตอนอยู่ในลิฟต์นี่ขึ้นไปพร้อมสจ๊วตสายการบินไหนไม่รู้ 2 คน
ดูมีอายุแล้วแต่หุ่นกับหน้ายังแซ่บอยู่เลยค่ะ คริคริ ถือเป็นใบเบิกการเดินทางที่ดีย์
เอาล่ะ จากนั้นก็ดูบอร์ดว่าเคาน์เตอร์เช็กอินและรับบอร์ดดิ้งพาสอยู่ Row ไหน ของไทยสมายล์อยู่ที่ Row C, D, E ไปกันเลยค่ะ
ป้าย Row สีเหลืองเด่นใหญ่ชัดแจ๋ว ไม่หลงแน่นอน
เจอแล้ว เคาน์เตอร์เช็กอิน สังเกตดีๆ เหนือเคาน์เตอร์มีจอบอกคลาสที่นั่ง ก็คือ Smile class (ที่นั่งชั้นประหยัด) กับ Smile plus class
(ที่นั่งชั้นประหยัดพรีเมียม) เราก็เดินเข้าไปที่ช่อง Smile class แล้วก็ยื่นพาสปอร์ตกับ itinerary ให้พนักงานจัดการต่อไป
ข้างๆ เคาน์เตอร์เช็กอินเป็นลู่ชั่งน้ำหนักกระเป๋าก่อนนำไปโหลด จากที่ศึกษาข้อมูลมา ไทยสมายล์ให้ผู้โดยสารโหลดสัมภาระใต้ท้องเครื่องได้ 20 กก.
และถือขึ้นเครื่องได้ 7 กก. ลองหย่อนของตัวเองเล่นๆ แต่ไม่ได้โหลดไปหรอกนะ ถือขึ้นเครื่องไปดีกว่าเพราะของไม่เยอะ (กระเป๋าเน่ามาก พลีชีพสุด
ฮือออ) ส่วนใครไม่แน่ที่กระเป๋าของตัวเองที่จะถือขึ้นเครื่อง มีน้ำหนัก และขนาดถูกต้องถามกฏของสายการบินมั้ย สามารถลองชั่งและวัดขนาดกระเป๋าได้จากตราชั่งที่อยู่ใกล้ๆ กับเคาน์เตอร์เช็กอิน (เค้าขอโทษ เค้าลืมถ่ายรูปมา)
เอาล่ะค่ะ เช็กอินเรียบร้อย ได้รับใบ ตม. มาพร้อมกับบอร์ดดิ้งพาส ในส่วนของใบ ตม. บอกเลยศึกษามาอย่างดี ท่องมาจากบ้าน
ต้องกรอกรายละเอียดให้เรียบร้อย ช่องแรกให้กรอกนามสกุลนะจ๊ะ ไม่ใช่กรอกชื่อ และต้องกรอกเป็นภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่นะ
เชื่อเรา เรารู้ เราเรียนมา อิอิ