สวัสดีครับ

วันนี้จะขอเสนอเนื้อหาดาราศาสตร์เรื่อง Impact event การชนสะท้านโลกครับ
ปกติแล้ว วัตถุอวกาศจะมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลาไม่มีการหยุดเลย ดังนั้น จึงมีโอกาสที่
มีการชนกันของวัตถุอวกาศครับ การชนกันนี้เป็นไปได้ตั้งแต่อุกกาบาตขนาดจิ๋วพุ่งชนโลก
ซึ่งมันก็เกิดตลอดเวลาแต่เราไม่ทราบเพราะอุกกาบาตนั้นเผาไหม้ใในชั้นบรรยกาศโลกไปหมด
โดยไม่มีลูกไฟขนาดใหญ่ให้เราสังเกตุได้ ไปจนถึงการชนของอุกกาบาตขนาดยักษ์ที่ทำให้
มีการสูญพันธ์ครั้งใหญ่ในอดีตครับ
การชนกันของวัตถุอวกาศ นั้น ถือเป็นเรื่องปกติและมีมานานแล้วตั้งแต่กำเนิดระบบสุริยะเลยครับ
ในสมัยกำเนิดระบบสุริยะ มีการชนกันอย่างนับไม่ถ้วนระหว่างวัตถุต่าง ๆ แม้ว่าโลกจะกำเนิดมาแล้ว
ก็ยังถูกชนด้วยวัตถุขนาดใหญ่มากจนเปลือกโลกแตกออกไป และรวมตัวกลายเป็นดวงจันทร์ของเรา
นี่ก็เป็นทฤษฏีหนึ่งในการกำเนิดดวงจันทร์ครับ นอกจากนี้ยังมีทฤษฏีการวิวัฒนาการชีวิต , การกำเนิดน้ำบนโลก
และการสูญพันธ์ครั้งใหญ่ .... ล้วนแล้วมาจาก Impact event ทั้งนั้นเลย
อุกกาบาตพุ่งชนโลก
Impact event ขอเริ่มด้วยการชนแบบปกติ และเกิดขึ้นบ่อยแบบทุกวันก่อนครับ
นั่นคือการชนของอุกกาบาตนั่นเอง การชนของอุกกาบาตนี้เป็นการชนที่มีการเกิดขึ้นแบบสุ่มโดยสมบูรณ์
คือไม่มีพื้นที่ใหนที่จะโดนมากกว่ากัน (ยกเว้นบริเวณขั้วโลกที่เราไม่นำมาคิด) และการชนเกิดขึ้น
ช่วงกลางวัน กลางคืน อย่างละเท่า ๆ กันครับ ในภาพนี้บันทึกข้อมูลในช่วงปี 1993 - 2013
ขนาดของอุกกาบาตที่มาชน นั้น ขนาดเท่าเม็ดทราย (Micrometerior) ก็จะมีเข้ามาแทบทุกวัน
ส่วนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น 10 - 30 เซนติเมตร ก็อาจลงมาได้ทุกสัปดาห์ (ก็คือขนาดของดาวตก
ที่เราเห็นกันแทบทุกสัปดาห์นั่นเอง) ส่วนอุกกาบาตขนาดใหญ่ในหน่วย เมตร เช่น 1 2 5 หรือ 10 เมตร
ก็จะลงมาประมาณปีเว้นปีครับ และหากเป็นขนาดใหญ่กว่านั้น เช่น นับสิบ ๆ เมตร ก็จะนานกว่านั้นมาก
นักวิทยาศาสตร์ได้สรุปเป็นตารางใว้แล้วครับ
อุกกาบาต มีพลังงานเท่าใด ?
พลังงานของอุกกาบาตนี้จะรุนแรงมากครับ เพราะ 2 ตัวแปรหลักเลย คือ มวลอุกกาบาต
ซึ่งจะสูงมากในหน่วยหมื่น - แสน ตัน และความเร็วที่เข้าชั้นบรรยากาศจะสูงมากประมาณ
50 - 70 กิโลเมตร/วินาที นี่เองที่ทำให้พลังงานของมันสูงมากครับ แต่พลังงานนี้ส่วนมากจะไม่ได้
ถ่ายทอดลงมาสู่พื้นดินบนโลก เพราะมันเผาไหม้ในชั้นบรรยาากาศหมดไปเสียก่อนครับ
พลังงานที่ว่านี้ ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของ Air blast ลักษณะของ air blast นี้ เราจะคุ้นเคย
กันจากการระเบิดของระเบิดประเภทต่าง ๆ ซึ่งมันสามารถสร้างคลื่นกระแทกที่มีอำนาจทำลายสิ่งต่าง ๆ ได้มาก
ในกรณีของอุกกาบาตนี้จะเกิดขึ้นในตำแหน่งที่สูงมากประมาณ 50 - 80 กิโลเมตร เหนือพื้นโลกครับ
หรือพูดง่าย ๆ คือ พลังงานของอุกกาบาต ก็เหมือนกับเราเอาระเบิดขนาดหลาย ๆ กิโลตัน จนถึง
หลายเมกกะตัน ไปจุดบนท้องฟ้าที่ความสูง 80 กิโลเมตรเหนือพื้นโลกนั่นเอง
ตารางนี้แสดงถึงพลังงานของอุกกาบาตที่ผลิตออกมาได้ แสดงเป็นปริมาณเทียบเท่าดินระเบิด TNT
ภาพของ Bolide สว่างจ้าของอุกกาบาต นี่เองที่สร้างพลังงานสูงมากเทียบเท่า
ระเบิดขนาดหลายสิบ หรือ หลายร้อยกิโลตัน
Event ของอุกกาบาตที่สำคัญ
Tunguska event สำหรับ event นี้ เป็นการตกของอุกกาบาตขนาดใหญ่หลายสิบเมตร
โดยได้ระเบิดขึ้นเหนือพื้นดิน เกิดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1908 บริเวณป่าใกล้แม่น้ำ Tunguska ประเทศรัสเซีย
อุกกาบาตลูกนี้มีพลังงานเทียบเท่า TNT 15 เมกกะตัน ทำให้พื้นที่ป่าในย่านนั้นราบเป็นหน้ากลอง กินบริเวณ
กว้างถึง 2,000 ตารางกิโลเมตร ภาพล่างนี้คือแผนที่ของ Tunguska event
Chelyabinsk meteor ... Event นี้ เป็นการพุ่งเข้าชั้นบรรยากาศของอุกกาบาตขนาดใหญ่ประมาณ 20 เมตร
หนักประมาณ 12,000 ตัน ระเบิดที่ความสูงประมาณ 30 กิโลเมตรเหนือเมือง Chelyabinsk ประเทศรัสเซีย
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2013 ครับ เหตการณ์นี้มีความโดดเด่นมาก เพราะ Bolide ของมันสว่างจ้ามาก
เป็นเพราะว่าอุกกาบาตมีขนาดใหญ่ Bolide ของมันเห็นได้ไกลถึง 100 กิโลเมตรเลยครับ มันให้แรงระเบิด
เทียบเท่า TNT ขนาด 400 - 500 กิโลตัน ทีเดียว
ในคลิปนี้ได้รวมหลายมุมของอุกกาบาตนี้ครับ
ดาวพฤหัสถูกพุ่งชน
ดาวพฤหัสเป็นดาวแก้สขนาดใหญ่ โอกาสถูกพุ่งชนจากวัตถุอวกาศต่าง ๆ ก็มีมากครับ
การถูกพุ่งชนของดาวพฤหัสที่มีชื่อเสียงที่สุด เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 16 - 22 กรกฏาคม 1994
เมื่อดาวหาง Shoemaker-Levy 9 โคจรเข้าไปใกล้ดาวพฤหัส และถูกแรง Tidal ฉีกร่างดาวหางจนแตกออก
เป็นชิ้นส่วนจำนวน 21 ชิ้น และพุ่งเข้าชนดาวพฤหัสที่บริเวณขั้วด้านใต้ของดาวครับ การชนในครั้งนั้นทิ้งร่องรอย
ดำ ๆ ที่เกิดจาก
แรงระเบิด ในชั้นบรรยากาศในย่าน Upper Cloud layers (hydrogen , ammonia)
การพุ่งชนครั้งนี้มีความเร็วเท่าอุกกาบาต (ประมาณ 60 - 70 กิโลเมตร/วินาที) ทำให้เกิดแรงระเบิดเทียบเท่า
ประมาณ 6,000,000 Megatons TNT โดยแรงระเบิดนี้เกิดจากการระเบิดในชั้นบรรยากาศ hydrogen ซึ่งมีกลไก
แบบเดียวกับ Bolide ของอุกกาบาต นั่นเอง กล่าวคือ ชิ้นส่วนดาวหางจะพุ่งลงไปเร็วมากจนเกิดการอัดอากาศจนร้อนจัด
และ ทำให้มวลสารภายในเกิดการระเบิดออกมา ช่วงการอัดอากาศแบบ PEAK นี้ จะมีอุณหภูมิสูงมากถึง 20,000 องศา C
ทำให้ชิ้นส่วนเหล่านั้นเกิดระเบิด สร้างร่องรอยของ Carbon สีดำใว้ในชั้นบรรยากาศครับ
ซึ่งรอยสีดำเหล่านี้ บางจุดมีขนาดใหญ่มากถึง 12,000 กิโลเมตร (ใหญ่เท่าโลก)
นี่คือร่องรอยจากการถูกชน
นี่คือภาพเคลื่อนไหวแสดงถึงจุดวาบที่เกิดการระเบิด (ล่างซ้าย) (ส่วนจุดด้านขวาคือดวงจันทร์ IO)
นอกจากการถูกชนสมัยปี 1994 แล้ว ดาวพฤหัสยังถูกชนโดยดาวเคราะห์น้อยอีกหลายครั้ง
ครั้งที่สำคัญคือในปี 2009 2010 โดยถูกชนจากเศษดาวเคราะห์น้อยทำให้เกิด แผล ดำปี๋
แต่แผลนี้กว้างหลายพันกิโลเมตรทีเดียวครับ ภาพนี้คือแผลจากการถูกชน รอยดำนี้ยาวถึง 8,000 กิโลเมตร
การชนกันของวัตถุชนิดหนึ่ง ในกระจุกดาว NGC 2547
เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2013 ทีมนักดาราศาสตร์ของ Spitzer Space Telescope ได้ตรวจพบการพุ่งขึ้นสูง
ของลักษณะที่พิสูจน์ได้ว่าเป็น กลุ่มฝุ่น ขนาดใหญ่รอบดาวฤกษ์ NGC 2547-ID8 ซึ่งมันคือการพุ่งขึ้นสูง
ของแสงย่าน Infrared ซึ่งมาจากกลุ่มฝุ่นขนาดใหญ่ ซึ่งทางทีมนักดาราศาสตร์ได้สันนิษฐานว่ามันเกิดจาก
การชนกันครั้งมโหราฬของดาวเคราะห์น้อย 2 ดวง
นี่คือภาพการพุ่งขึ้นสูงของแสงในย่าน Infrared
ภาพ CG แสดงถึงข้อสันนิษฐานการชนกันของดาวเคราะห์น้อย 2 ดวง
สวัสดีครับ
:: Impact event :: การชนสะท้านโลก
ปกติแล้ว วัตถุอวกาศจะมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลาไม่มีการหยุดเลย ดังนั้น จึงมีโอกาสที่
มีการชนกันของวัตถุอวกาศครับ การชนกันนี้เป็นไปได้ตั้งแต่อุกกาบาตขนาดจิ๋วพุ่งชนโลก
ซึ่งมันก็เกิดตลอดเวลาแต่เราไม่ทราบเพราะอุกกาบาตนั้นเผาไหม้ใในชั้นบรรยกาศโลกไปหมด
โดยไม่มีลูกไฟขนาดใหญ่ให้เราสังเกตุได้ ไปจนถึงการชนของอุกกาบาตขนาดยักษ์ที่ทำให้
มีการสูญพันธ์ครั้งใหญ่ในอดีตครับ
การชนกันของวัตถุอวกาศ นั้น ถือเป็นเรื่องปกติและมีมานานแล้วตั้งแต่กำเนิดระบบสุริยะเลยครับ
ในสมัยกำเนิดระบบสุริยะ มีการชนกันอย่างนับไม่ถ้วนระหว่างวัตถุต่าง ๆ แม้ว่าโลกจะกำเนิดมาแล้ว
ก็ยังถูกชนด้วยวัตถุขนาดใหญ่มากจนเปลือกโลกแตกออกไป และรวมตัวกลายเป็นดวงจันทร์ของเรา
นี่ก็เป็นทฤษฏีหนึ่งในการกำเนิดดวงจันทร์ครับ นอกจากนี้ยังมีทฤษฏีการวิวัฒนาการชีวิต , การกำเนิดน้ำบนโลก
และการสูญพันธ์ครั้งใหญ่ .... ล้วนแล้วมาจาก Impact event ทั้งนั้นเลย
อุกกาบาตพุ่งชนโลก
Impact event ขอเริ่มด้วยการชนแบบปกติ และเกิดขึ้นบ่อยแบบทุกวันก่อนครับ
นั่นคือการชนของอุกกาบาตนั่นเอง การชนของอุกกาบาตนี้เป็นการชนที่มีการเกิดขึ้นแบบสุ่มโดยสมบูรณ์
คือไม่มีพื้นที่ใหนที่จะโดนมากกว่ากัน (ยกเว้นบริเวณขั้วโลกที่เราไม่นำมาคิด) และการชนเกิดขึ้น
ช่วงกลางวัน กลางคืน อย่างละเท่า ๆ กันครับ ในภาพนี้บันทึกข้อมูลในช่วงปี 1993 - 2013
ขนาดของอุกกาบาตที่มาชน นั้น ขนาดเท่าเม็ดทราย (Micrometerior) ก็จะมีเข้ามาแทบทุกวัน
ส่วนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น 10 - 30 เซนติเมตร ก็อาจลงมาได้ทุกสัปดาห์ (ก็คือขนาดของดาวตก
ที่เราเห็นกันแทบทุกสัปดาห์นั่นเอง) ส่วนอุกกาบาตขนาดใหญ่ในหน่วย เมตร เช่น 1 2 5 หรือ 10 เมตร
ก็จะลงมาประมาณปีเว้นปีครับ และหากเป็นขนาดใหญ่กว่านั้น เช่น นับสิบ ๆ เมตร ก็จะนานกว่านั้นมาก
นักวิทยาศาสตร์ได้สรุปเป็นตารางใว้แล้วครับ
อุกกาบาต มีพลังงานเท่าใด ?
พลังงานของอุกกาบาตนี้จะรุนแรงมากครับ เพราะ 2 ตัวแปรหลักเลย คือ มวลอุกกาบาต
ซึ่งจะสูงมากในหน่วยหมื่น - แสน ตัน และความเร็วที่เข้าชั้นบรรยากาศจะสูงมากประมาณ
50 - 70 กิโลเมตร/วินาที นี่เองที่ทำให้พลังงานของมันสูงมากครับ แต่พลังงานนี้ส่วนมากจะไม่ได้
ถ่ายทอดลงมาสู่พื้นดินบนโลก เพราะมันเผาไหม้ในชั้นบรรยาากาศหมดไปเสียก่อนครับ
พลังงานที่ว่านี้ ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของ Air blast ลักษณะของ air blast นี้ เราจะคุ้นเคย
กันจากการระเบิดของระเบิดประเภทต่าง ๆ ซึ่งมันสามารถสร้างคลื่นกระแทกที่มีอำนาจทำลายสิ่งต่าง ๆ ได้มาก
ในกรณีของอุกกาบาตนี้จะเกิดขึ้นในตำแหน่งที่สูงมากประมาณ 50 - 80 กิโลเมตร เหนือพื้นโลกครับ
หรือพูดง่าย ๆ คือ พลังงานของอุกกาบาต ก็เหมือนกับเราเอาระเบิดขนาดหลาย ๆ กิโลตัน จนถึง
หลายเมกกะตัน ไปจุดบนท้องฟ้าที่ความสูง 80 กิโลเมตรเหนือพื้นโลกนั่นเอง
ตารางนี้แสดงถึงพลังงานของอุกกาบาตที่ผลิตออกมาได้ แสดงเป็นปริมาณเทียบเท่าดินระเบิด TNT
ภาพของ Bolide สว่างจ้าของอุกกาบาต นี่เองที่สร้างพลังงานสูงมากเทียบเท่า
ระเบิดขนาดหลายสิบ หรือ หลายร้อยกิโลตัน
Event ของอุกกาบาตที่สำคัญ
Tunguska event สำหรับ event นี้ เป็นการตกของอุกกาบาตขนาดใหญ่หลายสิบเมตร
โดยได้ระเบิดขึ้นเหนือพื้นดิน เกิดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1908 บริเวณป่าใกล้แม่น้ำ Tunguska ประเทศรัสเซีย
อุกกาบาตลูกนี้มีพลังงานเทียบเท่า TNT 15 เมกกะตัน ทำให้พื้นที่ป่าในย่านนั้นราบเป็นหน้ากลอง กินบริเวณ
กว้างถึง 2,000 ตารางกิโลเมตร ภาพล่างนี้คือแผนที่ของ Tunguska event
Chelyabinsk meteor ... Event นี้ เป็นการพุ่งเข้าชั้นบรรยากาศของอุกกาบาตขนาดใหญ่ประมาณ 20 เมตร
หนักประมาณ 12,000 ตัน ระเบิดที่ความสูงประมาณ 30 กิโลเมตรเหนือเมือง Chelyabinsk ประเทศรัสเซีย
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2013 ครับ เหตการณ์นี้มีความโดดเด่นมาก เพราะ Bolide ของมันสว่างจ้ามาก
เป็นเพราะว่าอุกกาบาตมีขนาดใหญ่ Bolide ของมันเห็นได้ไกลถึง 100 กิโลเมตรเลยครับ มันให้แรงระเบิด
เทียบเท่า TNT ขนาด 400 - 500 กิโลตัน ทีเดียว
ในคลิปนี้ได้รวมหลายมุมของอุกกาบาตนี้ครับ
ดาวพฤหัสถูกพุ่งชน
ดาวพฤหัสเป็นดาวแก้สขนาดใหญ่ โอกาสถูกพุ่งชนจากวัตถุอวกาศต่าง ๆ ก็มีมากครับ
การถูกพุ่งชนของดาวพฤหัสที่มีชื่อเสียงที่สุด เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 16 - 22 กรกฏาคม 1994
เมื่อดาวหาง Shoemaker-Levy 9 โคจรเข้าไปใกล้ดาวพฤหัส และถูกแรง Tidal ฉีกร่างดาวหางจนแตกออก
เป็นชิ้นส่วนจำนวน 21 ชิ้น และพุ่งเข้าชนดาวพฤหัสที่บริเวณขั้วด้านใต้ของดาวครับ การชนในครั้งนั้นทิ้งร่องรอย
ดำ ๆ ที่เกิดจาก แรงระเบิด ในชั้นบรรยากาศในย่าน Upper Cloud layers (hydrogen , ammonia)
การพุ่งชนครั้งนี้มีความเร็วเท่าอุกกาบาต (ประมาณ 60 - 70 กิโลเมตร/วินาที) ทำให้เกิดแรงระเบิดเทียบเท่า
ประมาณ 6,000,000 Megatons TNT โดยแรงระเบิดนี้เกิดจากการระเบิดในชั้นบรรยากาศ hydrogen ซึ่งมีกลไก
แบบเดียวกับ Bolide ของอุกกาบาต นั่นเอง กล่าวคือ ชิ้นส่วนดาวหางจะพุ่งลงไปเร็วมากจนเกิดการอัดอากาศจนร้อนจัด
และ ทำให้มวลสารภายในเกิดการระเบิดออกมา ช่วงการอัดอากาศแบบ PEAK นี้ จะมีอุณหภูมิสูงมากถึง 20,000 องศา C
ทำให้ชิ้นส่วนเหล่านั้นเกิดระเบิด สร้างร่องรอยของ Carbon สีดำใว้ในชั้นบรรยากาศครับ
ซึ่งรอยสีดำเหล่านี้ บางจุดมีขนาดใหญ่มากถึง 12,000 กิโลเมตร (ใหญ่เท่าโลก)
นี่คือร่องรอยจากการถูกชน
นี่คือภาพเคลื่อนไหวแสดงถึงจุดวาบที่เกิดการระเบิด (ล่างซ้าย) (ส่วนจุดด้านขวาคือดวงจันทร์ IO)
นอกจากการถูกชนสมัยปี 1994 แล้ว ดาวพฤหัสยังถูกชนโดยดาวเคราะห์น้อยอีกหลายครั้ง
ครั้งที่สำคัญคือในปี 2009 2010 โดยถูกชนจากเศษดาวเคราะห์น้อยทำให้เกิด แผล ดำปี๋
แต่แผลนี้กว้างหลายพันกิโลเมตรทีเดียวครับ ภาพนี้คือแผลจากการถูกชน รอยดำนี้ยาวถึง 8,000 กิโลเมตร
การชนกันของวัตถุชนิดหนึ่ง ในกระจุกดาว NGC 2547
เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2013 ทีมนักดาราศาสตร์ของ Spitzer Space Telescope ได้ตรวจพบการพุ่งขึ้นสูง
ของลักษณะที่พิสูจน์ได้ว่าเป็น กลุ่มฝุ่น ขนาดใหญ่รอบดาวฤกษ์ NGC 2547-ID8 ซึ่งมันคือการพุ่งขึ้นสูง
ของแสงย่าน Infrared ซึ่งมาจากกลุ่มฝุ่นขนาดใหญ่ ซึ่งทางทีมนักดาราศาสตร์ได้สันนิษฐานว่ามันเกิดจาก
การชนกันครั้งมโหราฬของดาวเคราะห์น้อย 2 ดวง
นี่คือภาพการพุ่งขึ้นสูงของแสงในย่าน Infrared
ภาพ CG แสดงถึงข้อสันนิษฐานการชนกันของดาวเคราะห์น้อย 2 ดวง
สวัสดีครับ