หลาย ๆ คน ตอนศึกษาการเล่นหุ้นใหม่ ๆ ในช่วงเริ่มต้นมักมี rule-based ง่าย ๆ ไม่กี่ข้อ ที่ใช้ในการตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายหุ้น ยิ่งถ้า simple rule-based ที่ใช้นั้นทำให้เกิดความได้เปรียบในการ trade ผนวกกับสภาพตลาดเป็นใจ การทำกำไรในตลาดช่วงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เมื่อศึกษาไปเรื่อย ๆ จนเริ่มมีความชำนาญ มีประสบการณ์จนเริ่มรู้แล้วว่า สัญญาณแบบไหนที่หุ้นมันน่าจะขึ้น rule ที่ใช้ก็จะเริ่มซับซ้อนขึ้น เริ่มเปลี่ยนเป็น gut feeling ตามประสบการณ์ที่ได้รับมานั่นเอง
แล้วลื้อก็เริ่มมาสนใจหุ้นตัวนึง โดยอาจจะเริ่มจาก ไปเห็นรายงาน 246-2 ว่านักลงทุนคนดังในดวงใจพึ่งโกยหุ้นตัวนี้เข้าพอร์ตไป ตัวบริษัทมีการขายธุรกิจที่ไม่ทำให้เกิดกำไรออกไป งบ Q ล่าสุด อัตรากำไรขั้นต้น และ กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ beat ทุก consensus estimates ราคาทะลุจุดสูงสุดในรอบ 1 ปี พร้อมวอลุ่มที่สูงกว่าปกติมากกว่า 3 เท่า หลังจากที่ก่อนหน้านี้ราคาหุ้นนิ่ง ๆ ด้วยวอลุ่มบาง ๆ ทำ base สวยงาม macd ตัด 0 ทำ golden cross ราคาน่าจะจบ extend เวฟ c เล็กใน 2 ใหญ่ เตรียมขึ้นเวฟ 3 เต็มตัว RS ranking ขยับอันดับสูงขึ้นมาอยู่ระดับ top ของหุ้นในตลาด
ซึ่งโดยปกติแล้วจากประสบการณ์ที่ผ่านตลาดมาอย่างโชกโชน จากสัญญาณที่ว่ามาหุ้นตัวนี้มันน่าจะทำกำไรให้ได้อย่างงดงามเหมือนที่ผ่าน ๆ มา พอยิ่งมั่นใจมาก โดยปกติคนเราก็อยากจะซื้อมาก ๆ เพราะอุตส่าห์มั่นใจมากกว่าตัวอื่น ถ้าซื้อน้อย ๆ ก็ได้กำไรน้อย ไม่คุ้มกับที่ลงทุนลงแรงไปวิเคราะห์ศึกษาหาข้อมูลมา
เมื่อทุกอย่างมันยังดูดีอยู่ บริษัทก็ยังทำธุรกิจได้เติบโตตามเป้าที่วางไว้ เริ่มมีบทวิเคราะห์จากโบรคออกมาให้ fair price ที่มี upside สุง แต่มีสิ่งนึงที่เริ่มไม่เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น คือ “ราคาหุ้น”
ตอนราคาหุ้นค่อย ๆ โรยตัวลงในช่วงแรก ๆ ก็คงไม่รู้สึกอะไร เพราะก็ไม่ต่างจากการ pull back ธรรมดา
แต่เมื่อราคาหลุด base ที่ควรจะรับอยู่แล้ว ตอนนี้แหละ ลื้อเริ่มหัวร้อนล่ะ...
พอมั่นใจมาก ก็จะยิ่งอยากถือหุ้นมาก
พอถือหุ้นมาก ก็จะยิ่งรักหุ้นมาก
ความรักทำให้คนตาบอด … หุ้นก็เช่นกัน
จากปกติ ถ้าราคาหุ้นลงมาถึงจุดที่เราต้อง exit เราก็ cut loss ออกไป แล้วก็เริ่มเกมส์ใหม่ได้โดยไม่คิดอะไร
แต่ถ้ามันเป็นหุ้นที่ลื้อรักไปแล้ว ลื้อจะทำแบบเดิมได้ง่าย ๆ จริงหรือ ?
เรื่องแบบนี้ไม่เกิดกับตัวเองนี่ไม่เข้าใจจริง ๆ เชื่อแปะสิ
ลื้อจะเริ่มพยายามหาเหตุผลดี ๆ มาสนับสนุนการถือหุ้นต่อของลื้อแน่นอน ซึ่ง ณ จุดนี้ มันทำให้ลื้อกลายเป็นนักลงทุนที่ใช้ fundamental base ไปโดยปริยาย ไม่ว่าจุดเริ่มต้นของลื้อจะเป็น technical ที่เก่งกาจขนาดไหนก็ตาม แต่ตอนนี้ลื้อไม่ใช่แล้ว
ถ้าลื้อมีอวตารร่างนักลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน ที่เก่งกาจในตัวลื้อด้วยอีกคนนี่แปะจะไม่ห่วงเลย
แต่ถ้าจุดแข็งของลื้อเป็นเพียงแค่ technical แล้วลื้อมาถึงจุด ๆ นี้ แปะว่าลื้อแย่แล้ว
การรู้มากและรู้จริง เป็นสิ่งที่ดีแน่นอน แปะเชื่อว่า คนที่ “รุ้จริง” ทุกคนย่อมเลือกหนทางที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองได้
แต่ถ้ารุ้มากแต่รู้ไม่จริง อันนี้มักจะเกิดอาการที่เรียกว่า “ธาตุไฟเข้าแทรก” ซึ่งอันตรายมาก ไม่ว่าจะเป็นกับมือใหม่หรือมือเก๋าแค่ไหนก็ตาม
การที่จะหลีกเลี่ยงจากจุด ๆ นี้ได้อย่างยั่งยืน ก็ควรจะเริ่มที่ต้นเหตุเลย คือ
ลื้อจะต้อง “ควบคุมความโลภ ให้เท่ากับความรู้ที่มี”
ถ้าลื้อรู้แค่นี้ ลื้อจะโลภมากกว่านี้ไม่ได้
ประสบการณ์การได้กำไรบ่อย ๆ หรือกำไรก้อนใหญ่ในบางเวลามันอาจจะทำให้พวกเราหลงลืมไป แต่จริง ๆ แล้วการรู้จักควบคุมความโลภมันฝังอยู่ในหัวใจของพวกเรามาตลอด
ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง “แค่พอเพียง ก็เพียงพอ”
บทความจาก อาแปะแกะกราฟ 15 เม.ย. 60
บางทีความสำเร็จหลาย ๆ ครั้ง ก็อาจจะทำให้เราเขวออกจากเส้นทางที่เราควรจะเดิน
เมื่อศึกษาไปเรื่อย ๆ จนเริ่มมีความชำนาญ มีประสบการณ์จนเริ่มรู้แล้วว่า สัญญาณแบบไหนที่หุ้นมันน่าจะขึ้น rule ที่ใช้ก็จะเริ่มซับซ้อนขึ้น เริ่มเปลี่ยนเป็น gut feeling ตามประสบการณ์ที่ได้รับมานั่นเอง
แล้วลื้อก็เริ่มมาสนใจหุ้นตัวนึง โดยอาจจะเริ่มจาก ไปเห็นรายงาน 246-2 ว่านักลงทุนคนดังในดวงใจพึ่งโกยหุ้นตัวนี้เข้าพอร์ตไป ตัวบริษัทมีการขายธุรกิจที่ไม่ทำให้เกิดกำไรออกไป งบ Q ล่าสุด อัตรากำไรขั้นต้น และ กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ beat ทุก consensus estimates ราคาทะลุจุดสูงสุดในรอบ 1 ปี พร้อมวอลุ่มที่สูงกว่าปกติมากกว่า 3 เท่า หลังจากที่ก่อนหน้านี้ราคาหุ้นนิ่ง ๆ ด้วยวอลุ่มบาง ๆ ทำ base สวยงาม macd ตัด 0 ทำ golden cross ราคาน่าจะจบ extend เวฟ c เล็กใน 2 ใหญ่ เตรียมขึ้นเวฟ 3 เต็มตัว RS ranking ขยับอันดับสูงขึ้นมาอยู่ระดับ top ของหุ้นในตลาด
ซึ่งโดยปกติแล้วจากประสบการณ์ที่ผ่านตลาดมาอย่างโชกโชน จากสัญญาณที่ว่ามาหุ้นตัวนี้มันน่าจะทำกำไรให้ได้อย่างงดงามเหมือนที่ผ่าน ๆ มา พอยิ่งมั่นใจมาก โดยปกติคนเราก็อยากจะซื้อมาก ๆ เพราะอุตส่าห์มั่นใจมากกว่าตัวอื่น ถ้าซื้อน้อย ๆ ก็ได้กำไรน้อย ไม่คุ้มกับที่ลงทุนลงแรงไปวิเคราะห์ศึกษาหาข้อมูลมา
เมื่อทุกอย่างมันยังดูดีอยู่ บริษัทก็ยังทำธุรกิจได้เติบโตตามเป้าที่วางไว้ เริ่มมีบทวิเคราะห์จากโบรคออกมาให้ fair price ที่มี upside สุง แต่มีสิ่งนึงที่เริ่มไม่เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น คือ “ราคาหุ้น”
ตอนราคาหุ้นค่อย ๆ โรยตัวลงในช่วงแรก ๆ ก็คงไม่รู้สึกอะไร เพราะก็ไม่ต่างจากการ pull back ธรรมดา
แต่เมื่อราคาหลุด base ที่ควรจะรับอยู่แล้ว ตอนนี้แหละ ลื้อเริ่มหัวร้อนล่ะ...
พอมั่นใจมาก ก็จะยิ่งอยากถือหุ้นมาก
พอถือหุ้นมาก ก็จะยิ่งรักหุ้นมาก
ความรักทำให้คนตาบอด … หุ้นก็เช่นกัน
จากปกติ ถ้าราคาหุ้นลงมาถึงจุดที่เราต้อง exit เราก็ cut loss ออกไป แล้วก็เริ่มเกมส์ใหม่ได้โดยไม่คิดอะไร
แต่ถ้ามันเป็นหุ้นที่ลื้อรักไปแล้ว ลื้อจะทำแบบเดิมได้ง่าย ๆ จริงหรือ ?
เรื่องแบบนี้ไม่เกิดกับตัวเองนี่ไม่เข้าใจจริง ๆ เชื่อแปะสิ
ลื้อจะเริ่มพยายามหาเหตุผลดี ๆ มาสนับสนุนการถือหุ้นต่อของลื้อแน่นอน ซึ่ง ณ จุดนี้ มันทำให้ลื้อกลายเป็นนักลงทุนที่ใช้ fundamental base ไปโดยปริยาย ไม่ว่าจุดเริ่มต้นของลื้อจะเป็น technical ที่เก่งกาจขนาดไหนก็ตาม แต่ตอนนี้ลื้อไม่ใช่แล้ว
ถ้าลื้อมีอวตารร่างนักลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน ที่เก่งกาจในตัวลื้อด้วยอีกคนนี่แปะจะไม่ห่วงเลย
แต่ถ้าจุดแข็งของลื้อเป็นเพียงแค่ technical แล้วลื้อมาถึงจุด ๆ นี้ แปะว่าลื้อแย่แล้ว
การรู้มากและรู้จริง เป็นสิ่งที่ดีแน่นอน แปะเชื่อว่า คนที่ “รุ้จริง” ทุกคนย่อมเลือกหนทางที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองได้
แต่ถ้ารุ้มากแต่รู้ไม่จริง อันนี้มักจะเกิดอาการที่เรียกว่า “ธาตุไฟเข้าแทรก” ซึ่งอันตรายมาก ไม่ว่าจะเป็นกับมือใหม่หรือมือเก๋าแค่ไหนก็ตาม
การที่จะหลีกเลี่ยงจากจุด ๆ นี้ได้อย่างยั่งยืน ก็ควรจะเริ่มที่ต้นเหตุเลย คือ
ลื้อจะต้อง “ควบคุมความโลภ ให้เท่ากับความรู้ที่มี”
ถ้าลื้อรู้แค่นี้ ลื้อจะโลภมากกว่านี้ไม่ได้
ประสบการณ์การได้กำไรบ่อย ๆ หรือกำไรก้อนใหญ่ในบางเวลามันอาจจะทำให้พวกเราหลงลืมไป แต่จริง ๆ แล้วการรู้จักควบคุมความโลภมันฝังอยู่ในหัวใจของพวกเรามาตลอด
ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง “แค่พอเพียง ก็เพียงพอ”
บทความจาก อาแปะแกะกราฟ 15 เม.ย. 60